บทที่ 47 ตัวตน
ข่าวร้ายมักจะมาเป็นระลอก
หลินจุ้ยหลิวกำลังพยายามก่อการกบฏขึ้น และตอนนี้ทหารครึ่งหนึ่งที่ส่งตัวไปกำราบนิกายไร้ขอบเขตก็ถูกสังหารไปเสียแล้ว
หลินเมิ่งเจ๋อรู้สึกราวกับว่าเส้นโลหิตกำลังจะระเบิดออกมา
ภายในโถงพันหัตถ์
หลินเมิ่งเจ๋อนั่งลงบนบัลลังก์ของตนด้วยสีหน้าหมองหม่น “เรากำลังจะโจมตีนิกายไร้ขอบเขตแล้วหลินจุ้ยหลิวก็ปรากฏตัวขึ้น กวนเทากำลังจะถอยทัพแล้วเขาก็ถูกซุ่มโจมตีโดยค่ายกลต้นกำเนิด การประสานงานกันของพวกเขาช่างไร้ที่ติเสียจริง”
การที่หลินจุ้ยหลิวมุ่งหน้าไปยังหุบเหวนรกนั้นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด แน่นอนว่าซูเฉินก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ทุกคนจึงนึกขึ้นได้ว่าซูเฉินคงจะต้องเกี่ยวพันด้วยทันทีที่หลินจุ้ยหลิวปรากฏตัวขึ้น
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินจุ้ยหลิวและหลินเฉ่าเซวียนจะเข้าขากันเช่นนี้ อย่างที่กองทหารกว่าครึ่งผู้ถูกส่งตัวไปรับมือกับเขาหมื่นดาบได้ถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น
“งั้นหลินเฉ๋าเซวียนก็เป็นผู้นำกลุ่มนี้สินะ” หนึ่งในขุนนางกล่าวอย่างระมัดระวัง
หลินเมิ่งเจ๋อถอนหายใจ “พืชป่าก็โตขึ้นมาจากเมล็ดป่าไม่ว่าเจ้าจะพยายามบ่มเพาะมันมากแค่ไหนก็ตาม !”
น้อยยิ่งนักจะรู้ว่าที่จริงแล้วหลินเฉ่าเซวียนเป็นสมาชิกของราชวงศ์ด้วยเช่นกัน
แต่สถานะของเขาก็ไม่ได้สูงนัก เพราะเขาเป็นลูกชายนอกสมรสของพี่ชายของหลินเมิ่งเจ๋อ หลินหราวเซียน ที่จริงแล้วเขากระทั่งจำเป็นต้องเรียกหลินเมิ่งเจ๋อเป็นพี่ชายของพ่อเสียด้วยซ้ำ
ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กนอกสมรสผู้โดนดูถูกและเหยียดหยามจะกลับกลายเป็นหนึ่งในผู้บังคับบัญชาที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพกำลังสวรรค์ และตอนนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายไร้ขอบเขตอีกด้วย
เมื่อหลินเมิ่งเจ๋อนึกถึงหลินเฉ่าเซวียน หัวใจของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความเบิกบาน
โชคไม่ดีนักที่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เหล่าขุนนางจึงได้แต่เริ่มถกเถียงกันไปมา
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือคิดหาว่าเราจะต้องทำยังไงกันดี”
“นิกายไร้ขอบเขตเป็นเพียงขวากหนามเล็ก ๆ สำหรับเรา หลินจุ้ยหลิวคือศัตรูตัวจริง พวกเราจึงควรมุ่งความสนใจไปยังการจัดการกับหลินจุ้ยหลิวแทน”
“แต่ศักยภาพของนิกายไร้ขอบเขตนั้นมหาศาล และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทุก ๆ วัน เราได้คุกคามพวกเขาไปแล้ว ถ้าพวกเรายังจะเดินหน้าต่อไป เราก็มีแต่จะพาตัวเองไปสู่ความล้มเหลวในอนาคตเท่านั้น”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ว่าคุกคาม ? พวกเราเป็นชนชั้นสูง ในขณะที่พวกเขาเป็นเพียงประชาชน แล้วถ้าเราสั่งสอนพวกเขาสักหน่อยล่ะ ? พวกเขาจะกล้าก่อกบฏไหม ?”
