ภาคที่ 6 บทที่ 51 ความภักดี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 51 ความภักดี

พรก่อนตายเป็นทักษะสายเลือดต้องห้าม

อิทธิฤทธิ์ของมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง คำสาบานใด ๆ ที่กล่าวขึ้นภายใต้อิทธิพลของมันล้วนเป็นผลจริง และผู้นั้นก็จะต้องตอบแทนอย่างสาสมหากผิดคำสาบาน

ความสามารถเช่นนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว

แต่โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก และมีความเป็นไปได้มากมาย

พลังพิเศษหลายชนิดที่มีตัวตนอยู่นั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลเช่นกัน

และแม้จะมีสิ่งที่สามารถใช้เหตุผลอธิบายได้ แต่สิ่งเหล่านั้นก็มักจะมีส่วนประกอบลึกลับที่ทำให้มันน่าค้นหาไม่ต่างกัน

นี่คือธรรมชาติของโลกที่จะเป็นไปเช่นนี้ พลังลึกลับนั้นมีอยู่ และเป็นธรรมดาที่เราไม่สามารถเข้าใจหรือวิเคราะห์มันได้

พรก่อนตายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ซูเฉินไม่สามารถหาทางเข้าใจได้เลย

ต้องขอบคุณที่เขายังไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน…. แต่หลินเมิ่งเจ๋อไม่รอดเสียแล้ว

นานมาแล้ว เขาเคยส่งหญิงนางหนึ่งไปเพื่อตามสืบหลงพั่วจวินแต่สุดท้ายแล้วนางกลับตกหลุมรักเป้าหมายเสียอย่างนั้น แม้ว่าหญิงนางนั้นจะได้ข้อมูลที่หลินเมิ่งเจ๋อปรารถนา แต่นางก็บังคับให้เขารับปากว่าจะไม่ทำอันตรายใด ๆ กับหลงพั่วจวินก่อนที่นางจะยอมเผยข้อมูลที่ได้ให้กับเขา

และหลินเมิ่งเจ๋อก็ยอมทำตาม

ในฐานะจักรพรรดิ เขาไม่เชื่อในหลักการที่ว่าจักรพรรดิตรัสแล้วไม่คืนคำ… เขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กเรื่องน้อยแบบนั้นเลยสักนิด

อย่างไรแล้วมันก็เป็นแค่การรับปากเรื่องเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับเขาถึงเพียงนั้น

แต่เขาคิดผิด… ขุนนางที่กล้าหาญคนนี้ได้ใช้พรก่อนตายกับหลินเมิ่งเจ๋อ

และเมื่อจักรพรรดิหลินเมิ่งเจ๋อไม่ทำตามที่รับปากไว้ ผลที่ตามมาก็คือเขาต้องตกอยู่ภายใต้คำสาปของมัน

คำสาปนี้ไม่ต่างอะไรไปจากฝันร้าย มันแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาผ่านทางความฝัน และทุกครั้งที่หลินเมิ่งเจ๋อหลับ ทุกคนที่เขาเคยสังหารก็จะกลับมาตามล่าเขาเพื่อแก้แค้น

ในช่วงแรก หลินเมิ่งเจ๋อไม่ได้สนใจความฝันพวกนั้นแต่อย่างใด อย่างไรแล้วต่อให้เป็นความฝัน แต่ในนั้นเขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนด่านมหาราชันที่สามารถฉีกฝันร้ายออกได้อย่างง่ายดาย

แต่ถึงกระนั้น จักรพรรดิหลินเมิ่งเจ๋อก็ค่อย ๆ ค้นพบว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ

เพราะฝันร้ายพวกนั้นไม่มีวันจบสิ้นลง

ไม่ว่าจะใช้วิธีใดเพื่อกำจัดฝันพวกนั้น ฝันร้ายก็ยังกลับมาตามหลอกหลอนเขาต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

ในทุก ๆ คืน หลินเมิ่งเจ๋อจะต้องต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป พลังจิตของเขาก็เริ่มจะได้รับผลกระทบ และสภาพร่างกายก็เริ่มจะเสื่อมถอยตามไปด้วย

