บทที่ 507.1 ทุกท่านเชิญเอากระบี่ไปได้เลย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตู้อวี๋รู้สึกเพียงว่าหนังหัวชาดิก พยายามจะฝืนดึงความห้าวเหิมแห่งยุทธภพที่เหลืออยู่ไม่มากของตัวเองขึ้นมา เพียงแต่ว่าการดึงเอาความกล้าขึ้นมาก็เหมือนพละกำลังของคนที่เดินขึ้นเขา ยิ่งไปถึง ‘ยอดเขา’ อย่างริมฝีปาก พละกำลังความห้าวเหิมนั้นก็แทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว เขาจึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโส ท่านเป็นแบบนี้ ข้าค่อนข้างจะ…กลัวท่าน”

เฉินผิงอันถือพัดไม้ไผ่หยกที่ชุยตงซานมอบให้ไว้ในมือ ใช้สองนิ้วบิดหมุนเบาๆ พัดไม้ไผ่ก็คลี่ออกและหุบเข้าเล็กน้อยพร้อมกับเสียงพึ่บพั่บดังแจ่มชัด เขายิ้มกล่าวว่า “เจ้าตู้อวี๋มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า ยังจะต้องกลัวอะไร? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าควรคิดว่าจะเอาคุณความชอบมาแลกเป็นรางวัลอย่างไรหรอกหรือ เหตุใดถึงยังกังวลว่าจะถูกข้าคิดบัญชีย้อนหลังเล่า? เรื่องราวเละเทะที่เจ้าทำไว้ในยุทธภพเหล่านั้น ข้าไม่คิดจะถือสาเจ้าตั้งแต่ตอนที่อยู่ในศาลสุ่ยเซียนของคูน้ำเสาซีแล้ว”

บนร่างของเฉินผิงอันคือชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ไม่ได้สวมมานานหลายปี ชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวที่เป็นสีเขียวถูกทำลายจนสิ้นสภาพไปแล้ว ต่อให้ทุ่มเงินเทพเซียนมากแค่ไหนก็ไม่สามารถซ่อมแซมมันให้กลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ เขาจึงเก็บไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ เอาเก็บรวมไว้กับรองเท้าสานที่เก่าขาด และกาเหล้าที่ดื่มเหล้าจนหมดแล้ว ศึกก่อนหน้านี้อันตรายแค่ไหน ง่ายดายมาก ถึงขั้นทำให้เขาไม่ทันได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แม้แต่จะใช้เสี้ยวความคิดก็ยังไม่อาจทำได้ ดังนั้นจึงได้แต่อาศัยเรือนกายที่เป็นเลือดเนื้อไปต้านทานทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆ นี่น่าจะเท่ากับแช่ตัวอยู่ในบ่อสายฟ้าขนาดเล็กบนภูเขาจีเซียวหลายวันหลายคืนกระมัง?

ตู้อวี๋กัดฟัน พูดหน้าม่อย “ผู้อาวุโส ท่านออกไปครั้งนี้คงไม่ได้สังหารคนทั้งเมืองสุยเจี้ยที่ไม่รู้จักคุณคนให้สิ้นซากหรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองตู้อวี๋ “เป็นเจ้าที่โง่ หรือข้าที่บ้ากันแน่? แล้วข้าจะต้องต้านทานทัณฑ์สวรรค์ไปเพื่ออะไร”

ตู้อวี๋ปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ผู้อาวุโสอย่าได้ขุ่นเคืองพวกชาวบ้านที่ไม่รู้ประสีประสาเลย มันไม่คุ้มกันหรอก”

เขาล่ะกลัวจริงๆ ว่ามรสุมลูกแรกยังไม่ทันสงบ คลื่นลูกใหม่ก็จะโถมตัวขึ้นมาอีก ถึงเวลานั้นคงไม่ใช่แค่ตนที่ต้องตายอนาถ อาจจะยังเดือดร้อนไปถึงพ่อแม่และตำหนักขวานผีอีกด้วย หากจะบอกว่าการจากลากันที่ศาลเทพวารีของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีก่อนหน้านี้ อย่างมากสุดหญิงแก่อย่างฟ่านเหวยหรานก็แค่คิดจะระบายโทสะใส่ตน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็คงบอกได้ยากแล้วจริงๆ ไม่แน่ว่าแม้แต่เย่หานแห่งนครหวงเยว่ก็ยังอาจจะหมายหัวตนด้วย

