บทที่ 506.4 สองเดือนสอง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตลอดทางมีเสียงเด็กร้องไห้ให้ได้ยินไม่ขาดสาย สตรีแต่งงานแล้วพยายามปลอบโยน ส่วนบุรุษชายฉกรรจ์ก็ผรุสวาทเสียงดัง พวกคนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่สวดมนต์อยู่ในบ้านของตัวเอง เสียงเคาะปลาไม้ดังมาให้ได้ยินแว่วๆ พวกอันธพาลในท้องที่บางคนที่ใจกล้าสักหน่อยก็ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ หมายจะหาโอกาสรวยทางลัดให้ตัวเอง

ตระกูลคนมีเงินเริ่มติดแผ่นยันต์ที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากวัดวาอารามทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยันต์แบบไหนก็ขอให้ได้ติดไปก่อนค่อยว่ากัน

มาถึงถนนใหญ่ด้านนอกศาลเทพอภิบาลเมือง ตู้อวี๋ก็พุ่งตัวเข้าไปข้างใน เห็นเพียง…คนผู้หนึ่งที่…เลือดเนื้อเละเทะพร่าเลือน มองไม่เห็นก้อนเนื้อดีๆ แม้แต่ก้อนเดียว มือทั้งสองข้างยันกระบี่ ยืนอยู่ที่เดิม

ตู้อวี๋มองกระบี่ยาวที่แสงสีทองหม่นหมองแล้วก็ส่ายหน้าอย่างแรง จากนั้นก็ตบบ้องหูตัวเองหลายๆ ที ก่อนจะยกสองมือขึ้นพนม พูดเสียงเบาด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ผู้อาวุโส วางใจเถอะ เชื่อข้าตู้อวี๋สักครั้ง ข้าเพียงแค่จะแบกท่านไปยังพื้นที่ที่เงียบสงบ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้รั้งรออยู่นาน!”

ตู้อวี๋รออยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อผู้อาวุโสไม่พูดอะไร ข้าก็จะถือว่าท่านตอบตกลงแล้วนะ?!”

สุดท้ายตู้อวี๋ก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหนึ่งคนหนึ่งกระบี่นั้น

ทรุดตัวลงนั่งยองจะแบกผู้อาวุโสขึ้นหลังไป

ตู้อวี๋จึงไม่ได้เห็นภาพที่มากพอจะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเขาให้แหลกสลายได้

ผู้อาวุโสที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนผู้นั้นค่อยๆ หันหน้ามาช้าๆ นิ้วมือขยับเล็กน้อย

จุดสูงบนม่านฟ้า ผู้ฝึกตนต่างถิ่นคนหนึ่งที่ทะยานลมมาหยุดลอยตัวลังเลอยู่ชั่วขณะก็เลือกที่จะจากไป

ตู้อวี๋ตบศีรษะตัวเอง นึกขึ้นได้ว่ากระบี่เล่มนี้ค่อนข้างจะเกะกะ เขาจะแบกอีกฝ่ายได้อย่างไร?

ตู้อวี๋คิดจะแงะนิ้วทั้งสิบของผู้อาวุโสออกเบาๆ แต่นิ้วของอีกฝ่ายกลับไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ตู้อวี๋หน้าม่อย แบบนี้จะทำอย่างไรดี

นิ้วของตู้อวี๋เพียงแค่สัมผัสกับด้ามกระบี่เบาๆ ร่างทั้งร่างก็ถูกดีดออกไป จิตวิญญาณสะเทือนไหว ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างในเสี้ยววินาที ไม่เป็นรองตอนที่ผู้อาวุโสใช้พายุหมัดพัดผ่านสามจิตเจ็ดวิญญาณเมื่อครั้งที่อยู่ในศาลสุ่ยเซียนของจ้าวแห่งคูน้ำเสาซีก่อนหน้านี้เลย

