บทที่ 49 กลับมา
งั้นขอทานชราคนนั้นก็เกี่ยวข้องอีกแล้วหรือ..?!
หลังจากที่พบกับหลี่ต้าวหงซูเฉิน ชายหนุ่มก็ไม่ประหลาดใจกับสถานการณ์เช่นนี้อีกต่อไป
สถานการณ์ของเขาเองก็ไม่ได้แตกต่างไปแต่อย่างใด เขาไม่รู้เลยว่ามีใครกี่คนที่ได้รับผลกระทบโดยขอทานชราคนนี้เช่นกันบ้าง
สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับหลงพั่วจวิน
แต่ต่างการความทรมานที่ซูเฉินและหลี่ต้าวหงได้ผ่านมา เขาสามารถปฏิบัติตัวและเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระทันทีที่กระดูกได้ถูกปลูกถ่ายลงในร่าง ความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์นั้นได้กลายเป็นของเขาแทบจะในทันที ถึงอย่างนั้น มันก็มีราคาที่เขาจำเป็นจะต้องจ่าย
“สำหรับคนนอก ข้าดูเหมือนทหารผู้กล้าหาญชาญชัยผู้ฝึกฝนร่างกายจนกระทั่งมันแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าข้าแค่พยายามที่จะทำให้มันพอใจเท่านั้น เหตุผลที่ข้าแข็งแกร่งยิ่งนักก็เพราะความแข็งแกร่งที่มันมอบให้ข้า และเหตุผลที่ร่างของข้าแข็งแรงราวกับเหล็กกล้าก็เพราะการปกป้องที่มันมอบให้ข้า ความกล้าหาญของข้าในสนามรบและการสังหารทั้งหมดที่ฆ่าทำไปเป็นเพราะกระดูกนั่นต้องการเลือดเนื้อของศัตรูข้าเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ในเวลาเดียวกัน นั่นก็มีแต่จะเพิ่มความหิวโหยของมันเท่านั้น”
“งั้นนั่นก็คือเหตุผลที่เจ้าสู้มาโดยตลอด และเป็นวิธีเดียวกับที่เจ้าสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในนามเทพเจ้าสงครามแห่งปราการลุ่มน้ำทอง”
ตามตำนานแล้ว หลงพั่วจวินนั้นโด่งดังในแนวการต่อสู้ที่กล้าหาญและดุดันของเขา ความกระหายเลือดนำพาเขาไปสู่การเป็นผู้นำทัพเสมอ หากมีสถานการณ์ที่ต้องถูกแก้ไขโดยการต่อสู้ เขาก็จะสู้ และหากไม่มีสถานการณ์ใด เขาก็จะสร้างมันขึ้นมาและต่อสู้แทน
ภายใต้การเฝ้ามองของทุกฝ่าย หลงซางและเผ่าคนเถื่อนต่อสู้กันมากที่สุด
แม้ว่าจะไม่มีเหตุผลโดยเฉพาะ หลงพั่วจวินก็จะส่งกลุ่มเดินทางไล่ล่าออกไปในที่ราบอยู่ดี
พวกเขาจะเก็บเกี่ยวชีวิตของเผ่าคนเถื่อนเพื่อที่จะเติมเต็มความหิวกระหายของกระดูกปีศาจโลหิต
ด้วยเหตุนี้ หลงพั่วจวินจึงถูกเผ่าคนเถื่อนมากมายมองว่าเป็นปีศาจประเภทที่ถูกนำไปหว่านล้อมให้เผ่าคนเถื่อนตัวน้อยหลับใหล
ในหัวใจของพวกเขา หลงพั่วจวินนั้นไร้เทียมทานพอ ๆ กับกำแพงเหล็กทีเดียว
“งั้นทำไมเจ้าถึงปล่อยให้มันหิวล่ะ ? ทำไมเจ้าถึงยืนยันที่จะวางตัวเองไว้ในสถานะที่น่าเศร้ายิ่งนัก ?”