ในตอนนั้นเอง หลินเมิ่งเจ๋อจึงรู้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติอย่างมาก เพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในความฝันกำลังส่งผลต่อพลังจิตของเขาโดยตรง

เขาเป็นถึงผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน ความรู้ของหลินเมิ่งเจ๋อกว้างขวางอย่างไร้ที่สิ้นสุด และยังมีพลังหยินและหยางผสานรวมกันอยู่ในกาย พลังจิตของเขาก็ได้รับการเสริมกำลังด้วยตำหนักเซียนทั้งแปด และจิตวิญญาณของหลินเมิ่งเจ๋อก็แข็งแกร่งเหลือเกิน ต่อให้ร่างกายของเขาถูกทำลายไป จิตวิญญาณของเขาก็ยังสามารถอยู่รอดและคืนชีพกลับขึ้นมาได้เพียงแค่ต้องมีร่างให้อาศัยเท่านั้น อายุไขที่ยาวนานถึง 1,800 ปีนั้นหมายถึงพลังจิตของเขา หาใช่กายหยาบแต่อย่างใด

ทว่าในตอนนี้ พลังจิตของหลินเมิ่งเจ๋อกำลังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง หรือก็คืออายุไขของเขากำลังถูกทำให้สั้นลงอย่างมากนั่นเอง !

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลินเมิ่งเจ๋อตกตะลึงไม่น้อย เขาเริ่มสรรหาวิธีการในการเป็นอิสระจากฝันร้ายพวกนั้นด้วยความสิ้นหวัง

แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้เลย ฝันร้ายเหล่านั้นถูกฝังลึกลงไปในจิตใจและในตอนนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยตัวของเขาเองด้วยซ้ำ ตราบใดที่หลินเมิ่งเจ๋อยังมีลมหายใจ ฝันร้ายก็จะยังคงอยู่ต่อไปคู่กับชีวิตของเขา

จักรพรรดิหลินเมิ่งเจ๋อถูกบังคับให้ต้องต่อสู้กับฝันร้ายในทุกคืน พลังจิตของเขาค่อย ๆ สลายหายไปเช่นเดียวกับอายุไขที่ลดลง รวมไปถึงพลังกายที่เสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ

เขาทำแม้กระทั่งหลีกเลี่ยงการนอนหลับแล้วด้วยซ้ำ…

ด้วยพื้นฐานการฝึกตนระดับหลินเมิ่งเจ๋อ การไม่ได้นอนหลับพักผ่อนจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก เขาสามารถฟื้นพลังจิตใจกลับมาได้เพียงแค่นั่งเฉย ๆ และสำหรับหลินเมิ่งเจ๋อแล้ว การนอนนั้นถือเป็นเหมือนที่สิ่งที่ทำเป็นประจำทุกวันจนเป็นนิสัย และเป็นการฝึกตนอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

แต่หลินเมิ่งเจ๋อก็พบว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงฝันร้ายเหล่านั้นได้เลย ต่อให้จะไม่ได้นอนหลับก็ตาม

เมื่อใกล้รุ่งสาง ฝันร้ายก็จะมาเยือนเสมอ และหลินเมิ่งเจ๋อก็เหนื่อยล้าขึ้นทุกวัน เวลาของการมาเยือนนั้นแม่นยำจนน่าตกใจ และไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร มันก็ยังเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน อีกทั้งยิ่งพยายามมากเพียงไร ก็ดูเหมือนว่าการหลุดออกมาจากฝันร้ายนั้นจะยิ่งยากมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย หลินเมิ่งเจ๋อมักต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงหนึ่งชั่วยามในการหนีให้พ้นจากสิ่งมีชีวิตในฝันที่โหดเหี้ยมนั้น

ดังนั้นจึงหมายความว่าการจะหยุดนอนหลับพักผ่อนโดยสมบูรณ์นั้นเป็นไปไม่ได้เลย และหากเขากำลังต้องต่อสู้กับใครบางคนอยู่ในช่วงเวลานั้น พลังการต่อสู้ของหลินเมิ่งเจ๋อก็จะลดลงอย่างมาก

