“พี่หิมะเหิน” ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’ ชายหนุ่มศีรษะโล้นรูปโฉมหล่อเหลาเอ่ยปากเรียก ใบเมฆาวายุและอูเสี่ยวที่อยู่ข้างๆ ต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไป ขณะเดียวกันก็สำรวจดูทั้งสามคนนี้อย่างละเอียด
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจ้าเมืองทั้งสาม
“อูเสี่ยว”
เมื่อเห็นดูครั้งแรก ผู้ที่ดึงดูดสายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงที่สุดก็คืออูเสี่ยว!
อูเสี่ยวทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกพิเศษมาก ราวกับตนมองเห็นโลกใบหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น! อูเสี่ยวเหมือนเทหวัตถุขนาดใหญ่ดวงหนึ่งเสียมากกว่า ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตปกติทั่วไปเลย
“ว่ากันว่าพลังสายเลือดที่เขาฝึกฝนนั้นสืบทอดมาจากผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่ง สายเลือดไม่ธรรมดา” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “เมื่อเห็นเขาก็เหมือนกับได้เห็นเทหวัตถุดวงหนึ่ง! ว่ากันว่าเขาคือผู้ที่มีร่างกายแข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในเมืองเมฆาแดง พละกำลังก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าบรรลุถึงระดับใด”
ทว่าหลังจากนั้นติดๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของใบเมฆาวายุและบรรพชนงูเก้าเศียร
ใบเมฆาวายุยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับอยู่เหนือกว่าโลกใบนี้ รอบด้านของเขาให้ความรู้สึกว่ามีคละถิ่นบุกเบิก โลกถือกำเนิดขึ้นมา
แต่บรรพชนงูเก้าเศียรกลับตรงกันข้าม เขายืนอยู่ตรงนั้น ราวกับโอบอุ้มทุกสิ่งเอาไว้ ใบหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นเป็นอันมาก แต่ทุกสิ่งรอบด้านกลับถูกเขาควบคุมเอาไว้
“พลังของอูเสี่ยวมีต้นกำเนิดมาจากร่างกาย ร่างกายของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ สายเลือดมีส่วนช่วยอย่างมหาศาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “แต่ใบเมฆาวายุและบรรพชนงูเก้าเศียร…ด้านระดับขั้นล้วนสูงส่งอย่างยิ่ง เกรงว่าผู้ตระหนักวิถีซึ่งบรรลุถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วไปคงจะสู้ไม่ได้”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปพลางจับตามองทั้งสามคนนี้
เจ้าเมืองทั้งสามคนก็กำลังสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน พวกเขารู้สึกว่ากลิ่นอายของ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้พิเศษไม่เหมือนใคร ทำให้พวกเขาแต่ละคนเกิดความรู้สึกดีขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุมได้
“แค่กลิ่นอายก็สามารถส่งผลกระทบต่อข้าได้แล้วหรือนี่” พวกบรรพชนงูเก้าเศียรทั้งสามคนต่างลอบตกใจ
“หิมะเหินคารวะท่านเจ้าเมืองทั้งสามขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“วันนี้เพิ่งจะได้ยินเรื่องของจ้าวหิมะเหิน ข้ายังตกอกตกใจ ไม่อยากจะเชื่ออยู่เลย ได้พบครั้งนี้ก็หมดข้อกังขาแล้ว” บรรพชนงูเก้าเศียรพูดยิ้มๆ “ผลสำเร็จของจ้าวหิมะเหินทางด้านเส้นทางวิญญาณเหนือกว่าพวกข้าไปไกลโข มิน่าเล่า พลังของผู้ล่าฝูโม๋ระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์หนึ่งพันสองร้อยตนจึงลดลงเป็นอันมากด้วยเหตุนี้”
“นับถือ” ท่านเจ้าเมืองใบเมฆาวายุเป็นคนพูดน้อย แต่เขาก็พูด ‘นับถือ’ สองพยางค์นี้ออกมาอย่างหาได้ยากยิ่งนัก
“เส้นทางวิญญาณแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” อูเสี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “จ้าวหิมะเหิน ท่านสำแดงออกมาให้ข้าได้สัมผัสหน่อยจะได้หรือไม่”
“น้องอูเสี่ยว ผู้บำเพ็ญทั้งหลายจวนจะมากันแล้ว รอจนงานเลี้ยงยุติแล้วค่อยสัมผัสดูก็ยังไม่สาย” บรรพชนงูเก้าเศียรกล่าว
อูเสี่ยวกระจ่างแจ้งขึ้นมา เขาพยักหน้ายิ้มๆ “ไม่รีบร้อน”
******
งานเลี้ยงจวนจะเริ่มขึ้นแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าเมืองสามท่าน ทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนความรู้กัน แม้พวกเขาจะบำเพ็ญในทิศทางที่แตกต่างกัน แต่ก็พอจะได้อะไรบางอย่างจากเส้นทางการเติบโตของอีกฝ่าย
“อ้อ พี่หิมะเหิน ท่านก็เติบโตขึ้นมาทีละก้าวๆ จากคนธรรมดาเหมือนกันหรือ” อูเสี่ยวตกตะลึง “ท่านเหมือนกับพี่เก้าเศียรและพี่เมฆาวายุเลย ที่เติบโตขึ้นมาจากคนธรรมดาที่อ่อนแอที่สุด แต่ข้ากลับเกิดมาก็มีพลังระดับประมาณขั้นอลวนที่พี่หิมะเหินพูดแล้ว โดยทั่วไปแล้วชาวเผ่าของข้าเพิ่งเกิดมาก็เหมือนกันกับข้า บางส่วนก็อ่อนแอกว่าข้าอยู่บ้าง แต่พวกเขาหลายคนมิอาจเข้าถึงพลังของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบเลย หรือว่าการเติบโตจากคนธรรมดาจะมีข้อได้เปรียบอย่างมาก จะว่าไปแล้ว บรรพบุรุษของข้าก็เติบโตขึ้นมาทีละก้าวๆ จากคนธรรมดานี่นา!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังแล้วก็ทอดถอนใจ
ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของหุบเขาเขี้ยวหัก โดยทั่วไปแล้วเพิ่งเกิดมาก็มีพลังระดับเทพอากาศขั้นกำเนิดแล้ว!