เรื่องราวบางอย่างที่ในอดีตไม่ค่อยคิดมาก ตอนนี้ไปเดินวนอยู่หน้าประตูผี ไปกระโดดโลดเต้นอยู่บนเส้นทางน้ำพุเหลืองมาหลายครั้ง จึงต้องคิดแล้วคิดอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดหลายวันที่อยู่ในจวนผี ช่วยผู้อาวุโสปัดกวาดเช็ดถูเรือนร้างที่ว่างเปล่า ทำงานใช้แรงงานของคนชั้นล่างที่ชั่วชีวิตนี้นับตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ยังไม่เคยทำมาก่อน เขาก็รู้สึกเหมือนราวกับอยู่คนละโลก

เฉินผิงอันเอาพัดพับเหน็บไว้ตรงเอว เส้นสายตามองข้ามผ่านหัวกำแพงออกไป เอ่ยว่า “ทำดีได้ชั่ว ล้วนเป็นเรื่องของตัวเอง มีอะไรให้ต้องผิดหวังกัน”

ตู้อวี๋พยักหน้ารับอย่างแรง “วิญญูชนทำดีไม่หวังสิ่งตอบแทน ผู้อาวุโสช่างมีมาดของวิญญูชน!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าเจ้าพูดประจบแบบนี้ให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ตบะของเจ้าตู้อวี๋ต่ำเตี้ยเกินไป คนพูดเปลืองแรง คนฟังก็รู้สึกเอียน ข้าทนกับเจ้ามานานแล้วนะ”

ตู้อวี๋ยิ้มแหยอย่างพิพักพิพ่วน

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ปลายเท้าเหยียบลงบนเจี้ยนเซียนที่อยู่บนพื้น ออกแรงดีดเบาๆ เจี้ยนเซียนก็ถูกเขากุมไว้ในมือ “เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”

ตู้อวี๋ย่อมไม่กล้าคลางแคลงในการตัดสินใจของผู้อาวุโส เพียงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้อาวุโสจะกลับมาที่เรือนเมื่อไหร่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะไปที่จวนเจ้าเมืองซึ่งอยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าว แล้วค่อยไปที่ทะเลสาบชางอวิ๋นหรือไม่ก็ที่ภูเขาเฮยโย่วสักรอบหนึ่ง น่าจะใช้เวลาไม่มากเท่าไร”

ตู้อวี๋ผ่อนหายใจโล่งอก

เฉินผิงอันเดินออกไปจากเรือนผี

ตู้อวี๋ยกสองมือขึ้นพนม ค้อมเอวขอพรกับกาเหล้าสีชาดใบนั้น “รบกวนนายท่านกาเหล้าช่วยปกป้องคุ้มครองข้าน้อยด้วยเถิด”

เมื่อประตูใหญ่ของเรือนผีถูกเปิดออก เจ๋อเซียนชุดขาวปรากฏตัวอย่างแท้จริง

พวกชาวบ้านของเมืองสุยเจี้ยที่เดิมทีตะเบ็งเสียงด่ากันอย่างเมามัน ไม่ว่าชายหญิงคนแก่หรือเด็ก คนร้อยกว่าคนที่นับว่าจำนวนไม่น้อยแตกฮือกันทันที ในกลุ่มคนส่วนใหญ่คือบ่าวรับใช้ในเรือนของเศรษฐีที่เจ้าประมุขของจวนคิดว่าตัวเองต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนอย่างไม่คาดคิด ทำให้ทรัพย์สินจำนวนมากต้องเสียหาย จึงส่งตัวพวกเขาให้มาทวงเงินที่นี่ รวมไปถึงอันธพาลแต่ละจุดของเมืองสุยเจี้ยที่มาร่วมวงเรื่องครึกครื้นที่นี่ และยังมีจอมยุทธเด็กหนุ่มไม่น้อยที่อยากเห็นว่าคนแบบไหนถึงจะเรียกว่าเซียนกระบี่

แม้ทุกคนต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นี้นิสัยดีมาก มีเงินมาก อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงจำเป็นต้องรักษาตัวอยู่ในเมืองสุยเจี้ยอีกนาน เขาหลบอยู่ในเรือนผีไม่กล้าโผล่หน้ามาเป็นเวลานานขนาดนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในข้อนี้แล้ว แต่สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเมื่ออีกฝ่ายออกจากเรือนผีมาแล้วจะจับตัวใครบางคนบนถนนมาไว้แล้วไม่ยอมปล่อยตัวหรือไม่? จะดีจะชั่วเขาก็เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้บ้าง