จักรพรรดิหลินเมิ่งเจ๋อหวาดกลัวเหลือเกิน

แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ฝันร้ายบังคับให้หลินเมิ่งเจ๋อต้องนอนหลับเพราะความอ่อนล้า และเมื่อเขาเริ่มฝันอีกครั้ง หลินเมิ่งเจ๋อก็ต้องหนีจากฝันร้ายอีกเช่นเคย พรก่อนตายไม่เหลือช่องว่างใด ๆ ให้เขาหนีเลย

หลินเมิ่งเจ๋อเคยขอความช่วยเหลือจากตระกูลหลี่มาแล้ว

หลี่หวู่อี้ยังได้เข้ามาดูเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และพยายามที่จะใช้สายเลือดนิมิตลาวัณย์เพื่อเข้าไปในแดนฝันที่หลินเมิ่งเจ๋อติดอยู่ในทุกคืน

ภายใต้อานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเมิ่งเจียว ฝันร้ายเหล่านั้นจึงพากันหลบซ่อนและไม่ยอมเผยตัวออกมาเลย

ทว่าในทันทีที่หลี่หวู่อี้จากไป ฝันร้ายก็กลับมาอีกครั้ง

การที่หลินเมิ่งเจ๋อจะไปขอให้หลี่หวู่อี้มากเป็น ‘ผู้พิทักษ์ความฝัน’ ส่วนตัวในทุกคืนนั้นคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เขาจึงทำได้เพียงแค่อดทนกับมันต่อไปด้วยตัวเอง

นานเข้าพลังจิตของหลินเมิ่งเจ๋อก็ยิ่งถูกกัดกินมากขึ้นเรื่อย ๆ และความสามารถในการต้านทานแรงกดดันของเขาก็เริ่มจะลดน้อยลง

ตอนนี้แม้ทุกอย่างจะดูปกติดี และนั่นก็เป็นแค่ภายนอกที่หลินเมิ่งเจ๋อแสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น หากเขาหยุดใช้วิชาสำหรับซ่อนเร้นเมื่อไร ดวงตาที่ลึกโบ๋จากความเหนื่อยล้าก็จะถูกเผยให้เห็นทันที

ผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน และผู้ที่มีหน้าที่ปกครองทั้งอาณาจักรกลับต้องจมอยู่กับสภาวะเช่นนี้ก็เพราะคำสาปสายเลือด

หลินเมิ่งเจ๋อผ่านการทดลองความเป็นไปได้ต่าง ๆ มาแล้วมากมาย จุดสุดท้ายเขาก็นึกขึ้นได้ว่าทางออกเดียวก็คือหลงพั่วจวิน

หากเขาสังหารหลงพั่วจวิน และซึมซับเอากระดูกปีศาจโลหิตเข้าสู่ร่างกายตัวเอง หลินเมิ่งเจ๋อก็จะสามารถบรรลุสู่พลังระดับที่สูงขึ้นได้… พลังที่จะทำให้เขาเป็นอมตะ !

เมื่อกลายเป็นอมตะแล้ว หลินเมิ่งเจ๋อก็จะสามารถหนีพ้นจากฝันร้ายพวกนั้นได้อย่างแน่นอน

และหากบรรลุพลังแล้วยังไม่สำเร็จ อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถยืดอายุไขตัวเองออกไปได้

ภายใต้สถานการณ์นี้เองที่ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะโจมตีนิกายไร้ขอบเขต

เพราะความล้มเหลวจากเผ่าคนเถื่อน หลินเมิ่งเจ๋อจึงไม่ได้หวังไว้มากนักว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะสำเร็จ

ทว่าในขณะเดียวกัน หลงพั่วจวินก็ได้เผยตัวออกมาแล้วด้วย

ขณะที่มองไปยังหลงพั่วจวิน หลินเมิ่งเจ๋อก็หัวเราะออกมา “ในฐานะขุนนางข้าหลวง เจ้าควรจะยินดีสละชีวิตเพื่อราชาของเจ้า เจ้ามีสมบัติชิ้นสำคัญอยู่ในครอบครอง แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะส่งมันมาให้ข้า ข้ามาพบเจ้าเพื่อขอมันด้วยตัวเองแท้ ๆ แต่เจ้ากล้าดีนักที่ยังเก็บซ่อนมันไว้จากข้า ความไม่ภักดีเช่นนี้แทบไม่ต่างอะไรกับการทรยศเลย !”

