ภาคที่ 6 บทที่ 48 กระดูกปีศาจโลหิต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 48 กระดูกปีศาจโลหิต

บรรยากาศเริ่มสงบเงียบลงในทันที

ติ้งเฟิงมองไปยังซูเฉิน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาก็พูดขึ้นในที่สุด “ท่านรู้ได้ยังไง ?”

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พยายามที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหา ซูเฉินก็เผยยิ้มด้วยความพึงพอใจ “กลุ่มธารามืดควรจะเป็นกลุ่มของโจรนอกรีตจอมก่อกวน แต่เจ้าสามารถฝึกสอนพวกเขาให้กลายเป็นกองทหารชั้นสูงได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้หรอกนะ มันยังแปลกประหลาดอีกด้วยที่เจ้ายังคงปกปิดตัวตนไว้แม้จะเข้าร่วมกลุ่มเพลิงทมิฬ หลินเฉ่าเซวียนคือทายาทนอกสมรสของราชวงศ์และสมาชิกของอาณาจักรหลงซาง การหายตัวไปของหลงพั่วจวินและการรับตำแหน่งแทนเจ้าของหลินเหวินจวิ้น แล้วก็ชะตากรรมของกองทัพกำลังสวรรค์… ข้าเคยคิดว่านี่เป็นเพราะความไร้ศักยภาพของหลินเหวินจวิ้น แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อให้พ่อของเขาพึงพอใจ แต่เหตุผลเดียวที่ข้าได้รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกนั้นเป็นเพราะการก้าวถอยหลังของหลินเฉินหยวน……”

หลินเหวินจวิ้นได้ก่อข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวง แต่เขาก็ยังสามารถก้าวเดินต่อไปได้ ข้อได้เปรียบของหลินเฉินหยวนนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง แต่เขาก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี ทำไมกัน ?

ซูเฉินสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย

และอ้างอิงจากผ้าเท่อลั่วเค่อ เขาได้มีการติดต่อกันกับหลินเฉินหยวนด้วย

แม้ว่าหลินเฉินหยวนจะล้มเหลว เขาก็ไม่ได้สิ้นลมหายใจ เขาเพียงแค่ถูกประณาม ทำให้ชายหนุ่มสับสนและไม่พอใจในความล้มเหลวของตนเองเป็นอย่างมาก ซึ่งนำพาไปสู่การทำงานสืบสวนบางอย่างด้วยตัวเอง

ต่อมา เขาก็สามารถค้นพบบางอย่าง

ข้อมูลที่เปิดเผยนั้นน่าตกใจอย่างแท้จริง

เพราะการฟื้นคืนชีพของหลินเหวินจวิ้นยังเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อกองทัพกำลังสวรรค์ในอดีตอีกด้วย

พูดให้ชัดเจนกว่านั้นคือ การทำร้ายกองทัพกำลังสวรรค์ของหลินเหวินจวิ้นนั้นไม่ได้เกิดจากความไร้พรสวรรค์ของเขา มันถูกวางแผนมาตั้งแต่แรกเริ่ม !

แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหลินเหวินจวิ้นจึงเลือกที่จะทำเช่นนั้น

แต่จากสิ่งที่หลินเฉินหยวนได้รวบรวมมา ก็คือแท้จริงแล้วหลินเหวินจวิ้นได้ทำแทนพ่อของเขา !

ข้อมูลชิ้นนี้น่าตกใจยิ่งนัก

งั้นก็คือตัวจักรพรรดิเองที่ต้องการจัดการกองทัพกำลังสวรรค์สินะ ?