หลงพั่วจวินเผยยิ้มบาง “ทำไมน่ะหรือ ? เพราะข้าต้องปล่อยให้มันหิวน่ะสิ ! ความหิวโหยของมันเพิ่มขึ้นทุกคืนวัน ตอนแรก ข้าสามารถทำให้มันพอใจได้ด้วยการสังหารเพียงคนเดียว แต่จนถึงบั้นปลายก็เป็นไปได้ที่การสังหารคนทั้งกองทหารจะไม่เพียงพอที่จะทำให้มันพอใจได้ ข้ารู้ว่าไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะต้องตายเพราะสิ่งนี้ ถ้าข้าต้องการเอาชีวิตรอด สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือลดความหิวกระหายของมัน แต่เมื่อข้าทำเช่นนั้น กระดูกปีศาจโลหิตนี่ก็จะเริ่มกัดกินข้าแทน ทุกครั้งที่ข้าปล่อยให้มันหิว มันจะกินเลือดเนื้อข้าทีละนิด… ตอนนี้ข้าได้ปล่อยให้มันหิวมาเป็นเวลานาน ทำให้ความหิวโหยของมันลดลง แต่ผลก็คือข้าต้องเป็นเช่นนี้”
“งั้นตอนนี้เจ้าก็……” ซูเฉินถาม
“ข้าทำให้มันอยู่ในการควบคุมได้แล้ว ในตอนนี้ ข้าเพียงแค่ต้องให้มันกินอสูรทะเลทีละน้อยเพื่อให้มันพอใจ” หลงพั่วจวินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ความแข็งแกร่งและกล้าหาญของข้าทั้งหมดล้วนปลอมเปลือก แต่ศึกระหว่างข้ากับสิ่งนี้คือความจริง ท่านคงไม่เข้าใจว่ามันเจ็บปวดเพียงไรที่ถูกกัดกินจากข้างในอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะได้กิน มันทรมานข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ข้าก็สามารถต้านทานมันได้… ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาชีวิตรอด !”
งั้นก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
เมื่อใครคนหนึ่งแข็งแกร่งมาเป็นเวลานาน แม้ว่ามันจะไม่จริง พวกเขาก็จะรับเอาบุคลิกนั้นมาและกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจริง ๆ
ร่างกายภาพของหลงพั่วจวินมาจากกระดูกปีศาจโลหิตก็จริง แต่ความแข็งแกร่งจากการอดทนต่อความทรมานจากกระดูกปีศาจโลหิตนั้นมาจากตัวเขาเอง
ความอดทนอดกลั้นนี้แสดงให้เห็นถึงด้านที่น่าประทับใจในตัวตนของเขา
“ท่านรู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วชื่อของข้าไม่ใช่หลงพั่วจวิน ?”
“หลงพั่วจวินไม่ได้คนจริง ๆ ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ”
“ชื่อจริงของข้าคืออาโก่ว เพราะข้าคลานออกมาจากถ้ำ ข้าไม่มีกระทั่งนามสกุลด้วยซ้ำ”
“หลังพั่วจวินตัวจริงคือกระดูกปีศาจโลหิต ข้าเป็นเพียงแค่ทาสที่ซื่อสัตย์ของมันเท่านั้น”
“นามหลงพั่วจวิน… ถูกมอบให้ข้าโดยพ่อบุญธรรมของข้า โอ้ พ่อบุญธรรมของข้าก็คือหลินหราวเซียนน่ะ”
หลงพั่วจวินพูดอย่างใจเย็นขณะที่เขาเอนตัวพิงราวของปราสาท
“หลินหราวเซียนคือพ่อบุญธรรมของเจ้าหรือ ? เขารู้เรื่องกระดูกปีศาจโลหิตไหม ?”