“ข้าเกรงว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายสั่งสอนเราแทนน่ะสิ”
“เจ้าพูดอะไรแบบนั้น ? อย่างมากที่สุด มันก็จะถูกพิจารณาเป็นการดำเนินการทางทหารที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้นเอง ยังไงซะชัยชนะและความพ่ายแพ้ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับการสงคราม”
“เจ้ารู้วิธีปกป้องหลังของตัวเองดีจริง ๆ นะ”
เหล่าขุนนางต่างพูดคุยไร้สาระกันอย่างไม่หยุดหย่อน บางคนเสนอว่าพวกเขาควรจัดการกับหลินจุ้ยหลิวก่อน ในขณะที่คนอื่น ๆ เสนอว่าพวกเขาควรจัดการกับนิกายไร้ขอบเขตก่อน …เหตุผลและความคิดต่าง ๆ นานาถูกพูดออกมา
มีเพียงองค์รัชทายาทหลินเหวินจวิ้นที่เข้าใจในความคิดของผู้เป็นบิดาและเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ในเมื่อหลินเฉ่าเซวียนคือผู้ที่กลับมาในคราวนี้ ทำไมเราไม่รออีกสักหน่อยล่ะ ? บางทีพวกเราอาจจะ……”
เขาไม่ได้พูดจนจบประโยค แต่หลินเมิ่งเจ๋อก็เข้าใจว่าลูกชายตนกำลังพูดถึงสิ่งใด
เขาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะข้างหน้าเบา ๆ อยู่ไม่กี่ครั้งก่อนจะพูดขึ้น “เราสามารถปล่อยเรื่องของนิกายไร้ขอบเขตไปก่อน สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือสังหารหลินจุ้ยหลิว มีพวกเจ้าคนใดอยากจะไปเผชิญหน้ากับไอ้กบฏนี่บ้าง ?”
ทุกคนมองหน้ากันและกัน เป็นครั้งแรกที่ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดปากแม้แต่น้อย
ช่างน่าขันยิ่งนัก ! หลินจุ้ยหลิวยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันอีกด้วย นอกจากผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันแล้ว ใครจะสามารถสู้กับเขาได้อีกล่ะ ?
มีผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันเพียงคนเดียวอยู่ที่หลงซางในตอนนี้ และนั่นก็คือตัวหลินเมิ่งเจ๋อเอง
หลินเมิ่งเจ๋อเป็นจักรพรรดิและไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยตัวเองบ่อยนัก แต่โดยไร้ซึ่งการกำกับดูแลของเขาแล้ว ใครจะกล้าเสนอตัวกัน ?
ที่จริงแล้วหลินเมิ่งเจ๋อควรจะถามไปว่า ‘ขุนนางคนไหนบ้าง’ ไม่ใช่ “ขุนนางคนไหน”
ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน 7 หรือ 8 คนควรจะเพียงพอในการรับมือกับด่านมหาราชันสักคน
วิธีการที่เขาได้เอ่ยคำถามออกไปนั้นไม่ชัดเจนพอ จึงไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ยินดีจะก้าวออกมาข้างหน้า ทั่วทั้งโถงตกอยู่ในความเงียบสงัดในทันที
หลินเมิ่งเจ๋อรู้ถึงปัญหาได้ในทันที อย่างไรแล้วเขาก็คือจักรพรรดิ และเขาก็ไม่ได้โง่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าลักษณะนิสัยของเขาจะดีถึงขนาดนั้น สีหน้าของเขาหม่นหมองลงขณะที่ถอนหายใจ “พวกเจ้าต่างก็ทำตัวแข็งแกร่งไปทั่ว แต่ไม่มีพวกเจ้าสักคนมีความกล้าใด ๆ ในวินาทีวิกฤติที่สุด”
ทุกคนต่างก้มหัวลง ไร้ซึ่งคำพูด