ชาวเผ่าของอูเสี่ยวผู้นี้น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า โดยทั่วไปแล้วเพิ่งเกิดมาก็มีพลังขั้นอลวนแล้ว! สำหรับเด็กน้อยที่เกิดมาก็กระโดดออกจากมหานทีแห่งกาลเวลาแล้ว ไม่อาจไปอิจฉาได้ เพราะความแตกต่างนั้นมากมายยิ่งนัก อย่างในจักรวาลที่ตนเกิดมาแห่งนั้น ตามปกติผู้แกร่งกล้าที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวาลก็ยังไม่บรรลุถึงขั้นอลวนเลย มีเพียง ‘จอมกระบี่’ เท่านั้นซึ่งเป็นผู้ที่เยี่ยมยอดที่สุดในจักรวาล เขาบรรลุขั้นอลวนแล้วจึงออกจากจักรวาลและมุ่งหน้าไปยัง ‘วังทวีสูญ’
แต่ในบรรดาชาวเผ่าของอูเสี่ยว เพิ่งเกิดมาก็เป็นระดับนี้แล้ว!
“เมื่อเทียบกับพี่หิมะเหินแล้ว สภาพแวดล้อมที่ข้าเติบโตขึ้นมาเลวร้ายกว่ามากทีเดียว” บรรพชนงูเก้าเศียรพูดยิ้มๆ “ที่บ้านเกิดของข้า ทิพย์ถือเป็นระบบที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อยกระดับสายเลือดอันแข็งแกร่ง ไปจนถึงขั้นสามารถกวาดล้างรัฐหนึ่งได้ ระหว่างทิพย์กับทิพย์จึงมีการห้ำหั่นกันอย่างโหดเหี้ยมนัก เพื่อการเติบโตของตน ทำให้ทั้งอารยธรรมล่มสลาย ไปจนถึงจงใจแอบเหนี่ยวนำอารยธรรมใหม่ขึ้นมา แล้วใช้อารยธรรมหนึ่งเพื่อทำการทดลองก็เป็นเรื่องปกติมาก…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา
สายเลือด ‘ทิพย์’ ของบรรพชนงูเก้าเศียรกับ ‘ทิพย์’ ที่บรรพชนทิพย์สร้างขึ้นมาในบ้านเกิดของตนนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ‘ทิพย์’ ของพวกบรรพชนงูเก้าเศียรโหดร้ายกว่า! เห็นแก่ตัวกว่า! และแข็งแกร่งกว่าด้วย!