การร่วงลงหรือได้รับอำนาจสูงขึ้นของหลินเหวินจวิ้นจึงสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย

ความล้มเหลวของเขานั้น ที่จริงแล้วเขาเพียงแค่รับข้อกล่าวหาสูงสุดให้หลินเมิ่งเจ๋อ

การที่เขารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งจึงไม่แปลกแต่อย่างใดเพราะมันเป็นเพียงแค่การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่หว่านลงไป

แต่หลินเฉนหยวนก็ไม่รู้เลยว่าทำไมหลินเมิ่งเจ๋อจึงต้องการจัดการกับกองทัพกำลังสวรรค์ ที่จริงหลินเฉินหยวนกระทั่งไม่แน่ใจว่าเป็นหลินเมิ่งเจ๋อจริงหรือไม่ที่ต้องการจัดการกับกองทัพกำลังสวรรค์ตั้งแต่แรก เขาได้ใช้ทรัพย์สินนับไม่ถ้วนและเสียผู้ช่วยส่วนตัวหลายตนเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลนี้ ทว่ามันก็ยังคงพร่ามัวและไม่ปะติดปะต่อกันอยู่ดี เขารู้เพียงแค่ว่ามีแนวโน้มที่ใครบางคนในราชวงศ์จะเป็นผู้รับผิดชอบกลอุบายต่อกองทัพกำลังสวรรค์ และเรื่องนี้ก็ดูจะเกี่ยวข้องกับหลงพั่วจวินผู้หายสาบสูญ

ซูเฉินรู้ถึงสถานะราชวงศ์ของหลินเฉ่าเซวียนอยู่แล้ว เพราะเขาได้เจาะเลือดของทุกคนมาเมื่อตอนที่กำลังทำงานวิจัยในอดีต

และเมื่อเขาเจาะเลือดของหลินเฉ่าเซวียน

หืม ?

เลือดเทพอสูร ?

นั่นคือวิธีการที่หลินเฉ่าเซวียนอธิบายตัวตนของเขาต่อซูเฉิน

เมื่อหลินเฉินหยวนบอกซูเฉินของข้อมูลที่เขารู้ ซูเฉินก็นึกถึงหลินเฉ่าเซวียนขึ้นมาทันที จากการที่ติดต่อกันแบบลับ ๆ ของติ้งเฟิงและหลินเฉ่าเซวียน ความจริงก็ชัดเจนขึ้นในทันที หากเขานึกไม่ได้ตอนนั้น ก็แปลว่าเขาไม่ใช่ซูเฉิน

เมื่อได้ยินคำอธิบายของซูเฉิน ติ้งเฟิง ไม่สิ หลงพั่วจวิน ก็เข้าใจในที่สุด

เขาพยักหน้า “งั้นก็เป็นอย่างนี้เอง ความอัจฉริยะของท่านซูช่างไร้เทียมทาน ข้าไม่ประหลาดใจเลยที่ข้าจะไม่อาจเก็บงำความจริงไปจากท่านได้”

ซูเฉินกล่าว “ที่จริงเหตุที่หลินเหวินจวินต้องการจัดการกับกองทัพกำลังสวรรค์หลัก ๆ ก็เพราะเจ้าใช่ไหม ?”

หลงพั่วจวินไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้แต่อย่างใด เขากลับถามขึ้น “ท่านได้ข้อสันนิษฐานเช่นนั้นได้อย่างไร ?”

“การอนุมานทั่วไป ถ้าหลินเหวินจวิ้นต้องการจัดการกับเฉ่าเซวียน ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีโอกาสมากมายที่จะสังหารเขาได้ หรือกระทั่งประหารเขาอย่างเปิดเผยโดยไร้ซึ่งผลกระทบ ยังไงเฉ่าเซวียนก็เป็นลูกนอกสมรส และหลินหราวเซียนก็เสียชีวิตไปนานแล้ว ไม่มีใครที่จะพูดแทนเขา ดังนั้นแล้ว สาเหตุหลักในการจัดการกับกองทัพกำลังสวรรค์ของเขาคือ……”

“เพื่อบังคับให้ข้าเปิดเผยตัว” หลังพั่วจวินตอบ

“แต่โชคร้ายที่เขาล้มเหลว” ซูเฉินพูด

กองทัพกำลังสวรรค์ได้ติดอยู่ในเขตแดนของเผ่าคนเถื่อนมาอย่างยาวนาน แต่หลงพั่วจวินไม่เคยเปิดเผยตัว ในท้ายที่สุด ซูเฉินนั่นเองที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้จากชะตาที่ต้องเผชิญ