ตู้อวี๋ดิ้นรนลุกขึ้นยืน กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ สีหน้าซีดขาว พอแบมือออกก็เห็นว่านิ้วข้างนั้นเกือบจะไหม้เกรียมเป็นถ่านดำ

แล้วจู่ๆ กระบี่เล่มนั้นก็สั่นสะเทือนขึ้นมาด้วยตัวเอง ขยับออกห่างมือทั้งสองของผู้อาวุโส บินกลับเข้าไปสอดในฝักด้านหลังผู้อาวุโสเบาๆ

ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศซึ่งใช้วิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือมองมายังซากปรักหักพังแห่งนี้ต่อถอนหายใจเบาๆ ราวกับรู้สึกเสียดายอย่างมาก แล้วถึงได้จากไปอย่างแท้จริง

ตู้อวี๋ถึงได้สามารถแบกคนเลือดที่ทั่วร่างล้วนมีแต่กระดูกขาวโพลนโผล่ให้เห็น ราวกับว่าถูกแมลงวันไร้หัวตัวหนึ่งชอนไชจนเป็นรูไปทั่วทั้งตัวไปด้วยกันได้ เขาเดินไปตามตรอกซอกซอยแคบๆ บ้างก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพง สุดท้ายกว่าจะพบเจอเรือนผุพังที่ไร้คนอยู่อาศัยหลังหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ตู้อวี๋ยกเท้าถีบห้องเล็กที่เต็มไปด้วยหยากไย่ให้เปิดออก เดิมคิดว่าจะวางผู้อาวุโสร่างโชกเลือดด้านหลังตนไว้บนเตียง แต่พอเห็นว่าเตียงไม้ผุเก่าหลังนั้นไม่มีแม้แต่ผ้าห่มสักผืน บนเตียงเต็มไปด้วยฝุ่น เขาก็จึงได้แต่ใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้โยกที่ใกล้พังตัวหนึ่งมา วางผู้อาวุโสลงบนเก้าอี้ที่ส่งเสียงดังออดแอด แล้วตู้อวี๋ที่บนร่างก็เต็มไปด้วยคราบเลือดเช่นกันก็หยิบเอาขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาวางไว้บนเก้าอี้ข้างมือของคนผู้นั้นเบาๆ ตู้อวี๋ถอยหลังไปหลายก้าว เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ผู้อาวุโส ข้าตู้อวี๋กลัวตาย กลัวตายมากจริงๆ คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”

ตู้อวี๋ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “หากผู้อาวุโสยังไม่ตาย แต่ถ้าในขณะที่ผู้อาวุโสพักรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่แล้วตู้อวี๋ถูกคนจับได้ ข้าก็คงจะยังบอกที่อยู่นี้แก่พวกเขาอย่างชัดเจน”

คนที่อยู่บนเก้าอี้เงียบสงบเหมือนตายไปแล้ว

ตู้อวี๋กุมหมัดคารวะ เดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูลงเบาๆ

ในสมองตู้อวี๋เหมือนมีแต่แป้งเปียก เดิมทีคิดจะหนีออกไปจากเมืองสุยเจี้ยในรวดเดียว กลับไปอยู่ข้างกายพ่อแม่ที่ตำหนักขวานผีก่อนค่อยว่ากัน เพียงแต่ว่าพอเดินออกมานอกห้อง ถูกลมเย็นๆ พัดโชยมาสติก็พลันแจ่มใส ไม่เพียงแต่ไม่สามารถย้อนกลับไปตำหนักขวานผีได้เพียงลำพัง เขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้ภารกิจเร่งด่วนก็คือกลับไปลบรอยเลือดที่หยดตามทางมาเป็นระยะนั่น! นี่เป็นทั้งการช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็ช่วยเหลือตัวเองด้วย! หลังจากตู้อวี๋ตัดสินใจได้แล้วก็ไม่เหลือความลังเลอีก ในขณะที่แอบไปจัดการกับร่องรอยอย่างเงียบเชียบ ตู้อวี๋ยังเริ่มตั้งสมมติฐานว่าหากตนเป็นผู้อาวุโสคนนั้น เขาควรจะจัดการกับสภาพการณ์ของตัวเองในเวลานี้อย่างไร