“อื้ม” หลงพั่วจวินกล่าวพร้อมพยักหน้า “หลังจากที่กระดูกปีศาจโลหิตได้ถูกปลูกถ่ายมาสู่ร่างกายของข้า ข้าไม่คุ้นชินกับพละกำลังของมัน และเลือดในร่างกายข้าก็เริ่มเดือดดาลขึ้น ข้าแทบจะระเบิดออกไปทางนู้นและทางนี้ โชคยังดีที่มีอสูรตัวเล็กอยู่บ้างในบริเวณนั้นให้ข้าสามารถเติมเต็มความกระหายเลือดได้ แต่ในตอนนั้นข้าพึ่งจะได้รับกระดูกปีศาจโลหิตมา และความแข็งแกร่งของข้าก็ยังอ่อนด้อยเป็นอย่างมาก โชคร้ายที่ในวันที่ 3 หลังจากที่ข้าค้นพบกระดูกปีศาจโลหิต ข้าก็เผชิญเข้ากับอสูรร้ายที่ทรงพลังตัวหนึ่ง ข้าไม่อาจเอาชนะมันได้ แต่ในตอนที่กรงเล็บของเจ้าอสูรร้ายกำลังจะปลิดชีพข้า พ่อบุญธรรมของข้าก็บังเอิญผ่านมาและช่วยชีวิตข้าไว้”
“งั้นเขาก็รู้เกี่ยวกับความลับของกระดูกปีศาจโลหิตน่ะสิ”
“ใช่ ในตอนนั้นข้ายังเด็ก และไม่รู้ถึงความชั่วร้ายในจิตใจของมนุษย์ ต้องถือว่าสวรรค์เมตตาที่ข้ายังโชคดีและไปพบกับคนดีคนหนึ่งเข้า แม้ว่าพ่อบุญธรรมของข้าจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์ ท่าทีของเขาก็ไม่แตกต่างและการกระทำของเขาก็ผ่อนคลาย ข้อเสียอย่างเดียวคือเขาค่อนข้างหมกมุ่นกับเมล็ดพันธุ์ของเขา ในวันที่พ่อบุญธรรมมาช่วยข้าไว้ เขาก็พบกระดูกปีศาจโลหิต… เพราะที่จริงแล้วกระดูกนั่นถูกสร้างขึ้นจากหนึ่งในกระดูกของมังกรตะขาบ ดังนั้นแล้วสายเลือดมังกรตะขาบจึงดึงดูดต่อกระดูกนั้นโดยธรรมชาติ”
ซูเฉินเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น “งั้นก็เป็นอย่างนี้เองสินะ… นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่หลินเมิ่งเจ๋อพยายามจัดตั้งเจ้า เขาต้องการให้กระดูกปีศาจโลหิตนั่นทำให้สายเลือดของเจ้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ที่เจ้าหายตัวไปคงจะเป็นเพราะเจ้าสัมผัสได้ถึงเจตนาของเขา ทำให้เจ้าสามารถหลบหนีไปก่อนที่เขาจะได้ทำสิ่งใดกับเรื่องนี้”
หลงพั่วจวินพยักหน้า “ท่านคาดเดามันได้สมบูรณ์แบบ”
“แต่หลินหราวเซียนก็เป็นคนดีจริง ๆ เขาทั้งสามารถกำจัดความสงสัยจากเจ้าเกี่ยวกับกระดูกไปได้และไม่ได้ดูดซับกระดูกนั้นไปเป็นของตัวเองด้วย”
หลงพั่วจวินพยักหน้า “ใช่ พ่อบุญธรรมของข้าก็พูดเช่นนั้น ถ้าเขาดูดซับกระดูกปีศาจของข้าไป เขาจะไปถึงด่านมหาราชัน โดยไร้ซึ่งความกระหายเลือด ถ้าหลินเมิ่งเจ๋อดูดซับกระดูกปีศาจโลหิตไป เขาอาจสามารถทะลวงด่านมหาราชันไปและไปถึงกระทั่งระดับที่สูงยิ่งกว่านั้น แต่เขาก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้นเพราะเขาไม่อยากถูกควบคุมโดยการจัดเรียงของโชคชะตา”
“ถูกควบคุมโดยการจัดเรียงของโชคชะตา… หรือจะเป็น ?” ซูเฉินตาลุกวาว
“ใช่ พ่อบุญธรรมของข้ารู้จักชายแก่คนนั้น ชายแก่ปริศนานั่น… ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นปริศนาจริง ๆ หรอก เขามีตัวตนอยู่มาหลายล้านปีแล้ว”
หลายล้านปีแล้วหรือ ?
