ภาคที่ 6 บทที่ 50 พรก่อนตาย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 50 พรก่อนตาย

หลงพั่วจวินตัดสินใจที่จะกลับไปในที่สุด

ไปยังปราการลุ่มน้ำทอง

ถ้ามีเขาอยู่ที่นั่น ปราการลุ่มน้ำทองก็จะไม่ส่งกองทหารออกมาโดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน ที่จริงแล้ว มันจะดีทีเดียวหากพวกเขาไม่ได้เริ่มก่อปัญหาตั้งแต่แรก

ไม่ว่าหลินเมิ่งเจ๋อจะมีความสามารถมากเพียงไร แรงกดดันที่กดทับเขาจาก 3 ฝ่ายก็เพียงพอที่จะรบกวนแผนการของเขาในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน

ตอนนี้เมื่อชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับแนวหลังแล้ว ซูเฉินจึงกลับไปมุ่งมั่นอยู่กับหุบเหวนรก

งานวิจัยของเขาในท้องสมุทรโศกายังคงดำเนินต่อไป บ่อยครั้ง กองทัพเรือจะเข้าไปในหุบเหวนรกและรวบรวมทรัพยากรมาให้ซูเฉินทดลอง

ซูเฉินเริ่มปอกเปลือกความลับที่อยู่โดยรอบท้องสมุทรโศกา

อย่างที่ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าวไว้ สสารต้นกำเนิดที่แปลกประหลาดนี้คือการประดิษฐ์ของชาวอาร์คาน่า เป้าหมายของพวกเขาคือการพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกตน ทั้งพัฒนาพลังของวิชาอาร์คาน่าและยังระบุจุดอ่อนในร่างกายของพวกเขาเอง

แต่ผลผลิตนี้ก็ล้มเหลว แม้ว่ามันจะเลื่อนขั้นและส่งเสริมกระบวนการพัฒนา ทว่าใครก็ตามที่ถูกใช้มันใส่จะถูกลดความฉลาดหลักแหลมลง

ปรมาจารย์อาร์คาน่าหลายคนใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาในการพยายามแก้ปัญหานี้ไปอย่างเปล่าประโยชน์ ส่วนฝ่ายเคอหนีเก๋อกลับใช้สสารต้นกำเนิดในการสร้างท้องสมุทรโศกาแทน

เป้าหมายของซูเฉินในการใช้สสารต้นกำเนิดนี้สำหรับเขานั้นเหมือนกับสานต่อการวิจัยชาวอาร์คาน่าต่อไป เขากำลังจะพยายามแก้ไขปัญหาที่ชาวอาร์คาน่าได้พยายามแก้มาด้วยหยาดเลือด หยาดเหงื่อ และหยดน้ำตา

นี่ช่างท้าทายทีเดียว

แต่ซูเฉินก็ได้เผชิญหน้ากับความท้าทายที่คล้ายคลึงกันมาแล้วมากมาย วิชาบ่มเพาะไร้สายเลือดก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง การเพิ่มความท้าทายขึ้นไปอีกสักอย่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ในวันต่อ ๆ มา ซูเฉินก็หมกตัวเองอยู่กับงานวิจัยของตน

ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ภายในอาณาจักรหลงซางก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

อย่างที่คาดไว้ หลงพั่วจวินกลับไปยังปราการลุ่มน้ำทองโดยอธิบายว่าเขาได้ตกเป็นเหยื่อของกลอุบายที่จัดตั้งขึ้นโดยราชวงศ์ ผู้ไม่เกรงกลัวต่อการมีประชาชนผู้เดือดร้อนจากผลประโยชน์ของพวกเขาเอง กระทั่งกองทัพกำลังสวรรค์ก็ต้องทุกข์ทรมานเพราะสิ่งนี้

เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป มันก็สร้างความโกลาหลขึ้นไม่น้อยทีเดียว อดีตสมุนของหลงพั่วจวินกระทั่งเลือกที่จะจากไปกับหลงพั่วจวินในทันที

มีคนจำนวนไม่มากนักที่เลือกจะไป และแทบไม่ส่งต่อกองกำลังทหารแม้แต่น้อย

แต่ผลกระทบที่ไม่อาจลบล้างของการเปิดตัวครั้งนี้ได้ฝังอยู่ในจิตใจของทหารทุกนายอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

แม้ว่าเหล่าทหารส่วนมากจะยังคงอยู่ที่ปราการลุ่มน้ำทอง ข่าวอันน่าตกใจที่หลงพั่วจวินได้นำมาก็จิตใจในการสู้ต่อของพวกเขาต้องสั่นไหว