หลังจากที่ตู้อวี๋ปิดประตูเดินจากไปแล้ว

คนที่ร่อแร่ใกล้ตายอยู่บนเก้าอี้ก็ค่อยๆ ลืมดวงตาที่มืดลึกคู่นั้นขึ้นช้าๆ แล้วค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง

หลังจากฟ้าสว่าง

ขุนนางน้อยใหญ่ ครอบครัวเศรษฐีและชาวบ้านร้านตลาดของเมืองสุยเจี้ยก็เริ่มง่วนทำงานยุ่งวุ่นวายด้วยความกระวนกระวาย

หลังจากที่พวกเขาทยอยกันได้ยินเหตุไม่คาดฝันต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ศาลเทพอภิบาลเมือง ก็ไม่รู้ว่าเล่าลือกันไปอย่างไร ถึงได้กลายเป็นว่าศาลเทพอภิบาลเมืองช่วยต้านรับทะเลเมฆที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่แน่ชัดนั้นแทนพวกเขา เป็นเหตุให้ตลอดทั้งศาลเทพอภิบาลเมืองเจอกับหายนะ ชั่วขณะนั้นก็มีชาวบ้านกรูกันไปจุดธูปโขกหัวกราบไหว้ซากปรักของศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างต่อเนื่อง ธูปในร้านขายธูปบนถนนเส้นใหญ่ล้วนถูกคนแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยง และยังมีคนอีกหลายคนที่เกิดเหตุวิวาทกันเพราะแย่งชิงธูป

สถานการณ์ที่ศาลเทพอัคคีก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ ศาลทั้งศาลพังถล่มลงมาไม่เหลือชิ้นดี เทวรูปดินเผาที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพอัคคีก็ร่วงแตก เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

สองวันต่อมา

เมืองสุยเจี้ยก็มีคนแปลกหน้าปรากฏตัวเพิ่มอีกหลายคน ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เจ้าเมืองของเมืองสุยเจี้ยที่เดิมทีเศร้าเสียใจเหมือนบิดาตายก็ไม่เหลือสภาพอับจนหนทางดั่งมดที่อยู่บนกระทะร้อนอีก ใบหน้าของเขาแดงปลั่งอิ่มเอิบ สั่งให้เสมียนขุนนาง คนทุกคนไปตามหาคนหนุ่มชุดเขียวที่ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด ในมือของแต่ละคนล้วนมีภาพเหมือนหนึ่งภาพ ว่ากันว่าเขาคือโจรชั่วนิสัยเลวทรามคนหนึ่งที่ผ่านทางมา ยิ่งทุกคนได้เห็นภาพเหมือนของเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องเป็นคนเลวอย่างแน่นอน บวกกับที่จวนเจ้าเมืองจ่ายเงินรางวัลอย่างหนัก ขอแค่มีเบาะแสร่องรอยของคนผู้นี้ เงินรางวัลก็มากถึงทองร้อยก้อน หากสามารถพาเขามายังที่ว่าการได้ ท่านเจ้าเมืองก็สามารถช่วยแนะนำส่งเสริมด้วยตัวเอง จนกระทั่งคนผู้นั้นได้รับตำแหน่งขุนนาง! เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่เพียงแต่จวนของที่ว่าการเท่านั้น ตระกูลคนรวยหลายแห่งที่ข่าวสารว่องไวก็เห็นเรื่องนี้เป็นงานดีที่สามารถลองเสี่ยงโชคดูได้ แต่ละครอบครัวจึงพากันส่งตัวบ่าวรับใช้ทั้งหมดออกมาระดมพลกันค้นหา