หลงพั่วจวินถอนหายใจ “ย้อนไปสมัยที่ข้าเข้าร่วมกองทัพ ข้าถูกเกณฑ์โดยกองทัพกำลังสวรรค์ ข้ามีความสุขที่สุดในช่วงเวลานั้น เหวินฉางคือเจ้านายของข้า และฉงซานก็เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่ข้าไว้วางใจ ข้ามองดูโม่เสียแก่ตัวลง เถียนไห่เป็นศิษย์ของข้า อิงหว่านเป็นลูกสาวของหนึ่งในสหายข้าที่เสียชีวิตไปแล้ว และหลินเฉ๋าเซวียนก็คือลูกชายของเจ้านายข้า…… ผู้คนในของกองทัพกำลังสวรรค์นั้นเหมือนกับครอบครัวของข้าทีเดียว”

ซูเฉินยังคงนิ่งงัน

หลงพั่วจวินมองไปยังเขา “ท่านอยากถามข้าไหมว่าทำไมข้าถึงไม่ได้ทำอะไรเลยกระทั่งเมื่อข้ารู้ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่ความพังพินาศ ?”

“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะมีเหตุผลของตัวเองที่เจ้าไม่อาจทำได้”

หลงพั่วจวินหัวเราะ “เจ้าก็รู้วิธีปลอบประโลมข้า แต่ข้าขออภัยที่ต้องบอกท่านว่าข้าไม่มีเหตุผลใดหรอก เหตุผลเดียวที่ข้าไม่ได้ไปเพราะข้ารู้ว่ามันจะสูญเปล่า…… ข้าไม่อาจช่วยพวกเขาไว้ได้หรอก”

ขณะที่พูด เขาก็ถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาและมองออกไปยังผืนทะเลที่สงบสุข “ข้าได้เข้าร่วมเพลิงทมิฬไปแล้วในตอนนั้น แม้ว่าโลกจะกว้างใหญ่ นี่ก็เป็นเพียงที่แห่งเดียวที่ข้าสามารถซ่อนตัวได้ เกาะพันมายานั้นอยู่ตรงใจกลางของที่ ๆ ไม่มีใครรู้จัก และข้อมูลก็แทบจะมาไม่ถึงทางนี้ บางครั้งก็ใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่ข่าวสารจะมาถึงพวกเรา ข้าค้นพบเกี่ยวกับชะตาของกองทัพกำลังสวรรค์หลังจากราว ๆ ครึ่งปีได้ผ่านพ้นไป ในช่วงเวลานั้น ข้าคิดจะพยายามช่วยพวกเขาเช่นกัน แต่ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ ? พวกเขาอยู่ในเขตแดนของเผ่าคนเถื่อน ในขณะที่ข้าอยู่ตัวคนเดียว แม้ว่าข้าจะไป ข้าก็เพียงแค่จะไปตายกับพวกเขา ข้าไม่ได้มีความสามารถถึงเพียงนั้น ก็จริงที่ทักษะผู้นำของข้าไม่ได้แย่นัก แต่คิดดูสิ ซูเฉิน เจ้าช่วยกองทัพกำลังสวรรค์ได้เพียงเพราะทักษะทางกลยุทธ์และความเป็นผู้นำของเจ้าจริง ๆ หรือ ?”

ซูเฉินตกตะลึง

มันคือความจริงที่เขาได้ช่วยเหลือกองทัพกำลังสวรรค์ไว้ แต่ไม่ใช่ด้วยการพึ่งพากลยุทธ์ ปัจจัยหลักคือความร่ำรวยของเขา ! ความร่ำรวยนี้ทำให้ชายหนุ่มสามารถซื้อแหวนต้นกำเนิดได้จำนวนมากและเติมเต็มพวกมันด้วยทรัพยากรมหาศาล ทำให้กองทัพกำลังสวรรค์สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ นี่คือวิธีการที่พวกเขาสามารถสู้รบต่อไปและพลิกกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบได้

และการดึงดูดความสนใจเหล่าอสูรของซูเฉินกับการทำให้เผ่าคนเถื่อนสับสนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยุทธการทางทหารเช่นกัน แผนการของซูเฉินเน้นสร้างปัญหาขึ้นมากเท่าที่จำเป็นไปได้เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสในการหลบหนีไปท่ามกลางความโกลาหลเพียงเท่านั้น

และไม่มีทางที่หลงพั่วจวินจะสามารถเตรียมการสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้

ถึงอย่างนั้น ซูเฉินก็ได้แต่ทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย

ตามหลักแล้ว เขายอมรับว่าไม่มีสิ่งใดผิดในสิ่งที่หลงพั่วจวินกล่าว ด้วยแม้ว่าอีกฝ่ายจะไปก็มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถทำสิ่งใดได้อยู่ดี

แต่ทุกอย่างจำเป็นต้องถูกพิจารณาตามหลักการนักหรือ ?