ขวัญกำลังใจของพวกเขาเริ่มร่นถอยลงในทันที

การลดลงของขวัญกำลังใจนี้ส่งผลต่อทั่วทั้งปราการลุ่มน้ำทอง กองทหารกลับกลายเป็นไร้ซึ่งระเบียบและวินัย ทำให้เป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะปฏิบัติคำสั่งทางทหารใดให้สำเร็จได้

หากนั่นเป็นเพียงแค่ปัญหาสำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดระดับต่ำ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักตั้งแต่แรก ปัญหาคือกระทั่งผู้บังคับบัญชาโดยตรงของพวกเขาก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

เหล่าเจ้าหน้าที่ดูเหมือนจะกระอักกระอ่วนกับเรื่องนี้ และไม่เพียงกล้ามเนื้อที่ได้รับผล กระทั่งเส้นประสาทและสมองของพวกเขาเองก็เริ่มผิดปกติไป แล้วเหล่าทหารจะไม่รู้สึกว่าโดนหักหลังและทำร้ายโดยข่าวเรื่องนี้ได้อย่างไร ?

เห็นได้ชัดว่าระหว่างหนึ่งในการประชุมเจ้าหน้าที่ แม่ทัพบางคนที่เจ้าอารมณ์กว่าสักหน่อยกระทั่งพูดว่าจะ ‘ฆ่าฟันตลอดทางไปสู่โถงพันหัตถ์และสังหารไอ้เวรหลินเมิ่งเจ๋อ’ !

คำพูดเหล่านั้นคือการกบฏ

แน่นอนว่าไม่มีใครกล้ายืนยันเป็นพยานรู้เห็นสิ่งนั้นจริง ๆ หรอก มันจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ

แต่แรงใจในการต่อสู้ของปราการลุ่มน้ำทองก็ได้หายไปโดยสมบูรณ์

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเคลื่อนย้ายพวกเขาไปที่ใด โชคดีที่เผ่าคนเถื่อนยังอยู่ในสถานการณ์โกลาหลเองด้วย ไม่อย่างนั้น หากพวกเขาถูกโจมตีโดยกะทันหัน ปราการลุ่มน้ำทองคงจะต้องล่มสลายลงเป็นแน่

หลงพั่วจวินใช้โอกาสนี้ในการมุ่งหน้าไปทางใต้กับพรรคพวกของเขาเพื่อสมทบกับหลินจุ้ยหลิว

ทางฝั่งใต้ของหลงซาง

ทหารกลุ่มหนึ่งโผบินผ่านอากาศไปบนเรือเคลื่อนเมฆา มีบางคนกระทั่งบินในอากาศโดยตรงแทนที่จะเดินทางไปบนตัวเรือ

ตรงด้านหน้าสุดของเหล่าผู้ฝึกตนที่โบยบินอยู่คือชายร่างยักษ์ กำยำ และล่ำสัน เขาคือหลงพั่วจวิน

ตอนที่เขาจากเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล เขาเป็นเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แต่ในหลงซาง ร่างกายของเขาได้เริ่มฟื้นฟูขึ้นอย่างช้า ๆ จากสภาพก่อนหน้าของมัน ในตอนนี้ เขาได้ฟื้นฟูพละกำลังราว ๆ 70 ส่วนถึง 80 ส่วนของพลังสูงสุดมาแล้ว ซึ่งมันเกิดขึ้นได้ก็เพราะชายกว่า 17 คนที่หลินเมิ่งเจ๋อส่งมาจับกุมตัวเขา

ขณะที่พวกเขาโบยบินอยู่ในอากาศ หลงพั่วจินก็หยุดลงกะทันหันและยกมือขวาขึ้น ทุกคนเข้าในใจสัญญาณนี้ทันทีและเตรียมพร้อมรับการต่อสู้

ชั่ววินาทีต่อมา กว่าหลายสิบร่างก็บินตรงมายังพวกเขาจากพื้นที่ไกลออกไป

พวกเขาไม่รอให้เสียเวลาและเริ่มต้นการปลดปล่อยกองกำลังผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดออกไปยังหลงพั่วจวินและพรรพวกในทันที

“ฮึ่ม ! ลูกน้องของหลินเมิ่งเจ๋อนี่ตั้งใจจะฆ่าพวกเราจริง ๆ นะเนี่ย” หนึ่งในทหารผู้เลือกติดตามหลงพั่วจวินมาพ่นลมหายใจแรง เขาตั้งท่าและปลดปล่อยคลื่นเพลิงโหมกระหน่ำไปยังทิศตรงข้าม