ไม่เพียงแต่เมืองสุยเจี้ยเท่านั้น ที่ว่าการของเมืองรอบๆ ก็เริ่มทำการค้นหาตามจับคนผู้นี้ขนานใหญ่เช่นกัน

หนึ่งวันผ่านไป ชาวบ้านของเมืองสุยเจี้ยต่างก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดของเรื่องราวในครั้งนี้

บนท้องฟ้าและในเมืองมีเทพเซียนขี่เมฆทะยานหมอกในตำนานปรากฏตัวขึ้นเยอะมาก

พอเห็นพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเด็กสตรีหรือคนชราที่อยู่ตามมุมต่างๆ ของเมืองต่างก็พากันคุกเข่าโขกหัวคำนับพวกเขา

ทว่าท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ ในศาลเทพอัคคี ชายฉกรรจ์เคราดกที่รูปโฉมเหมือนกับเทวรูปพลันเผยกาย เรือนกายสูงหลายสิบจั้ง อาศัยควันธูปของเมื่อหลายวันก่อนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจริงใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พอจะฝืนดึงลมปราณเฮือกสุดท้ายเผยร่างจริงในช่วงเวลาคับขันที่ร่างทองโงนเงนใกล้จะปริแตก ตะโกนเสียงดังเล่าถึงวีรกรรมที่เต็มไปด้วยคุณธรรมของเซียนกระบี่ผู้นั้น! บอกว่าเขาไม่ใช่คนต่างถิ่นชั่วร้ายที่ชักนำภัยมาสู่ศาลเทพอภิบาลเมืองหรือนำพาหายนะจากสวรรค์มาสู่เมืองสุยเจี้ยอย่างแน่นอน!

ถ้อยคำที่รัวเร็วเร่งร้อนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเทพอัคคีท่านนี้พลันดังก้องไปทั่วทั้งเมืองสุยเจี้ย

พวกชาวบ้านหันมามองหน้ากันเอง ใต้เท้าเจ้าเมืองที่อยู่ในจวนที่ว่าการก็ยิ่งอับอายจนพานเป็นความโกรธ

เพียงแต่ว่าไม่รอให้เขาพูดไปมากกว่านั้นก็มีสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งพุ่งจากจุดที่ห่างไปไกลแสนไกลมาถึงเมืองสุยเจี้ย แล้วระเบิดใส่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเทพอัคคีแห่งนี้ดังสนั่นหวั่นไหว

ร่างทองของชายฉกรรจ์เคราดกระเบิดแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย ก่อนจะกลายเป็นจุดแสงสีทองที่กระจัดกระจายไปสี่ทิศ

สมบัติอาคมชิ้นนั้นยังคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ พุ่งเข้าทุบทำลายศาลเทพอัคคีทั้งแห่งจนพังพินาศ

ยามสนธยาของวันนี้ บุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีขาว ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาดคนหนึ่งเดินไปยังเรือนผีแห่งนั้น เขาเปิดประตูออกแล้วปิดลง

กลางม่านราตรี เขาที่มือข้างหนึ่งถือพัดไม้ไผ่นั่งดื่มเหล้าชมจันทร์อยู่บนหลังคาเรือน สุดท้ายก็เมาหลับไปทั้งอย่างนั้น

คนผู้นี้นอกจากสีหน้าจะซีดขาวเล็กน้อยแล้ว เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาชาวบ้านก็สมกับเป็นเจ๋อเซียนอย่างแท้จริง

พอเขาปรากฏตัว ผู้ฝึกลมปราณแทบทั้งหมดในเมืองก็พากันถอยหายกระจายตัวเหมือนกระแสน้ำลง

เพราะมีผู้ฝึกตนสองคนที่คิดลองของแอบขยับเข้าไปใกล้เรือนผีในกลางดึกคืนหนึ่ง เพิ่งจะขยับเข้าใกล้กำแพงที่โอบล้อมเรือนก็ถูกแสงกระบี่สองจุดแทงทะลุศีรษะ ตายคาที่ทันที