พอดีกับที่มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกำลังเข็นรถบรรจุอาจมไว้เต็มคันวิ่งตะบึงมาถึง พวกเขาหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างห้าวเหิม เดิมทีกำลังภาคภูมิใจกับวีรกรรมอันอาจหาญของตน ดื่มดำอยู่กับการยกนิ้วโป้งร้องตะโกนให้กำลังใจเสียงดังจากผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง ยามที่เข็นรถอาจมมาจึงยิ่งออกแรงมากเป็นพิเศษ อยู่ห่างจากเรือนผีที่วังเวงจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ไม่ถึงยี่สิบสามสิบก้าวแล้ว ผลคือเซียนชุดขาวที่ในมือถือกระบี่ยาวคนนั้นเปิดประตูออกมาพอดี แล้วก็จ้องเขม็งมาที่พวกเขา

ชายหนุ่มสามคนที่มักจะเที่ยวเล่นอย่างเสเพลอยู่ในเมืองสุยเจี้ยเป็นประจำพลันอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ขาสองข้างแข็งทื่อกระดุกกระดิกไม่ได้

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีคนผู้หนึ่งเดินเนิบนาบออกมาจากมุมตรอก จากนั้นก็เดินทวนกระแสผู้คนไปข้างหน้า นางคือสตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดไว้ทุกข์ หน้าตานับว่างดงาม ในอ้อมอกอุ้มเด็กทารกที่ยังอยู่ในห่อผ้าไว้คนหนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่อากาศยังเหน็บหนาวจับขั้วกระดูก ไม่รู้ว่าเด็กนอนหลับหรือหนาวจนตัวแข็งถึงได้ไม่ส่งเสียงร้อง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าอาลัย ฝีเท้ายิ่งเดินก็ยิ่งไว กระทั่งเดินผ่านรถเข็นขนอาจมและชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นมาก็คุกเข่าดังตุ้บลงกับพื้น แหงนหน้าขึ้นพูดกับคนหนุ่มชุดขาวด้วยเสียงสะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นคำ “นายท่านเทพเซียน บุรุษของข้าถูกบ้านที่พังลงมาทับตายแล้ว ข้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง วันหน้าจะหาเลี้ยงชีพอย่างไร? ขอนายท่านเทพเซียนโปรดมีเมตตา ช่วยพวกเราสองแม่ลูกด้วยเถิด!”

สตรีร้องไห้อย่างร้าวรานปานจะขาดใจ สะอึกสะอื้นเหมือนจะเป็นลมหมดสติไปได้ทุกเมื่อ

ชาวบ้านที่ไปหลบมุมอยู่ไกลๆ เริ่มชี้นิ้วมาทางนี้ บางคนก็หันไปกระซิบกับคนข้างกายเบาๆ บอกว่าดูเหมือนว่าจะเป็นสตรีของตรอกหยาเอ๋อร์ นางเพิ่งแต่งงานไปเมื่อปีก่อนจริงๆ

ช่างเป็นคนที่น่าสงสารนัก

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง “อากาศหนาวขนาดนี้ ลูกก็ยังเล็กขนาดนี้ เจ้าที่เป็นแม่คนตัดใจพาเขาออกมาข้างนอกได้อย่างไร? หรือว่าไม่ควรฝากเขาไว้กับเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้วค่อยวิ่งมาร้องทุกข์กับข้าเพียงลำพัง? อืม ก็ถูกนะ ถึงอย่างไรก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ยังจะสนใจเรื่องนี้ไปอีกทำไม”

สตรีแต่งงานแล้วอึ้งไป ราวกับต่อให้ตายก็คิดไม่ออกว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้จะเอ่ยเช่นนี้ จึงเหม่อลอยไปชั่วขณะ

จากนั้นก็เห็นเพียงว่าคนหนุ่มผู้นั้นยิ้มบางๆ “ข้าเห็นว่าท่าอุ้มลูกของเจ้าดูไม่ค่อยคล่องมือนัก ลูกคนแรกหรือ?”

สตรีพลันแผดเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ พูดเนิบช้าว่า “อีกเดี๋ยวหากข้าไม่สนใจเจ้า เดินสวนกับเจ้าไป เจ้าก็จะชูเด็กในมือขึ้นสูงแล้วบอกกับข้าว่า ข้าไม่ช่วยเจ้า เจ้าก็จะไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ถึงอย่างไรก็เอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว แทนที่จะทำให้เด็กน่าสงสารคนนี้ต้องลำบากกับเจ้าไปชั่วชีวิต ก็ไม่สู้ทุ่มเขาให้ตายอยู่บนถนนไปเสียเลย ชาติหน้าเขาจะได้ไปเกิดใหม่ในครรภ์ที่ดี ชีวิตนี้พ่อแม่ทำผิดต่อเขา มาเจอกับเทพเซียนที่ใจดำราวกับหินคนหนึ่ง จากนั้นเจ้าก็จะเอาหัวโหม่งตาย หวังให้สามคนในครอบครัวไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในปรโลกใช่หรือไม่? หรือจะบอกว่า สิ่งที่ข้าพูดมานี้มากกว่าที่คนอื่นสอนเจ้ามาเสียอีก?”