ซูเฉินตกตะลึง
ชายชราปริศนาคนนี้ได้ใช้ชีวิตมาหลายล้านปีแล้วหรือ ?
หลงพั่วจวินตอบอย่างสงบนิ่ง “กระดูกปีศาจโลหิตนี่ได้เตรียมการไว้ให้เขาแล้ว โชคชะตาได้ทำเช่นนี้เพื่อที่ข้าจะได้สืบทอดกระดูกปีศาจโลหิต และเขาก็จะค้นพบตัวข้า แล้วจึงสกัดกระดูกนั้นไปเป็นของตัวเอง แต่พ่อบุญธรรมของข้าไม่ต้องการที่จะถูกควบคุมโดยโชคชะตา เขามีความต้องการและแผนการเป็นของตนเอง ดังนั้นจึงปฏิเสธมัน…… ไม่เพียงเท่านั้น แต่เขายังกระทั่งสอนข้าถึงวิธีสกัลกระดูกนั่นและนำมันไปสู่การควบคุม นอกจากนี้เขายังสอบวิชาบ่มเพาะและวิธีการอ่านเขียนให้ข้าอีกด้วย พ่อบุญธรรมของข้าชอบการเดินทางและไม่เคยอยู่ที่ใดที่หนึ่งเกินครึ่งปี แต่เพื่อข้า เขาถึงกับอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนเขาเป็นเวลา 3 ปีก่อนจะจากไป”
ซูเฉินได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น
เพราะหลินเมิ่งเจ๋อ หลินหราวเซียนจึงไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นเพียงคุณชายผู้เกียจคร้าน
แต่ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าคุณชายผู้เกียจคร้านนั้นที่จริงแล้วเป็นคนเช่นไร
ไม่อยากถูกควบคุมโดยการจัดเรียงของโชคชะตา……
น่าสนใจ !
งั้นชายชราปริศนาคนนั้นคือ ‘โชคชะตา’ หรือ ?
และเป้าหมายของโชคชะตาในการทำสิ่งเหล่านี้คืออะไร ?
ซูเฉินไม่รู้ เขาจึงได้แต่ฟังหลงพั่วจวินพูดต่อไป
“3 ปีต่อมา พ่อบุญธรรมของข้าก็จากไป ก่อนที่เขาจะไป เขาก็บอกข้าว่า ในเมื่อข้ามีกระดูกปีศาจโลหิต ข้าก็ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้องกลายเป็นมังกรในหมู่มนุษย์และภาพลักษณ์ของทหารผู้ทรงพลัง นั่นคือเหตุผลที่เขามอบชื่อหลงพั่วจวินให้ข้าและบอกข้าให้เกณฑ์เข้ากองทัพ เพราะมีแต่ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ข้าจะสามารถเติมเต็มความหิวโหยตะกละตะกลามของกระดูกปีศาจโลหิตได้”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วหลินเมิ่งเจ๋อรู้ว่าเจ้ามีกระดูกปีศาจโลหิตได้อย่างไร ? เจ้าคุ้นชินกับมันได้แล้วในตอนนั้นไม่ใช่หรือ ?” ซูเฉินถาม
กระดูกปีศาจโลหิตสามารถสังเกตเห็นได้ทางกายภาพเท่านั้น ตอนนี้เพราะหลงพั่วจวินได้อดอาหารมาจนถึงจุดที่เขาไม่มีอะไรไปมากกว่าถุงใส่กระดูกและไม่อาจหลบซ่อนมันได้ แต่มันก็ชัดเจนว่าหลงพั่วจวินในอดีตไม่ได้มีปัญหานี้แต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นมันก็คงจะถูกค้นพบไปนานแล้ว