……
เมื่องานเลี้ยงใกล้จะยุติลง
“พี่หิมะเหิน ข้ากับท่านมาประลองกันสักยกดีหรือไม่” บรรพชนงูเก้าเศียรยืดกายขึ้น
“ประลองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
บัดนี้ภายในสวนแห่งนี้มีผู้บำเพ็ญทั้งเมืองเมฆาแดงรวมตัวกันอยู่ แม้แต่ผู้แกร่งกล้าที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังก็ยังส่งร่างแปรมาร่วมด้วย
ประลองยกหนึ่งอย่างเปิดเผยหรือ
“วางใจเถิด แม้ภายในเมืองเมฆาแดงจะมีกฎเกณฑ์ห้ามห้ำหั่นกัน แต่การประลองเพื่อวัดกันนั้นกลับมีเป็นประจำ” บรรพชนงูเก้าเศียรยิ้มน้อยๆ “ข้าอยากสัมผัสกลเม็ดทางด้านวิญญาณของพี่หิมะเหินนัก”
“ข้ายังไม่ได้ลงมือเลย เก้าเศียรกลับชิงลงมือก่อนเสียแล้ว” อูเสี่ยวที่อยู่อีกด้านหนึ่งหยิบจอกสุราขึ้นมาดื่มคำหนึ่งแล้วดื่มจนหมด รู้สึกจนใจเป็นอย่างมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางบรรพชนงูเก้าเศียรแล้วเผยรอยยิ้มออกมาพลางพยักหน้า “ก็ได้ หากบรรพชนงูเก้าเศียรอยากจะประลอง ข้าย่อมต้องร่วมด้วยอยู่แล้ว”
คนทั้งสองสาวเท้าออกไป ก็มาถึงเหนือทะเลสาบแห่งหนึ่งตรงกลางสวน
ทั้งสองคนยืนอยู่เหนือผิวทะเลสาบ ประจันหน้ากันอยู่ห่างๆ
“จะลงมือแล้วหรือ”
“จะประลองหรือ”
ภายในสวน ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายของเมืองเมฆาแดงส่งเสียงอึกทึกไปหมด หลายคนถึงขั้นเผยสีหน้ารอคอยออกมา เพาะถึงอย่างไรบรรพชนงูเก้าเศียรก็คือหนึ่งในสามผู้แกร่งกล้าซึ่งยืนอยู่ในระดับยอดสุด กระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พิสดารยากเกินทำนาย
“เจ้าลงมือก่อนเถิด” บรรพชนงูเก้าเศียรเอ่ย “ให้ข้าได้สัมผัสกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเจ้าเสียหน่อย”
“ระวังด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด จากนั้นก็สำแดงวิถีเขตลวงโลกเทียมซึ่งเป็นท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
ตู้ม!
โลกลวงอันกว้างใหญ่ร่อนลงมา แล้วเริ่มฉุดรั้งวิญญาณของบรรพชนงูเก้าเศียร ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่านี่คือ ‘วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด’ ที่ตนเคยพบมา! การฉุดรั้งวิญญาณของเขานั้นยากยิ่งนัก ที่เรียกว่าวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดนี้…หมายถึงตั้งแต่ระดับผู้แกร่งกล้าคละถิ่นลงมา นี่คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในบรรดาคู่ต่อสู้ของเขา หากนับรวมตนเองด้วยแล้ว ด้านวิญญาณของบรรพชนงูเก้าเศียรก็ยังสู้ตนไม่ได้อยู่ดี
“คงมิได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเขามากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดา
“เอ๊ะ
บรรพชนงูเก้าเศียรขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขตลวงน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง”
เขาคิดว่าตั้งแต่เป็นคนธรรมดาค่อยๆ ก้าวขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ วิญญาณของเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ยามนี้กลับยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง
“รับกระบวนท่า!” บรรพชนงูเก้าเศียรเอ่ยปาก
ฟิ้ว…
ด้านหลังของ ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’ บุรุษศีรษะโล้นรูปโฉมหล่อเหลาพลันมีเงารางสูงเสียดฟ้าปรากฏขึ้นมา นี่คือเงารางของงูใหญ่เก้าตัว งูใหญ่แต่ละตัวล้วนแผ่พละกำลังที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงออกมา พละกำลังของงูแปดตัวพลันวาดข้ามท้องฟ้ามา พละกำลังแปดชนิดนี้ มีสายน้ำ มีเปลวเพลิง มีสายฟ้า มีพลังชีวิต มีพลังทำลายล้าง…
พละกำลังแปดชนิด
ก่อให้เกิดแสงเรืองรองปกคลุมรอบทะเลสาบ รวมทั้งปกคลุมตัวตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าแรงกดดันอันหนักหน่วงปกคลุมตนเอาไว้
“ไม่เสียทีที่เป็นจ้าวหิมะเหิน ข้ามิอาจสำแดงบริเวณเก้าโลกาได้เลย” บรรพชนงูเก้าเศียรส่ายหน้าแล้วทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่ง ขณะเดียวกับที่เขาพูดนั้น โลกแห่งแสงอันเรืองรองก็พลันประสานกัน ราวกลับกรงขังที่หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ตรงศูนย์กลางของกรงขังนี้
“ไม่ดีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงอันตราย ร่างกายพลันขยายออกโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยจนสูงถึงสิบเมตร เหนือผิวกายก็มีแสงสีเทารำไรไหลเวียนอยู่ ด้ามหอกยาวเล่มหนึ่งในมือหมุนคว้าง รอบผิวกายพลันมีมิติชั้นแล้วชั้นเล่าก่อตัวขึ้นมา ซ้อนทับกันเพื่อสกัดกั้นกรงขังแสงแปดสีที่กำลังหดตัวลงอย่างบ้าคลั่ง
…………………………….