สตรีได้แต่คร่ำครวญแทบขาดใจ ร่ำไห้ไม่หยุด ทำให้คนที่ได้ยินน้ำตาไหล คนที่ได้เห็นเจ็บปวดหัวใจตามไปด้วย

เฉินผิงอันชำเลืองตามองบุรุษชาวบ้านที่อยู่ห่างไปไกลซึ่งเป็นตัวชี้บอกสถานะของสตรีแต่งงานแล้ว แล้วคลี่ยิ้มบางๆ ฝ่ายหลังหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนจะเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ร่างหายวับเข้าไปในตรอกเล็ก

คนที่รีบร้อนหนีไป สตรีแต่งงานแล้วที่นั่งร้องไห้อยู่บนพื้น นักฆ่าในยุทธภพที่แอบซ่อนตัวอยู่ในถังอาจมเพื่อรอฉวยโอกาสลงมือ

น่าจะเป็นแผนการเล็กๆ น้อยๆ ที่แม้แต่พวกผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังก็ยังไม่รู้สึกว่าจะได้ผล แต่ก็ทำไปเพื่อต้องการให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนหงุดหงิดใจเท่านั้นกระมัง?

เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นน่าจะยังไม่มีความกล้านี้ ส่วนฟ่านเหวยหรานแห่งดินแดนเซียนเป่าต้งก็ไม่มีจิตใจที่วกวนอ้อมค้อมเช่นนี้ หรือจะเป็นเย่หานเจ้านครหวงเยว่ที่ยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน? หรือไม่ก็เป็นเด็กหนุ่มชื่อว่าเหอลู่ที่ยืมมือของขุนนางบางคนในเมืองสุยเจี้ย? ถึงอย่างไรผู้ฝึกลมปราณ สตรีที่เป็นชาวบ้านธรรมดาและผู้ฝึกยุทธสามคนนี้ตายไป ก็ยังไม่แน่เสมอไปที่จะรู้ว่าตัวเองถูกผลักให้มาตาย การที่พวกเขาพาตัวมาตายที่นี่ แน่นอนว่าแต่ละคนต่างก็ต้องมีเหตุผลและแผนการเป็นของตัวเอง

จะทำอย่างไรดี?

เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองสะอิดสะเอียนเข้าแล้วจริงๆ

สตรีแต่งงานแล้วพลันรู้สึกตาลาย

ทว่ากลับไม่เห็นเงาร่างของเซียนหนุ่มชุดขาวผู้นั้นแล้ว

สตรีกัดฟัน ลุกขึ้นยืน แล้วนางก็ชูเด็กในห่อผ้าอ้อมขึ้นสูงหมายจะโยนลงพื้นจริงๆ แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น นางกลับหันหน้าไปทางถนนแล้วแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น “เซียนกระบี่ผู้นี้ใจดำอำมหิต ทำให้บุรุษของข้าต้องตาย แต่กลับไม่มีมโนธรรมในใจแม้แต่น้อย! วันนี้ต่อให้พวกเราสองแม่ลูกต้องตายไปพร้อมกัน ครอบครัวสามคนต้องกลายเป็นผี ก็จะไม่มีทางปล่อยเขาไป!”

สตรีแต่งงานแล้วทุ่มเด็กลงพื้นอย่างแรง หวังว่าเด็กจะตายในคราวเดียว เพราะหากไม่เป็นอย่างนั้นคงกลายเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นนางจึงใส่แรงเต็มที่