หลงพั่วจวินหัวเราะด้วยความไม่พอใจ “ที่ข้าไม่ยอมมอบชีวิตให้ก็เป็นความผิดของข้าอย่างนั้นหรือ ?”

หลินเมิ่งเจ๋อตอบกลับอย่างวางท่า “ใช่แล้ว มันเป็นความผิดของเจ้า ! ข้าเป็นถึงจักรพรรดิ และคำสั่งของข้าก็ถือเป็นคำสั่งจากสวรรค์ เจ้าดื้อรั้นและหน้าไม่อายนักที่เมินต่อคำสั่งของข้า หรืออาจถึงขั้นทรยศเลยด้วยซ้ำ ข้าจะลงโทษด้วยการเอาชีวิตของเจ้า และถือเป็นการเตือนคนอื่น ๆ ไม่ให้เอาอย่างเจ้าด้วย”

พูดจบก็ไม่รอช้า เขาชี้นิ้วไปที่หลงพั่วจวินในทันใด

ลมเฮือกใหญ่พัดผ่านหลงพั่วจวินอย่างรุนแรง

เขาร้องขึ้นพร้อมกับปล่อยหมัดออกไป กำปั้นที่แข็งแกร่งปานเหล็กกล้านั้นไม่ต่างอะไรจากภูเขาลูกโตที่ถูกทิ้งลงใส่หลินเมิ่งเจ๋อ

กระดูกปีศาจโลหิตของเขาเปลี่ยนร่างกายให้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด และผิวหนังทั่วร่างนั้นก็ยังกลายสภาพเป็นเหมือนโลหะอีกด้วย แม้แต่ทักษะต้นกำเนิดที่มีคุณสมบัติในการทะลวง ก็ยังแทบไม่สามารถผ่านผิวหนังของหลงพั่วจวินไปได้ด้วยซ้ำ

ทว่าด้วยนิ้วของหลินเมิ่งเจ๋อที่ชี้มานั้น หลงพั่วจวินกลับรู้สึกขนลุกชันขณะที่อาการด้านชากำลังแผ่ซ่านไปทั่งร่าง…. มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เจ็บปวด แต่ก็เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังทะลุทะลวงเข้าไปในร่างของเขาอย่างไรอย่างนั้น

ในขณะเดียวกันนั้น กระดูกปีศาจโลหิจในร่างของหลงพั่วจวินก็เริ่มที่จะขยับฟื้นขึ้นมา ก่อนที่จะเคลื่อนเข้าหาแรงดึงดูดจากนิ้วมือนั้นอย่างช้า ๆ

“ต้านทานมันไว้เพื่ออะไรกันล่ะ ?” หลินเมิ่งเจ๋อถอนใจ “เจ้ากับข้ามาจากที่เดียวกัน ไม่เห็นจะแปลกเลยถ้าเราจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว”

แต่กระดูกปีศาจโลหิตกลับเมินเขา รังสีโลหิตที่รุนแรงพวยพุ่งออกมามากมายและหลั่งไหลออกมาจากร่างของหลงพั่วจวินก่อนจะพากันไปรวมตัวอยู่ที่กำปั้นของอีกฝ่าย ซึ่งหมัดสีแดงฉานนั้นก็พุ่งตัวออกไปหาหลินเมิ่งเจ๋อในทันที

หลินเมิ่งเจ๋อก้าวไปด้านข้างด้วยท่าทีสบาย ๆ และหลบพ้นจากการโจมตีของหลงพั่วจวินไปได้อย่างง่ายดาย “ความสามารถในการโจมตีของเจ้าดูจะอ่อนแอกว่าการป้องกันมากทีเดียวนะ”

สิ้นเสียงนั้นแรงกดดันมหาศาลก็เริ่มกระจายออกไปจากร่างของเขาอีกครั้ง มวลเมฆมากมายม้วนตัวเข้ามาหาหลงพั่วจวินราวกับว่าพวกมันมีชีวิตจิตใจขึ้นมา

หลงพั่วจวินสัมผัสได้ว่ามวลอากาศโดยรอบอึดอัดกว่าเดิม และมันทำให้เขาขยับตัวได้ยากขึ้น

ทักษะนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสุเมรุสูญของฉือไคฮวงอยู่พอสมควร ซึ่งหากว่ากันตามจริงแล้วนั้น ทักษะที่หลินเมิ่งเจ๋อใช้นั้นมีต้นกำเนิดมาจากตระกูลหลิน และฉือไคฮวงได้เอามันมาปรับใช้ในแบบของเขาเอง

สุเมรุสูญของหลินเมิ่งเจ๋อทรงพลังกว่าหลายขุม

ร่างกายของหลงพั่วจวินเองก็แข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นหลินเมิ่งเจ๋อก็ยังสามารถใช้การเข้าหาที่นุ่มนวลเพื่อที่จะตอบโต้กับพลังของหลงพั่วจวิน

ในขณะที่นิ้วมือของหลินเมิ่งเจ๋อไล่ไปทั่วร่างของหลงพั่วจวิน สุเมรุสูญของเขาก็ยึดร่างของหลงพั่วจวินให้อยู่กับที่ ทำให้อดีตแม่ทัพผู้เก่งกาจแทบไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

จากนั้นหลินเมิ่งเจ๋อก็พ่นลมหายใจออกมา…

ลมหายใจนั้นก่อตัวรวมกันเป็นเส้นสายที่รัดร่างของหลงพั่วจวินเอาไว้ ซึ่งทักษะนี้ก็ไปคล้ายคลึงกับวิชาหนวดอากาศของซูเฉินด้วย

หลงพั่วจวินคำรามขึ้นและคว้าหนวดอากาศมาทำลายจนขาดออกเป็นสองส่วน

ทว่าหนวดอากาศของหลินเมิ่งเจ๋อนั้นนุ่มและยืดหยุ่นผิดไปจากปกติ

หนวดเหล่านี้ค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพตัวเองและพยายามจะห่อหุ้มร่างของหลงพั่วจวิน

พวกมันไม่ได้เป็นเชือกทั่ว ๆ ไป แต่ดูเหมือนเส้นใยของแมงมุมเสียมากกว่า

เส้นใยหนึ่งเส้นเพิ่มจำนวนจากตัวมันเองได้อีกหลายเส้น จนกระทั่งเกิดเส้นใยขึ้นจำนวนมากมาย

เมื่อเส้นใยดังกล่าวมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้มันแข็งแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน

หลงพั่วจวินฉีกมันอย่างเต็มแรงจนขาดออก ทว่าหนวดอากาศที่ห่อหุ้มตัวเขากลับยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปอีก และมันกำลังพยายามที่จะรัดร่างของเขา

แต่เพราะหลินเมิ่งเจ๋อต้องการกระดูกปีศาจโลหิต เขาจึงจำเป็นต้องไว้ชีวิตหลงพั่วจวินก่อน

ด้วยเหตุนี้ หลินเมิ่งเจ๋อจึงเลือกใช้เฉพาะทักษะที่จะทำให้เขาจับเป็นหลงพั่วจวินได้เท่านั้น

แม้ว่าหลงพั่วจวินจะมีพลังที่น่าเกรงขาม แต่เขาก็เทียบไม่ได้กับผู้ฝึกตนด่านมหาราชันเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะคนที่มีสายเลือดเทพอสูร ซึ่งหลินเมิ่งเจ๋อผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าจงเจิ้นจวินเสียอีก

หลงพั่วจวินต่อสู้สุดความสามารถ แต่เข้าก็ไม่ต่างอะไรไปจากแมลงที่ติดอยู่ในใยแมงมุม ที่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็มีแต่จะทำให้เส้นใยนั้นรัดเขาแน่นขึ้นเท่านั้น

การโจมตีของหลินเมิ่งเจ๋อเรียบง่ายนัก เขาเลือกใช้วิธีที่นุ่มนวลเพื่อทำให้ความแข็งแกร่งของหลงพั่วจวินไม่สามารถใช้การได้

ในระหว่างนี้ ฝ่ายหลินเมิ่งเจ๋อก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ อีก เขายืนเอามือไพล่หลังและมองดูหลงพั่วจวินต่อสู้เอาชีวิตรอดโดยไร้ประโยชน์