เขาเป็นทหาร แต่เขาก็ขาดความกล้าหาญและองอาจงั้นหรือ ?

เจ้าคือหลงพั่วจวินไม่ใช่หรือ ? หลงพั่วจวินผู้แน่วแน่ไร้เทียมทานในตำนานน่ะหรือ ?

หลงพั่วจวินพูดอะไรอย่าง ‘มันคงไม่แตกต่างแม้ว่าข้าจะไป’ ได้อย่างไร ?

ซูเฉินไม่อาจต้านทานที่จะพูด “ข้ากำลังเริ่มสงสัยว่าเจ้าคือหลงพั่วจวินจริง ๆ หรือ หลงพั่วจวินในดวงใจของข้าคือนักรบผู้ไร้เทียมทาน ผู้ไม่เคยท้อถอยและไม่เคยยอมแพ้”

“เจ้าจะรู้อะไรล่ะ ?” หลงพั่วจวินเริ่มขึ้นเสียงอย่างไม่คาดคิด “นั่นไม่ใช่ข้าเลยสักนิด และข้าก็ไม่ใช่คนที่เจ้าคิดว่าข้าเป็น !”

อะไรนะ ?!

หลังพั่วจวินยังคงตะโกนต่อไป “ข้าพอแล้ว ! ในปีที่ผ่าน ๆ มา ข้าเกินทนแล้ว นักรบผู้ไร้เทียมทานงั้นหรือ ? นั่นไม่ใช่ข้าเลยสักนิด ! ข้าเหนื่อยกับการเสแสร้งเป็นคนเช่นนั้นเต็มทนแล้ว ซูเฉิน ข้าจะแสดงให้ท่านดูในวันนี้ว่าจริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบไหน !”

ขณะที่พูดเขาก็ยื่นแขนออกมาข้างหน้าและถอดชุดเกราะที่ห่อหุ้มร่างกายออก

ชายตัวเตี้ยปรากฏขึ้นตรงหน้าของซูเฉิน

หลังจากที่ถอดชุดเกราะหนาเตอะออก หลงพั่วจวินตัวจริงสูงเท่ากับไหล่ของซูเฉินเท่านั้น นั่นไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่ที่สำคัญที่สุดคือเขามีร่างกายผอมกะหร่องจนดูเหมือนถุงที่เต็มไปด้วยกระดูก ราวกับว่าเขาไม่ได้กินอาหารเต็มมื้อมาหลายปี

นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เขาดูเหมือนคนที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูก มันกระทั่งเป็นไปได้ที่จะมองเห็นกระดูกสีแดงมากมายเรืองแสงอยู่ภายใต้ผิวหนังของเขา พร้อมด้วยหัวใจเต้นอย่างแผ่วเบา

แต่…… นี่จะเป็นหลงพั่วจวินได้อย่างไร ?

หลงพั่วจวินในความทรงจำของเขา และในตำนาน เขาเป็นชายรูปร่างสูง กำยำ และแข็งแรง ร่างกายของเขาควรจะแข็งราวกับเหล็กกล้า

เห็นได้ชัดว่าร่างกายของชายคนนี้นั้นทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาสามารถกินวัวได้ทั้งตัวในมื้อเดียว และราวกับว่าร่างของเขาถูกสร้างขึ้นจากโลหะ ทุกครั้งที่โจมตี เขาจะใช้กำปั้นโดยตรงเพื่อบดขยี้ศัตรูจนถึงชีวิต กล้ามเนื้อของเขานั้นแข็งแรงอย่างผิดมนุษย์ เขาคือตัวอย่างที่ชัดเจนของชายผู้ป่าเถื่อน

แม้ว่าข่าวลือเหล่านั้นจะเกินจริงไปบ้าง ปริมาณของความเกินจริงก็คงจะมากเกินไปสักหน่อย

นอกจากนี้ เฉิงเถียนไห่และหลี่ฉงซานอยู่กับหลงพั่วจวินมาหลายปี พวกเขาคงจะไม่พูดเกินจริงเช่นกันใช่ไหม ?