หลินเมิ่งเจ๋อพูดต่อ “ในเมื่อไม่มีใครยินดีเริ่ม งั้นข้าจะเลือกเอง เหอเหวินเล่อ ฉางเจี้ยนซิน หลิวอวี่……”
เขาขานชื่อของ 5 คนออกมา ผู้ซึ่งล้วนอยู่ในด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน
เมื่อได้ยินชื่อเหล่านี้ ทุกคนต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้ว่าการต่อสู้ 5 ต่อ 1 จะไม่ใช่เรื่องง่าย มันก็จะไม่เป็นปัญหาต่อพวกเขาในการยืดเวลาออกไปสักหน่อย เมื่อจับคู่กับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณและสู่พิสดารเพียงพอ มันก็เป็นไปได้ที่อย่างน้อยพวกเขาจะไม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของหลินจุ้ยหลิวคือรากฐานของเขานั้นแคบเกินไป แม้ว่าจะได้ควบคุมพื้นที่ทางใต้ เขาก็ยังขาดกำลังคนอยู่มาก และหากต้องแข่งกันในเรื่องของความแข็งแกร่งพื้นฐานแล้ว หลินจุ้ยหลิวจะต้องแพ้อย่างแน่นอน
ส่วนเหตุผลที่หลินเมิ่งเจ๋อเลือกมาเพียงแค่ 5 คน……
ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินนั้นไม่ใช่กะหล่ำปลี นอกจากนี้ยังมีคนหนึ่งถูกสังหารและอีกคนถูกกักขังตัวไว้ กวนเทาคือผู้เดียวที่ถูกกักขังเพราะความล้มเหลวของเขาในฐานะแม่ทัพ แม้ว่าความล้มเหลวของเขาจะไม่ได้ไร้เหตุผล เขาก็ยังจำเป็นจะต้องถูกลงโทษเพื่อเป็นการเตือนคนอื่น ๆ ไปด้วย
ดังนั้นแล้ว การเลือกออกมา 5 คนก็คือขีดจำกัดสูงสุดของหลินเมิ่งเจ๋อแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลินจุ้ยหลิวกำลังสร้างปัญหาให้พวกเขาใหญ่โตเพียงใด
ตอนนี้ในเมื่อเหล่าแม่ทัพได้ถูกเลือกแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเลือกกองทัพสนับสนุน
มันเรียบง่ายยิ่งนัก พวกเราสามารถจัดเรียงกองทัพที่กลับมาจากเขาหมื่นดาบใหม่ได้และเติมช่องว่างด้วยเหล่าทหารจากกองอื่นแทน
ปัญหาคือการรวบรวมผู้คนจากหลากหลายกองทหารนั้นไม่ได้เป็นไปได้ง่ายเสมอไป
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หลินเมิ่งเจ๋อก็เอ่ยขึ้น “ดึงคนบางส่วนมาจากปราการลุ่มน้ำทอง”
ใครบางคนเอ่ยด้วยความตกใจ “ฝ่าบาท ปราการลุ่มน้ำทองคือตำแหน่งวิกฤติในการปกป้องเราจากเผ่าคนเถื่อนนะ ! ท่านไม่อาจลดทอนกำลังที่นั่นได้ !”
หลินเหวินจวิ้นกล่าว “เผ่าคนเถื่อนกำลังอยู่ในสถานะโกลาหล และตานปาก็กำลังเริ่มการกบฏขึ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังคงติดอยู่ในมรสุมอันขมขื่นด้วยกัน ไม่มีทางที่พวกเขาจะมาไล่ล่าเราในตอนนี้”
“แต่……”
“ไม่มีแต่ เรื่องนี้ตัดสินใจแล้ว” หลินเมิ่งเจ๋อกล่าว
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ฝ่าบาท ข้ามีรายงานทางทหารฉุกเฉิน !”
“พูด”
“เหล่าอสูรกายได้บุกรุกพวกเราจากทางเหนือ พวกมันกำลังก่อความวุ่นวายและได้ทำลายล้างไปถึง 6 เมืองแล้ว”
หลินเมิ่งเจ๋อหน้าบึ้งตึง “ก็แค่อสูรกายไม่กี่ตัว เมืองเหล่านั้นไม่สามารถกำจัดมันได้เองหรือไง ?”
“ข้าเกรงว่าไม่”
“มันคือจักรพรรดิอสูรกาย”
ปัง !