เมื่อร่างของหลงพั่วจวินถูกห่อเอาไว้จนมีสภาพเหมือนตัวเกี๊ยวแล้ว หลินเมิ่งเจ๋อจึงกล่าวกับเขา “เจ้าไม่ต่างอะไรไปจากตั๊กแตนตัวน้อยที่พยายามจะหยุดรถม้าศึกที่กำลังเคลื่อนที่ มันจะมีประโยชน์อะไรกันที่จะทำแบบนั้นต่อไป ถ้าเจ้าส่งกระดูกปีศาจโลหิตมาแต่โดยดี ข้าอาจมองว่าเจ้าเป็นขุนนางข้าหลวงที่ภักดียิ่งก็ได้”

“ช่างหัวความภักดีสิ !” หลงพั่วจวินสบถ

หลินเมิ่งเจ๋อไม่ตอบรับคำนั้น “ข้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์และวิถีของข้าก็คือวิถีของสวรรค์ การกระทำของข้าชอบธรรมและปราศจากซึ่งอคติใด ๆ”

พูดจบหลินเมิ่งเจ๋อก็พาร่างของหลงพั่วจวินไป

ตอนนั้นเอง แสงสีแดงก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นจากร่างของหลงพั่วจวิน ดูเหมือนว่ากระดูกปีศาจโลหิตกำลังพยายามจะหลุดพ้นจากการควบคุมของหนวดอากาศเสียแล้ว

เห็นดังนั้นหลินเมิ่งเจ๋อก็ขมวดคิ้ว “ยังต้านทานได้อยู่อีกหรือนั่น ?”

เขาคว้ามือออกไปโดยใช้พลัง 70 ส่วนของพลังทั้งหมด หลินเมิ่งเจ๋อตั้งใจว่าจะตัดแขนขาของหลงพั่วจวินเสียและจับเขาไว้ให้ได้

ทว่าทันใดนั้น สีหน้าของหลินเมิ่งเจ๋อกลับต้องเปลี่ยนไป “ไม่ดีแน่ !”

จู่ ๆ เข้าก็ละความสนใจไปจากหลงพั่วจวินและทะยานออกไปข้างหน้า… ร่างนั้นพลันกลายเป็นลำแสงไปในชั่วพริบตา

ฝ่ามือหนึ่งเคลื่อนผ่านหลังของหลินเมิ่งเจ๋อไปอย่างรวดเร็วและเหลือไว้เพียงเงาจาง ๆ

หลินเมิ่งเจ๋อปรากฏกายขึ้นีกครั้งไกลออกไป เขาหันกลับมามองด้วยใบหน้าที่โกรธแค้น “หลินจุ้ยหลิวหรือ ?”

“ฮ่า ๆๆ! ไอ้บัดซบ เราพบกันอีกแล้วสินะ” หลินจุ้ยหลิวหัวเราะลั่น ในขณะเดียวกันฝ่ายหลงพั่วจวินก็พุ่งตัวออกมาและหลุดพ้นจากพันธนาการได้ในที่สุด

“ถุย !” หลินเมิ่งเจ๋อพ่นเลือดออกจากปาก

แม้ว่าการโจมตีของหลินจุ้ยหลิวจะไม่ได้ปะทะเข้าโดยตรง แต่พลังฝ่ามือของอีกฝ่ายก็ยังแทรกซึมเข้าไปในร่างของเมิ่งเจ๋อได้ จึงส่งผลกระทบกับเขาไม่น้อย

“นี่เจ้า… หลอกข้าหรือ !” หลินเมิ่งเจ๋อกล่าวโทษทันทีพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่หลงพั่วจวินด้วยสายตาอันดุร้าย

หากไม่ใช่เพราะหลงพั่วจวินจงใจเปิดทางให้หลินเมิ่งเจ๋อจับตัวและดึงความสนใจทั้งหมดเอาไว้ หลินจุ้ยหลิวก็คงไม่สามารถซุ่มโจมตีได้อย่างง่ายดายเช่นนี้แน่

หลงพั่วจวินขยับคอจนกระดูกลั่นขึ้น “ท่านอยากหนีให้พ้นจากความทรมานภายใต้คำสาปของพรก่อนตายที่นางใช้กับท่านไม่ใช่หรือ ถ้าท่านตายไป… ก็ไม่ต้องกังวลกับคำสาปนั่นอีกแล้ว !”