“ข้าเอง !” หลงพั่วจวินพุ่งตรงไปข้างหน้าราวกับว่าเขากำลังจะพุ่งชนเข้ากับทำนบผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดตรงหน้า

คลื่นพลังต้นกำเนิดนี้บรรจุพละกำลังของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารกว่าหลายสิบคนรวมกัน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญแสนทรงพลังก็คงจะรับมือกับการโจมตีนั้นได้อย่างยากลำบาก แต่หลงพั่วจินสามารถต้านทานพลังที่เหี้ยมโหดได้ ซึ่งผู้คนรอบตัวเขาต่างก็เคยชินกับสิ่งนี้และใช้โอกาสในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามผู้ยังคงมุ่งความสนใจไปยังหลงพั่วจวิน

กลยุทธ์การต่อสู้นี้นั้นเรียบง่ายทีเดียว

หลงพั่วจวินคือโล่ป้องกัน ในขณะที่คนอื่น ๆ คือหอกแหลม

เขาเพียงคนเดียวรับหน้าที่ในการปกป้องทุกคน !

ถึงอย่างนั้น หลงพั่วจวินผู้เคยถูกเรียกว่านักรบไร้เทียมทาน ก็ได้ต้านทานการโจมตีผสานนี้และปกป้องทหารคนอื่น ๆ รอบกายเขาไว้

ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา เขาได้ใช้กลยุทธ์เช่นนี้เพื่อรักษาชีวิตของทหารไว้จำนวนนับไม่ถ้วนและได้รับความเคารพและซื่อสัตย์กลับมาจากพวกเขา

ทหารคนอื่น ๆ เชื่อในตัวเขา และเขาก็ไม่เคยทรยศต่อความศรัทธาของพวกเขา

สำหรับศึกในครานี้ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่น่ะหรือ ? ง่ายนิดเดียว

หลงพั่วจวินต้านทานพายุพลังต้นกำเนิดที่โหมกระหน่ำได้ด้วยพละกำลัง ไม่นานต่อมา เขาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารคนหนึ่ง เขายื่นมือออกมาและคว้าลำคอของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารคนนั้นไว้

อีกฝ่ายพยายามจะหลบหนีถึง 3 ครั้งติดต่อกัน ใช้ทักษะต้นกำเนิดประเภทป้องกันที่แตกต่างกัน 2 ครั้ง และเครื่องมือต้นกำเนิดป้องกันอีกชิ้นหนึ่ง

แต่ก็ไม่มีสิ่งใดระแคะระคายหลงพั่วจวินแม้แต่น้อย

ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นพบว่าไม่มีทางที่เขาจะหลบหนีไปจากเงื้อมมือของหลงพั่วจวินได้ เกราะป้องกันได้แตกสลายออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าขณะที่กำมือของหลงพั่วจวินบีบอยู่รอบลำคอของเขา

“ไม่ !” ความสิ้นหวังปรากฏขึ้นในสายตาของคนคนนั้น

กร๊อบ !

หลงพั่วจวินบดขยี้คอของเขา

ในสถานการณ์ส่วนมาก ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารนั้นสามารถรักษาฟื้นฟูแขนขาที่หักได้ กระทั่งคอหัก บางคนกระทั่งบ่มเพาะวิชาลับที่ทำให้พวกเขาสามารถรอดชีวิตมาได้แม้ว่าจะถูกตัดศีรษะออกไปก็ตาม

บุคคลนี้ครอบครองวิชาลับนั้นอยู่ 1 วิชา ทำให้คอที่บิดเบี้ยวนั้นกลายเป็นเพียงแค่บาดแผลเล็ก ๆ

แต่ ‘แผลเล็ก ๆ’ นั้นไม่ได้ฟื้นฟูตัวเองขึ้นในครั้งนี้

ทหารคนนั้นตกตะลึง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ถูกดูดออกไปจากร่างกายของตนก่อนที่จะสิ้นลมหายใจไป

แสงสีแดงจาง ๆ ที่มองเห็นได้หลั่งไหลเข้าไปในร่างของหลงพั่วจวิน… หลงพั่วจวินถอนลมหายใจยาวออกมาขณะที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กน้อย

เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะเห็นกระดูกปีศาจโลหิตจากภายนอก แต่กระดูกของหลงพั่วจวินก็เริ่มสั่นสะท้านด้วยความพึงพอใจ

ตายในครั้งเดียว !