หลินเมิ่งเจ๋อบดขยี้หยกมังกรจารึกที่เขาถือไว้ในมือ
บนเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล
ตามปกติทั่วไป ซูเฉินยืนอยู่บนยอดปราสาท มองออกไปยังผืนทะเลกว้าง ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด
นี่คือช่วงเวลาที่เขาสงวนไว้เพื่อสะท้อนตัวเองในแต่ละวัน มันทำให้สมองที่เหนื่อยล้าจากการทำงานหนักของเขาได้พักผ่อน เช่นเดียวกับโอกาสที่ประสบการณ์ทั้งหลายที่เขาเผชิญมาจะมอบแรงบันดาลใจให้แก่เขา
และในตอนที่ชายหนุ่มกำลังสำราญใจอยู่กับช่วงเวลาสงบสุขอยู่นั้นเอง ชายคนหนึ่งผู้แต่งกายในชุดเกราะเหล็กก็เดินเข้ามา เกราะของเขากระทบกันเสียงสนั่น เขาคือหัวหน้าคนที่ 4 แห่งเพลิงทมิฬ ติ้งเฟิงนั่นเอง
เขาเดินเข้ามาหาซูเฉินและยืนนิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านกำลังตามหาข้าหรือ ?”
“อื้ม” ซูเฉินตอบ “ข้ามีข่าวดี”
ติ้งเฟิงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
ซูเฉินกล่าวอย่างใจเย็น “เฉ่าเซวียนชนะและกวาดล้างกองทหารที่โจมตีเขาหมื่นดาบไปถึงเกือบครึ่ง เขาเองก็ยังปลอดภัยอีกด้วย… คราวนี้เขาทำได้ดีจริง ๆ”
ติ้งเฟิงยังคงเงียบสนิท
ซูเฉินไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
ทั้งสองต่างก็จ้องมองกันและกันอยู่พักใหญ่
หลังจากเวลาผ่านไป ติ้งเฟิงก็เอ่ยขึ้น “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ?”
ซูเฉินกล่าวอย่างสงบนิ่ง “เจ้าแอบพบกับเขาบ่อย ๆ ไม่ใช่หรือ ? พวกเจ้ามีสัมพันธไมตรีที่ดีทีเดียวใช่ไหมล่ะ ? มันแปลกขนาดนั้นเลยหรือที่ข้ามาบอกเจ้า ?”
ติ้งเฟิงตอบอย่างใจเย็น “ท่านซู ท่านต้องเข้าใจผิดเป็นแน่ ข้าและผู้อาวุโสหลินไม่เคยแอบพบก่อนมาก่อน”
ซูเฉินหัวเราะ “ข้าคือเจ้านิกายแห่งนิกายไร้ขอบเขต ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบหลักคือการวิจัยและตามหาวิธีการลบล้างท้องสมุทรโศกา ไม่ว่าจะผ่านยาหรือสิ่งอื่นก็ตาม ทว่าข้าก็ไม่เคยลืมสถานะของข้าในฐานะผู้บังคับบัญชาของกองทัพเรือร่วมครั้งนี้ ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าข้าจะหมกมุ่นอยู่กับงานวิจัยมากเพียงไร ข้าก็จะเตือนให้ระมัดระวังข้อมูลรั่วไหลไปสู่โลกภายนอกอยู่เสมอ โชคดีที่กำไรบางส่วนที่ข้าบังเอิญพบเข้าในอดีตได้มอบความสามารถในการรับมือกับหลายสิ่งในคราวเดียวให้แก่ข้า”
ซูเฉินแตะศีรษะของตัวเองขณะที่เขาพูด
แล้วเขาก็หันหลังกลับมามองยังติ้งเฟิง “บางทีเจ้าอาจไม่เคยแอบพบกับเขามาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดเจ้าจากการแอบสื่อสารกันมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น……”
เขายกมือขึ้นและทำสัญลักษณ์มือบางอย่าง พวกมันดูไม่เป็นงานและเกียจคร้าน แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้พวกมันแตกต่างออกไป
ติ้งเฟิงนิ่งสนิท แต่รังสีแสงหนึ่งก็กะพริบผ่านสายตาของเขาไป
“สมุนของเจ้าไม่เข้าใจสินะ” เขากล่าว
“แต่ข้าเข้าใจ” ซูเฉินพูด “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงร้องขอเจ้าให้มากับข้าจากเกาะพันมายาเป็นพิเศษ ?”