เมื่อได้ยินคำถามของซูเฉิน ใบหน้าของหลงพั่วจวินก็กระตุกขณะที่เขาทำหน้าบูดเบี้ยว “มันเป็นเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง……”
เมื่อซูเฉินได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจ
เขาได้ผ่านช่วงเวลาวัยเยาว์มาแล้ว และความกระหายเลือดของเขาก็ไร้ซึ่งขีดจำกัด ไม่มีศัตรูที่ทรงพลังคนใดสามารถล้มเขาได้ แต่ผู้หญิงเพียงคนเดียวก็สามารถหลอกล่อเขาได้อย่างง่ายดาย
บางทีนางอาจขายเขาให้กับหลินเมิ่งเจ๋อหลังจากที่ค้นพบเกี่ยวกับกระดูกปีศาจโลหิต หรือบางทีนางอาจถูกส่งมาตรวจสอบเขาโดยหลินเมิ่งเจ๋อตั้งแต่แรก อย่างไรแล้วมันก็ไม่แปลกที่ใครบางคนผู้ไร้สายเลือดและทรงพลังถึงเพียงนั้นจะดึงดูดความสนใจมาบ้าง
สิ่งใดคือความจริงนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะเรื่องนี้ทำร้ายจิตใจของหลงพั่วจวินอย่างชัดเจน และมันก็ยังเกี่ยวข้องกับความรักโดยเฉพาะ ดังนั้นแล้วซูเฉินจึงไม่ได้ถามสิ่งใดต่อไป
เขาถามเพียงแค่ว่า “หลินเมิ่งเจ๋อรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและหลินหราวเซียนไหม ?”
หลงพั่วจวินพยักหน้าเบา ๆ
“ไม่น่าล่ะเขาถึงพยายามเคลื่อนไหวในกองทัพกำลังสวรรค์ งั้นก็เพื่ออย่างนี้… เขาต้องการใช้หลินเฉ๋าเซวียนและกองทัพกำลังสวรรค์เพื่อล่อเจ้าออกมา และกระทั่งตอนนี้……” ซูเฉินเข้าใจในทันทีว่าทำไมหลงซางจึงตั้งใจโจมตีเขาในครั้งนี้
หลินเมิ่งเจ๋อยังคงไม่ยอมแพ้ในการตามหากระดูกปีศาจโลหิต
เขากำลังจะจัดการกับนิกายไร้ขอบเขต อย่างที่เขาได้จัดการกับกองทัพกำลังสวรรค์ในอดีต
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็พิสูจน์แล้วว่าการข่มขู่กองทัพกำลังสวรรค์นั้นไม่เพียงพอที่จะบังคับหลงพั่วจวินให้แสดงตัวออกมา ทำไมเขาต้องพยายามใช้วิธีการเดิมต่อไปอีกล่ะ ?
เพราะเขาไม่อาจปล่อยให้โอกาสนี้เสียเปล่าไปอย่างนั้นได้
ซูเฉินสามารถเข้าใจแนวคิดนั้นได้ สำหรับผู้คนที่ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ บางครั้งพวกเขาก็จำเป็นต้องล้มเหลวหลาย ๆ ครั้งก่อนที่จะยอมแพ้ได้
แต่หากพูดในเชิงการเมืองแล้ว นี่คือการตัดสินใจที่โง่เขลา
เรื่องนี้ถูกพับจบไปแล้ว แต่ตอนนี้หลินเมิ่งเจ๋อตั้งใจที่จะกระตุ้นศัตรูที่ทรงพลังเพื่อที่จะพยายามฟื้นคืนฝันนี้ของเขากลับคืนมา …นั่นไม่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งใดจะทำให้หลินเมิ่งเจ๋อสิ้นหวังจนต้องทำอะไรแบบนั้นแม้เขาจะรู้ว่าโอกาสจะมีเพียงน้อยนิดกัน ?