วินาทีต่อมา หลงพั่วจวินก็พุ่งตรงไปยังอีกคนหนึ่ง ทักษะต้นกำเนิดที่ปะทะเข้ากับเขานั้นไม่ต่างไปจากการจั๊กจี้

หลงพั่วจวินเป็นดั่งหมาป่าในฝูงแกะ ผู้เข้าสังหารพวกมันอย่างไม่หยุดยั้ง

แม้ว่าเขาควรจะเป็นโล่ป้องกัน โล่นี้ก็สามารถสร้างความเสียหายทำลายล้างได้

ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าทหารที่ถูกสังหารโดยหลงพั่วจวินล้วนสิ้นชีวิตด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

หลงพั่วจวินไม่เคยฝึกฝนทักษะต้นกำเนิดที่รุนแรงใด ๆ มาก่อน ความหิวกระหายที่ไม่รู้จักพอของกระดูกปีศาจโลหิตคืออาวุธที่รุนแรงที่สุดแล้ว นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งที่หลงพั่วจวินกำลังดูดซับมาจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังป้องกันแทน นี่คือเหตุผลสำหรับเหล่าทหารที่หลงพั่วจวินนั้นไร้เทียมทานโดยแท้จริง

ยิ่งเขาต่อสู้กับคนมากเท่าไร เขาก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารหลายสิบคนเหล่านี้กำลังถูกเขาสังหารคนแล้วคนเล่า

หลงพั่วจวินสามารถสัมผัสได้ว่าพละกำลังของเขาได้ฟื้นฟูมาไม่น้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ห่างจากจุดสูงสุดเดิมไปไกลนัก

เขาลุกขึ้นยืนตรงและแผดเสียงลั่น “หลินเมิ่งเจ๋อ รอก่อนเถอะ ! ข้าจะไปหาเจ้าเร็ว ๆ นี้ !”

แต่หลังจากที่เขาพูดจบ เสียงอันเยือกเย็นก็ตอบเขา “ไม่จำเป็นต้องรอ ข้ามาหาเจ้าก่อนแล้ว”

หลงพั่วจวินรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนสั่นเทิ้ม เขาหันหลังไปพบกับบุคคลหนึ่งที่ยืนอยู่กลางอากาศและมองตรงมายังเขา ถ้าไม่ใช่หลินเมิ่งเจ๋อแล้วจะเป็นใครได้ล่ะ ?

อีกฝ่ายสวนมงกุฎไว้บนศีรษะและยืนอยู่บนก้อนเมฆลอยฟ้า ทุกก้าวของคนผู้นี้ เมฆก้อนเล็ก ๆ จะก่อตัวขึ้นเบื้องล่างเท้า มีผ้าคลุมสีทองผืนใหญ่ห่อหุ้มไหล่ไว้ และเขาก็ก้าวมาข้างหน้าโดยมีมือทั้ง 2 ข้างหลบอยู่ด้านหลัง ราวกับว่าตนเองคือเพื่อนบ้านของหลงพั่วจวินผู้เดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียน

หลินเมิ่งเจ๋อมาเพื่อฆ่าเขาโดยเฉพาะ ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลงพั่วจวินเมื่อเขาเห็นหลินเมิ่งเจ๋อ

แม้ว่าเขาจะกล่าวไว้ว่าจะไปตามหาหลินเมิ่งเจ๋อเพื่อแก้แค้น มันก็ชัดเจนแล้วว่ากระทั่งจนถึงขีดสูงสุด เขาก็ไม่อาจเอาชนะหลินเมิ่งเจ๋อในการต่อสู้ได้ !

นอกจากนี้เขายังไม่อาจไปถึงขีดจำกัดได้อีกด้วย

หลงพั่วจวินตะโกนลั่น “พวกเจ้า รีบออกไปจากที่นี่ซะ !”

คำพูดเหล่านี้ควรจะถูกส่งตรงไปยังเหล่าทหารรอบกายเขา แม้ว่าทหารเหล่านี้จะไม่เคยพบหลินเมิ่งเจ๋อมาก่อน พวกเขาก็สามารถบอกได้โดยการพูดคุยและโดยสิ่งที่คนหน้าใหม่สวมใส่ซึ่งบ่งบอกถึงตัวตนของเขาไว้

พลังอำนาจของผู้ปกครองอาณาจักรแผ่รังสีออกมาจากร่างของอีกฝ่าย เหล่าทหารผู้เป็นกำลังเสริมอันแข็งขันของแม่ทัพหลงในการต่อสู้กับผู้ปกครองแผ่นดินพลันกลายเป็นไร้ความสามารถ พวกเขาค้นพบว่าที่จริงแล้วพวกเขาไม่อาจรวบรวมจิตใจที่จะต่อสู้ได้เลย !