ติ้งเฟิงยังคงเงียบงัน
ซูเฉินพูดต่อ “เพราะข้ารู้ว่าเจ้าจำเฉ่าเซวียนได้แล้ว ใช่ เจ้าเก็บซ่อนมันไว้ดีทีเดียว และกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังสัมผัสความผันผวนในอารมณ์ของเจ้าได้อย่างยากลำบาก แต่เจ้าลืมไปว่าเฉ่าเซวียนไม่ได้มีพรสวรรค์เดียวกัน ข้าไม่เคยเห็นความตื่นเต้นหรือความสุขระดับนั้นออกมาจากหัวใจของเขาอย่างที่เคยมีในวินาทีที่ข้าเห็นเจ้า ดังนั้นแล้ว ข้าจึงรู้ได้ทันทีว่าเจ้าเป็นบุคคลที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา แต่ในเมื่อเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น ข้าก็ไม่อยากจะถามต่อ ที่จริงข้าอยากให้สิ่งต่าง ๆ คงอยู่เช่นนี้มากกว่าถ้าเป็นไปได้”
“แต่เจ้าไม่ได้ทำ” ติ้งเฟิงตอบ
คราวนี้ เขาไม่พยายามที่จะปฏิเสธความจริงในที่สุด
“ใช่” ซูเฉินถอนหายใจ “ทุกคนมีความลับของตัวเอง และการซักไซ้พวกเขาอย่างดุดันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน ข้าจึงไม่มีทางเลือก”
“สถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ?”
ซูเฉินพยักหน้า “ใช่ ข้าพึ่งจะได้ยินมาว่าสงครามกลางเมืองของตานปาได้ไปถึงจุดวิกฤติแล้ว และชัยชนะก็คงจะเกิดขึ้นในอีก 2 ปี ดังนั้นแล้วแรงกดดันบนปราการลุ่มน้ำทองก็จะลดลงมากมาย แม้ว่าหลินจุ้ยหลิวและนิกายไร้ขอบเขตจะทำให้หลงซางตกอยู่ในสถานการณ์หนีเสือปะจระเข้ การโยกย้ายกำลังพลของปราการลุ่มน้ำทองก็เป็นปัญหาหนึ่ง แม้ว่าจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันอยู่ที่นั่น และกระทั่งมีผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอยู่ไม่มากนัก ชนชั้นสูงของชนชั้นสูงก็ล้วนปักหลักอยู่ที่นั่น พวกเขาเป็นทหารที่ทั้งกล้าหาญและทรงพลังผู้ไม่อาจดูถูกได้ หากเหล่าทหารในปราการลุ่มน้ำทองถูกโยกย้ายไปเพิ่มอีกครั้ง พวกเขาจะต้องรับมือได้ยากอย่างแน่นอน ข้าได้ส่งผู้คนไปยังพื้นที่ทางเหนือเพื่อใช้ยาภาพลวงที่ข้าพัฒนามาพร้อมกับสสารต้นกำเนิดร่างแยกที่ข้าแยกออกมาเพื่อสร้างเจตคติว่าจักรพรรดิอสูรกายกำลังบุกรุกจากทางเหนือ นี่ควรจะเพียงพอในการยื้อเวลาพวกเราได้สักครู่ แต่มันจะซื้อเวลาให้เราได้ไม่มากนัก สักครึ่งปีก็คงจะน่าประทับใจแล้ว”
“เขาต้องการอะไรจากข้ากัน ?”
“ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าสร้างมันเพื่อที่ปราการบุ่มน้ำทองจะไม่สามารถส่งทหารของพวกเขาออกมาได้ ด้วยวิธีนี้ หลินจุ้ยหลิวและเฉ่าเซวียนจะมีเวลาจัดเตรียมการมากกว่า”
ติ้งเฟิงเงียบสนิท
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เขาก็เอ่ยขึ้น “ทำไมเจ้าถึงทึกทักเอาว่าข้าสามารถป้องกันไม่ให้ปราการลุ่มน้ำทองส่งกองทหารออกมาได้ล่ะ ?”
“เพราะเจ้าคืออดีตรองผู้บัญชาการของปราการลุ่มน้ำทอง วีรบุรุษไร้สายเลือดของเผ่ามนุษย์ แม่ทัพหลงพั่วจวินผู้หายสาบสูญ !”