ความคิดของซูเฉินแล่นฉิวขณะที่เขาพยายามพิจารณาความเป็นไปได้ทั้งหมด
ทันใดนั้น เขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้และเอ่ยขึ้น “ร่างกายของหลี่เมิ่งเจ๋อคงจะอยู่ได้อีกไม่นานมาก”
“อะไรนะ ?” หลงพั่วจวินตะลึงงัน
“ไม่อย่างนั้น เขาคงจะไม่ยืนยันที่จะพยายามตามหาเจ้านักหรอก ถ้าเขาได้กระดูกปีศาจโลหิตไป และสามารถทะลวงไปสู่ด่านพลังใหม่ งั้นก็เป็นไปได้ที่เขาจะสามารถขยายอายุขัยของเขาไปได้เช่นกัน”
“แต่ความแข็งแกร่งของเขาคงยังไม่ถูกกัดกินไปจนหมด” หลงพั่วจวินพูด
ด้วยสายเลือดเทพอสูรและระดับพลังด่านมหาราชัน เขาควรจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ราว 1,000 – 1,800 ปี ถ้าเขาครอบครองสายเลือดเทพอสูรบรรพกาล เลขนั้นก็จะใกล้กับ 3,000 มากขึ้น นี่คือเหตุผลที่มีจักรพรรดิอยู่เพียงราว ๆ 12 คนเท่านั้นตลอดประวัติศาสตร์ 20,000 ปีแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์
หลินเมิ่งเจ๋อมีอายุเพียงราว ๆ 800 ปีเท่านั้น ห่างไกลจากตัวเลขนั้น ทำไมสภาพร่างกายของเขาจึงเริ่มเสื่อมถอยลงแล้วล่ะ ?
แล้วเขาก็นึกบางสิ่งขึ้นได้และร้องขึ้นมาในทันใด “หรือว่านางจะ…… นาง…… นาง……”
เขาตะกุกตะกักและสั่นสะท้านแต่ก็ไม่สามารถพูดสิ่งใดได้ในท้ายที่สุด แต่ก็เป็นครั้งแรกที่รอยยิ้มแห่งความสุขโดยแท้จริงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ซูเฉินสามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดและกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวเรื่องระหว่างชายหญิง แต่ดูเหมือนว่าบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายของหลินเมิ่งเจ๋อ นั่นคือเหตุผลที่จำเป็นต้องพยายามเป็นครั้งสุดท้ายแม้เขาจะรู้ว่าเจ้าจะไม่ปรากฏตัว ดูเหมือนว่าการที่ข้าเปิดเผยตัวต่อเจ้ากำลังจะช่วยเหลือเจตนาของเขาแทนเสียแล้วสิ”
อย่างไม่คาดคิด หลงพั่วจวินยืนขึ้นในทันที “ข้าอยากกลับไป !”
“อะไรนะ ?” ซูฉินตกตะลึง
แต่เดิมเขาได้ยอมแพ้การพยายามที่จะโน้มน้าวหลงพั่วจวินให้กลับไป แต่หลงพั่วจินดันอาสากลับไปด้วยตัวเองอย่างไม่มีใครคาดคิด
สีหน้าของหลงพั่วจวินนั้นแน่วแน่ขณะที่เขากล่าว “ข้าอยากกลับไป ข้าอยากรู้ว่า…… นาง……”
ซูเฉินเข้าใจ
เห็นได้ชัดทีเดียวว่าคำพูดของซูเฉินได้มอบความหวังครั้งใหม่ให้แก่เขา
มีความเป็นไปได้แล้วในเมื่อความรักที่ได้แตกสลายไปก่อนหน้านี้สามารถถูกซ่อมแซมได้
“แต่ร่างกายของเจ้า……” ซูเฉินหน้าบูดบึ้งขณะที่เขาจ้องมองไปยังหลงพั่วจินผู้ผอมแห้ง
มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่เขาจะกลับไปเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามไร้เทียมทานด้วยร่างกายเช่นนี้ ?
แต่หลงพั่วจวินก็หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ข้าแค่ต้องให้อาหารจนมันอิ่มอีกครั้ง โอ้ กระดูกปีศาจโลหิต ให้อภัยข้าที่ปล่อยให้เจ้าหิวโหยมาหลายต่อหลายปี ถึงเวลาแล้วที่จะสานต่อการเดินทางของเรา”
ราวกับว่ากระดูกปีศาจโลหิตสามารถสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของหลงพั่วจวิน มันเริ่มเรืองแสงสีเลือดขึ้นทันที !