คำเรียกของหลงพั่วจวินดูจะปลุกพวกเขาขึ้นจากภวังค์ ตอนนั้นเองที่พวกเขาถอยทัพในที่สุด

หลินเมิ่งเจ๋อไม่ได้ไล่ตามคนเหล่านั้นแต่อย่างใด เขากลับมองไปยังทหารเหล่านั้นสักครู่ด้วยความสมเพชก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกเขาคิดว่าจะหนีไปจากข้าได้จริง ๆ หรือ ? โง่เง่าชะมัด”

ขณะที่พูดเขาก็ทำท่าร่าย และทหารจำนวนนับไม่ถ้วนผู้พยายามหลบหนีก็สูญเสียการควบคุมร่างกายของตนเองไปในทันใด หมู่เมฆบนท้องฟ้ากระจายตัวออกและเข้าพันรอบทหารเหล่านั้น พวกเขารู้สึกกับว่ากำลังจมน้ำโดยที่มือและขาทั้งสองข้างถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา นอกจากนั้น มันยังรู้สึกราวกับว่าน้ำหนักกว่า 2,000,000 จินตกลงมาทับพวกเขาอย่างกะทันหันและกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

พวกเขาเริ่มมีเลือดพลุ่งพล่านออกมาจากรูต่าง ๆ บนร่างกาย เห็นได้ชัดว่ากำลังจะถูกฆ่าในไม่ช้า

และสำหรับหลินเมิ่งเจ๋อ นี่ไม่ได้ยากไปกว่าการยกนิ้วชี้ขึ้นเลย

หัวใจของหลงพั่วจวินเปี่ยมไปด้วยความเศร้าหมอง แต่เขาก็ทำได้เพียงจ้องมองไปยังหลินเมิ่งเจ๋อตาไม่กะพริบ “เจ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็ยังส่งผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเหล่านั้นไปตาย เจ้ารู้ไหมว่ากระดูกปีศาจโลหิตยังไม่ถึงขีดจำกัดด้วยซ้ำและได้ใช้พวกเขาในการบำรุงรักษาข้าน่ะ ?”

หลินเมิ่งเจ๋อพ่นลมหายใจ “เหมือนว่าเจ้าจะฉลาดขึ้นหน่อยจากครั้งสุดท้ายที่เราพบกันนะ”

“ถ้าเจ้าต้องการกระดูกปีศาจโลหิตถึงเพียงนั้น กระทั่งว่าเจ้ายินดีเสียสละผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทั้งหมดเหล่านั้น กระทั่งเจ้าทำลายชื่อเสียงของตัวเอง… เจ้าคงจะสิ้นหวังจริง ๆ นี่แสดงว่าเจ้ายินดีที่จะจ่ายสิ่งใดก็ตาม…… เจ้าใกล้ตายแล้วใช่ไหมล่ะ ?”

หลินเมิ่งเจ๋อดูหม่นหมองลงในทันที

แต่ฝ่ายหลงพั่วจวินกลับเริ่มหัวเราะขึ้น “ข้าเดาถูกเผง ! เจ้ากำลังจะตาย ! มังกรตะขาบควรจะต้านทานต่อพิษมากมายหลายชนิด งั้นก็มีเพียงไม่กี่อย่างที่สามารถทำให้เจ้าตายได้ก่อนวัยอันควร สิ่งเดียวที่สามารถทำร้ายเจ้าได้ขนาดนี้คงจะเป็นพรก่อนตายใช่ไหม ?”

สีหน้าของหลินเมิ่งเจ๋ออัปลักษณ์ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เมื่อเห็นดังนั้น หลงพั่วจวินก็หัวเราะหนักขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “อย่าที่ข้าคิด ! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ! นี่แหละการแก้แค้นของข้า ! หลินเมิ่งเจ๋อ เจ้าคงไม่เคยคิดว่าเสี่ยวเหยาจะรักข้าจริง ๆ สินะ นางถูกเจ้าบังคับให้เปิดเผยความลับของข้า แต่นางก็ตกปากรับคำกับเจ้าไว้ ! ถ้าเจ้ากลับคำสัญญาของตัวเอง เจ้าก็จะต้องจ่ายราคานั้น !”

หลินเมิ่งเจ๋อกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ข้าใช้เวลา 3 วันเต็มในการสังหารผู้หญิงนั่น”

หลงพั่วใจรู้สึกว่าหัวใจของเขาสั่นสะเทือน

หลินเมิ่งเจ๋อพูดต่อ “แต่ข้าจะทำให้แน่ใจว่าจะสังหารเจ้าให้เร็วกว่านั้น”