ความร่ำรวยมีเกียรติของตนในชาตินี้ล้วนอยู่ที่การกระทำครั้งนี้แล้ว

ถึงอย่างไรเด็กนี่ก็ไม่ใช่ลูกของนาง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าชายฉกรรจ์แปลกหน้าผู้นั้นไปหามาจากไหน ส่วนบุรุษที่อยู่ดีๆ ก็ตายไปได้ไม่นานผู้นั้น ก็เป็นบุรุษที่นางตาบอดถึงได้ยอมแต่งงานด้วยจริงๆ ก็แค่คนขี้เกียจที่ควบคุมเป้ากางเกงตัวเองไม่อยู่ เป็นผีพนันบ้าตัณหา ทรัพย์สมบัติน้อยนิดที่มีล้วนถูกเขาผลาญไปจนหมดสิ้น ทำเอานางที่นับตั้งแต่แต่งงานกับเขามาไม่เคยได้มีชีวิตที่ดีสักวัน ตายไปได้เสียก็ดี หลังจากทุ่มเด็กให้ตายแล้ว ตนก็แค่ต้องเอาหัวพุ่งชนกำแพง แค่หัวแตกเลือดไหลมองดูน่าตกใจก็เท่านั้น จากนั้นก็แค่แกล้งเป็นลมไปเสีย ไม่ต้องตายจริงๆ สักหน่อย เงินทองถุงใหญ่ตรงหน้าที่แค่เอื้อมคว้าก็ได้มาอยู่ในมือ บวกกับเงินอีกถุงหนึ่งหลังจากทำงานสำเร็จ วันหน้าได้เป็นเศรษฐีนีที่สวมเครื่องประดับเงินทองเต็มตัว แค่หาผู้ชายสักคนมาแต่งงานด้วย ยังจะยากอีกหรือ?

หลังจากทุ่มเด็กออกไป สตรีก็รู้สึกว่าเหนื่อยล้าเล็กน้อย นางจึงทรุดตัวลงนั่งพับอยู่บนพื้น

แต่แล้วนางก็ต้องเบิกตากว้าง

เห็นเพียงว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เทพเซียนชุดขาวมานั่งยองอยู่ตรงหน้าตัวเอง อีกทั้งมือหนึ่งยังรับเด็กที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมคนนั้นเอาไว้ได้

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน อุ้มเด็กเอาไว้ ใช้มือเลิกมุมหนึ่งของผ้าฝ้ายที่ห่อหุ้มเด็กออกด้วยท่าทางนุ่มนวล แตะที่มือเล็กของทารกน้อยเบาๆ ยังดี เด็กแค่หนาวจนตัวแข็งเท่านั้น คาดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเล่นงานเด็กที่ต้องตายอย่างแน่นอนคนหนึ่ง แล้วก็จริงดังคาด ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็มีมันสมองเพียงเท่านี้ เป็นคนดีนั้นไม่ง่าย แต่คิดจะเป็นคนเลวที่จิตใจชั่วช้าต่ำทรามอย่างแท้จริงมันยากนักหรือ?

เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก เพียงแต่ว่าตอนที่เขามองไปยังเด็กที่อยู่ในอ้อมอก สีหน้าแววตากลับอ่อนโยนลงอย่างเป็นธรรมชาติ เขากระชับผ้าฝ้ายห่อหุ้มตัวเด็กให้แน่นหนาขึ้นอีกนิดด้วยท่าทางคุ้นเคย อีกทั้งยังแบ่งไอความร้อนไปจากฝ่ามือของตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับห่อผ้าอย่างพอเหมาะพอดี ช่วยให้เด็กน้อยสามารถต้านทานอากาศที่หนาวเหน็บของฤดูใบไม้ผลินี้เอาไว้ได้

ใต้หล้านี้ไม่ควรมีเด็กคนใดที่เกิดมาก็ต้องมีชะตาชีวิตที่ยากลำบาก

เฉินผิงอันดีดปลายเท้า ร่างทะยานถอยกลับไปด้านหลังเหมือนสายรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งที่พาดเอียงย้อนกลับเข้าไปในจวนผี

คงเป็นเพราะตู้อวี๋รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบสุข เก้าอี้ที่วางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอาไว้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าไปนั่ง จึงย้ายม้านั่งตัวเล็กมาวางไว้ด้านข้างเก้าอี้ไม้ไผ่ นั่งอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ อย่างว่าง่าย แน่นอนว่าไม่ลืมสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างตัวนั้นด้วย

ตู้อวี๋เห็นว่าในอ้อมอกของผู้อาวุโสที่จากไปแล้วย้อนกลับมามี…เด็กในห่อผ้าอ้อมเพิ่มมาด้วย? นี่ผู้อาวุโสคิดจะทำอะไร? ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเคยพูดว่าเดินทางตอนกลางคืน โชคดีเลยเก็บเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างและโอสถปีศาจที่ผ่านการหล่อหลอมแล้วของตนมาได้จากข้างทาง เขาตู้อวี๋ยังพอจะฝืนมโนธรรมในใจพูดว่าเชื่อได้ แต่นี่เพิ่งจะออกไปก็เก็บเด็กคนหนึ่งกลับมา ทำให้เขาตู้อวี๋อึ้งตะลึงไปจริงๆ

 —–