วันต่อมาคนผู้นั้นก็ไปที่ศาลเทพอัคคี จุดธูปสามดอก หลังจากนั้นก็ย้อนกลับไปยังเรือนผีที่กลิ่นอายวังเวงแผ่ปกคลุม

วันนี้เรือนผีมีแขกที่ค่อนข้างสะดุดตาโผล่มาเพิ่มอีกคนหนึ่ง

เขาก็คือตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผี

ในลานกว้างของเรือนผี เซียนกระบี่ชุดขาวนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ตู้อวี๋ที่หน้าม่อยยืนอยู่ด้านข้าง “ผู้อาวุโส คราวนี้ข้าต้องตายจริงๆ แน่! เหตุใดต้องรั้งตัวข้าไว้ที่นี่ด้วย ข้าก็แค่มาเพื่อดูว่าผู้อาวุโสปลอดภัยหรือไม่ก็เท่านั้น”

คนผู้นั้นโบกพัดไม้ไผ่เบาๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มประหลาดที่ทำให้ตู้อวี๋รู้สึกไม่คุ้นเคย เขาเอ่ยช้าๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “หากวันนี้เจ้าจากไป นั่นต่างหากถึงจะต้องตายอย่างแท้จริง”

ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น

เย่หานเจ้านครหวงเยว่กลับมานั่งอยู่ตรงกันข้ามกับฟ่านเหวยหรานแห่งดินแดนเซียนเป่าต้งที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน

ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายและกลุ่มอิทธิพลที่พึ่งพาพวกเขายืนขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวา โดยเรียงลำดับตามขอบเขตสูงต่ำ และกองกำลังของภูเขาว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่วังมังกรมีผู้ฝึกตนตระกูลเซียนปรากฏตัวพร้อมกันมากขนาดนี้

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรตำแหน่งประธาน แต่นั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างเกียจคร้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งสามฝ่ายต่างนั่งอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน

เยี่ยนชิงและเหอลู่ต่างก็แยกกันนั่งอยู่ข้างกายฟ่านเหวยหรานและเย่หานพอดี

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยเรื่องหนึ่งกันสำเร็จแล้ว

ในเมื่อสมบัติประหลาดชิ้นนั้นถูกสหายของเซียนกระบี่แซ่เฉินแย่งเอาไป อีกทั้งเซียนกระบี่ผู้นี้ยังบาดเจ็บสาหัสจนจำต้องรั้งรออยู่ต่อที่เมืองสุยเจี้ย ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลให้ปล่อยเขามีชีวิตรอดออกไปจากเมืองสุยเจี้ย ทางที่ดีที่สุดคือควรจะฆ่าเขาทิ้งตั้งแต่ในเมืองสุยเจี้ยเสีย

ตามคำบอกของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น นอกจากคนผู้นี้จะสะพายศาสตราวุธเทพไว้บนหลังแล้ว บนร่างยังมีสมบัติหนักอีกหลายชิ้น มากพอจะให้ทุกคนที่ร่วมกันล้อมโจมตีเขาแบ่งน้ำแกงกันไปคนละถ้วย!

ฟ่านเหวยหรานหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ควรจะส่งใครไปหยั่งเชิงอาการบาดเจ็บของคนผู้นี้? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเศษสวะห้าขอบเขตล่างที่ตายไปก็ยังไม่รู้ตัวสองคนนั้นไม่ได้เรื่อง เจ้านครเย่ นครหวงเยว่ของเจ้ามีคนมากมายขนาดนี้ ไม่สู้เจ้าออกแรงให้มากสักหน่อย?”