ระหว่างบทสนทนาของพวกเขาก่อนหน้านี้ หลงพั่วจวินได้ถูกพูดถึงมาก่อน น้ำเสียงของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความเคารพและเกรงขาม ไม่มีใครเคยบอกซูเฉินว่าที่จริงแล้วข่าวลือทั้งหมดนี้ล้วนไร้สาระ และที่จริงแล้วเขาเป็นชายร่างผอมเตี้ยคนนี้ผู้ไร้ตัวตนโดยสมบูรณ์

ไม่มีแม้แต่คนเดียว !

ไม่มีใครเคยบอกสิ่งใดที่ใกล้เคียงกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย !

ในสายตาของพวกเขา แม่ทัพหลงนั้นคือเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ไร้เทียมทานและไร้ที่เปรียบ !

สิ่งเดียวที่มีความน่าเชื่อถือต่อตำนานเหล่านี้คือแผลเป็นนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมร่างของชายร่างบาง

แผ่นหลังของชายคนนั้นมีร่องรอยแผลเป็นตัดกันผ่านบนร่างของเขา ดูราวกับว่าเขาได้รอดชีวิตมาจากบาดแผลนับพัน

แทบไม่มีพื้นที่เหลือบนร่างกายของเขาที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้เพิ่มได้อีก

ร่างกายที่ผอมแห้งถึงเพียงนั้นสามารถต้านทานบาดแผลเหล่านี้ได้อย่างไรกัน ?

สีหน้าของซูเฉินตึงเครียดในทันที “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่ ?”

หลงพั่วจวินหัวเราะอย่างขมขื่น

เขาก้มหัวลงเพื่อมองตัวเองและมือของตนขณะที่เอ่ย “ไม่มีหรอก จริงแล้ว ๆ ข้าแค่ไม่อยากทำต่อไปอีกแล้ว ข้าเบื่อการต่อสู้ เบื่อการฆ่าฟัน เบื่อการแสร้งทำเป็นไร้เทียมทาน เป็นผู้ชายตัวจริง… ข้าเหนื่อยหน่ายและแค่อยากจะหาที่ ๆ ข้าได้พักผ่อนก็เท่านั้นเอง”

“แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน?”

“ข้าทำให้มันพอใจไม่ได้ มันหิวโหย แต่ข้าไม่อาจกลืนกินเลือดเนื้อใดได้ มันจึงได้แต่กัดกินตัวข้า…… ทีละน้อย ทีละน้อย มันได้กัดกินข้ามาจนถึงสภาพนี้”

“มันหรือ ?” ซูเฉินถาม

“ใช่ ‘มัน’ กระดูกนี้ในร่างกายของข้า” หลงพั่วจวินตอบ

ภายใต้ผิวหนังที่แห้งเหี่ยว กระดูกสีโลหิตชิ้นหนึ่งเรืองแสงขึ้นและเต้นเป็นจังหวะ

สายตาของซูเฉินจ้องเขม็ง “กระดูกนี่…… มันไม่ใช่ของเจ้าหรือ ?”

“ไม่ ไม่ใช่” หลงพั่วจวินตอบ “ใครบางคนแลกเปลี่ยนมันให้ข้า”

ซูเฉินรู้สึกถึงหัวใจของตนที่สั่นไหว “ใครกัน ?”

“ท่านไม่เคยพบเขามาก่อนหรือ ? เขามอบดวงตาที่สามารถรับรู้ได้ถึงความจริงของโลกใบนี้ได้ให้แก่ท่าน และมอบกระดูกปีศาจโลหิตนี้ที่สามารถกลืนกินเลือดเนื้อเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องให้แก่ข้า ทำให้ข้าสามารถกลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ไร้เทียมทานได้”