ผู้ฝึกตนทางฝั่งของเย่หานเริ่มตบโต๊ะสบถด่าอย่างเดือดดาล

การช่วงชิงสมบัติประหลาดในครั้งนี้ ระหว่างที่ไล่ฆ่าผู้เฒ่าต่างถิ่นซึ่งเก็บซ่อนลิงน้อยตัวนั้นเอาไว้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันขึ้นหลายครั้ง อันที่จริงทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บและล้มตายกันไปมาก

เหอลู่พลันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนที่ตบะไม่สูงพอ และยังมีพวกผู้ฝึกยุทธที่ฝีมือยิ่งไม่ได้เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่อาจหยั่งเชิงน้ำหนักของคนผู้นี้ได้เลย ในความเป็นจริงแล้ว ข้ารู้สึกว่าต่อให้ตัวข้าไปเองก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะทำสำเร็จ”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดตรงกลางระหว่างสองฝ่ายยิ้มเอ่ยว่า “ไอ้หมอนั่นมีความคิดละเอียดรอบคอบ วิธีการที่ใช้ก็เจ้าเล่ห์แยบยล ลงมืออำมหิตไร้ปราณี คือพวกคนที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยที่สุด ทะเลสาบชางอวิ๋นของข้าในเวลานี้มีสภาพน่าสงสารแค่ไหน พวกเจ้าก็ล้วนได้เห็นกันแล้ว คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน ข้าแค่มอบสถานที่ให้พวกเจ้าสองฝ่ายได้ปรึกษาหารือกันเท่านั้น อย่าให้ข้าขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวเปลือกไปหนึ่งกำมือเลย หากเขายังมีพละกำลังเหลือ แล้วสืบสาวเบาะแสจนมาพบข้า พวกเจ้าหนีไปแล้ว แต่ข้ากลับต้องจบเห่แน่นอน”

เหอลู่ใช้ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือตีลงบนฝ่ามืออีกข้างเบาๆ “หากคิดจะหยั่งเชิงคนผู้นี้จริงๆ ก็ไม่สู้สังหารตู้อวี๋เสีย ไม่เพียงแต่ลดทอนความยุ่งยาก ยังใช้ได้ผลอีกด้วย ถึงเวลานั้นโยนศพตู้อวี๋ไปไว้นอกเมืองสุยเจี้ย พวกเราสองฝ่ายโยนอคติทิ้งไป ร่วมมือกันอย่างซื่อสัตย์จริงใจ จัดวางค่ายกลไว้ที่นั่นให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็แค่เฝ้าตอรอกระต่ายก็พอ”

ฟ่านเหวยหรานตบโต๊ะ หัวเราะร่าเสียงดัง “ไม่เคยมองเด็กอย่างเจ้าแล้วสบายตาเท่าตอนนี้มาก่อน เอาตามความคิดของเจ้านี่แหละ!”

หญิงชราย้ายสายตาไปอีกทาง “เจ้านครเย่ คิดว่าอย่างไร?”

เย่หานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ

เยี่ยนชิงหลุบสายตาลงต่ำ ขนตากระพือเบาๆ

คืนนั้น

ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้ข่าวก็หันมามองหน้ากันเอง

สีหน้าของเหอลู่ก็ยิ่งนิ่งสนิทราวกับผิวน้ำ

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบเองก็หัวเราะไม่ค่อยออก

รู้สึกว่าการที่ครั้งนี้ตนเป็นพ่อสื่อช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้สองฝ่าย คิดผิดไปหรือเปล่า? ขออย่าให้กลายเป็นว่าเทพลำคลองเทพแห่งคูน้ำตายไปเกือบหมดแล้วยังต้องถูกคนใช้หนึ่งกระบี่มาแทงปั่นรังเก่าแห่งนี้ให้เละเทะอีกเลย

เย่หานเอ่ยเสียงเบา “บาดเจ็บถึงกระดูกและเส้นเอ็นต้องรักษาตัวหนึ่งร้อยวัน คนธรรมดาเป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราก็มีแต่จะยิ่งยุ่งยาก ในเมื่อเซียนกระบี่ผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสปานนั้น พวกเราค่อยๆ วางแผนกันไปได้”

ปีนี้ตลอดทั้งเมืองสุยเจี้ยผ่านด่านสิ้นปีไปได้อย่างราบรื่น แต่วันที่สามสิบของสิ้นปีกลับไม่มีบรรยากาศของความรื่นเริงเป็นมงคลอยู่แม้แต่น้อย การเดินทางไปเยี่ยมเยือนสวัสดีปีใหม่ในเดือนแรกของปีก็ยิ่งมีแต่ความอึดอัด แต่ละคนพร่ำบ่นไม่หยุดปาก

ดังนั้นบางคนที่เดิมทีไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักก็เริ่มขุ่นเคืองไม่พอใจกันขึ้นมาบ้างแล้ว

ภายหลังทางแถบของเรือนผีก็เริ่มมีบุคคลที่แต่งกายเหมือนชาวบ้านธรรมดาปรากฏตัว

ยิ่งเป็นช่วงหลัง เงาร่างของผู้คนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ต่อมาพวกชาวบ้านตัวจริงก็พากันมามุงดู ซุบซิบพลางชี้ไม้ชี้มือใส่

หลังจากที่มีเด็กคนหนึ่งขว้างก้อนหินเข้าไปในเรือนผีแล้วเริ่มด่า เหตุการณ์ก็อยู่เหนือการควบคุมไปอย่างสิ้นเชิง

คำวิพากษ์วิจารณ์ล้วนเป็นเสียงตำหนิอย่างไม่พอใจ จากแรกเริ่มที่ถูกคนอื่นยุแยง มาถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความรู้สึกที่เกิดจากใจจริงของทุกคน

ตำหนิเซียนกระบี่ผู้นั้นว่าในเมื่อมีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงยังต้องทำร้ายให้เมืองสุยเจี้ยสูญเสียทรัพย์สมบัติของมีค่าไปมากมาย?

ตู้อวี๋ที่นั่งฟังอยู่ในมุมกำแพงเรือนโมโหจนอกแทบระเบิด

หลังจากเดินก้าวยาวๆ กลับมาอยู่ข้างกายผู้อาวุโส นั่งแปะลงไปบนม้านั่งตัวเล็กแล้ว สองมือของตู้อวี๋ก็กำเป็นหมัด กล่าวด้วยความอัดอั้นเหลือแสน “ผู้อาวุโส หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ขว้างก้อนหินเลย ถูกคนสาดขี้ใส่ก็คงเป็นเรื่องปกติ จะไม่ให้ข้าออกไปจัดการจริงๆ หรือ?”

บุรุษชุดขาวที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ยังคงโบกพัดไม้ไผ่เบาๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “วันนี้เป็นวันอะไรแล้ว?”

ส่วนกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักเล่มนั้นก็ถูกเขาโยนไว้ข้างเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างไม่ใส่ใจ

ผู้อาวุโสคนนี้ก็ช่างเลินเล่อใจใหญ่เหลือเกิน ไปตัดเอาไม้ไผ่เขียวจากสวนไผ่มา แล้วก็ทำเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนี้ด้วยตัวเอง วันๆ ก็เอาแต่นอนหลับอยู่ตรงนี้

อีกอย่างพออยู่ร่วมกันนานวันเข้า ตู้อวี๋ก็รู้สึกว่าคนตรงหน้ากับผู้อาวุโสที่ได้รู้จักกันในช่วงแรกเริ่มสุด ไม่อาจพูดได้ว่าแตกต่างราวกับเป็นคนละคน แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน

หลังจากตู้อวี๋ได้ยินคำถามของผู้อาวุโสก็อึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะนับนิ้วคำนวณ “ผู้อาวุโส คือวันที่สองเดือนสอง!”

คนผู้นั้นพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง หุบพัดไม้ไผ่ ลุกขึ้นยืน หรี่ตาพลางยิ้มน้อยๆ “เป็นวันดี”