ปัง!!!
กรงขังแสงแปดสีที่หดเล็กลงอย่างรวดเร็วพลันระเบิดออก ขณะเดียวกับที่ระเบิดนั้น พละกำลังบางส่วนก็ผสานกัน เช่นน้ำและไฟผสานกัน กลายเป็นยักษ์น้ำและไฟตนหนึ่ง! และมีสายฟ้าที่ผสานเข้ากับพลังของไฟ กลายเป็นยักษ์สายฟ้าและไฟตนหนึ่ง! และมีสายฟ้าและพลังทำลายล้างรวมตัวกัน กลายเป็นยักษ์สายฟ้าทำลายล้าง…
ยักษ์ตนแล้วตนเล่าปรากฏขึ้น ทั้งหมดมีเก้าตนด้วยกัน
ยักษ์เก้าตนนี้ แต่ละตนล้วนแต่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ทั่วไป พวกมันร่วมมือกันล้อมโจมตีอย่างดียิ่ง แล้วบุกสังหารเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ร้ายกาจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคงกายหยาบระดับยอดเอาไว้ หอกยาวเล่มหนึ่งพุ่งออกไปรับอย่างสุดกำลัง แต่ก็ยังคงเป็นรองอยู่เล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรยักษ์เหล่านี้ก็มีกระบวนท่ากาต่อสู้อันพิสดาร ล้ำเลิศกว่าวิถีหอกของเขาอยู่บ้าง
“เขตลวงวิญญาณนี้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงโดยแท้ จนมิอาจทำให้พวกเขาสร้างกายรบเก้าเศียรขึ้นมาได้” บรรพชนงูเก้าเศียรส่ายหน้าเบาๆ โลกลวงอันยิ่งใหญ่นี้ส่งผลกระทบต่อสมาธิของเขาเพียงสองส่วนเท่านั้น แต่แค่สองส่วนนี้ ก็ทำให้เขามิอาจสำแดงกระบวนท่าออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เขากับอูเสี่ยวนั้นแตกต่างกัน อูเสี่ยวอาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งเข้าต่อสู้
บรรพชนงูเก้าเศียรควบคุมพละกำลังร่างกายของตนเองได้ซับซ้อนมาก จึงสิ้นเปลืองสมาธิอย่างยิ่ง
ควบคุมพละกำลังสายเลือดระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์เก้าชนิดพร้อมกัน ทั้งยังต้องประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ จะต้องใช้สมาธิมากมายเพียงใด
“เปลี่ยน” บรรพชนงูเก้าเศียรกำหนดจิตคราหนึ่ง
“แฮ่…”
ทันใดนั้น ยักษ์หนึ่งในเก้าตนก็สลายๆผ ยักษ์อีกแปดตนรวมตัวกันทันที กลายเป็นยักษ์ที่มีหัวงูแปดหัว! ยักษ์ตนนี้มีอานุภาพพลุ่งพล่านและน่าหวาดหวั่น มันบุกตรงเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกระบวนท่าที่ต่อเนื่องกันของของ ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’ ทำเอามือไม้พันกันไปหมด หอกยาวพลิกหมุนคราหนึ่งเพื่อรับมือยักษ์แปดเศียรตนนี้
“เคราะห์ดีที่สมาธิของเขาได้รับผลกระทบจนมิอาจสำแดง ‘บริเวณเก้าสี’ และ ‘กายรบเก้าเศียร’ ออกมาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เขามีข้อมูลเกี่ยวกับบรรพชนงูเก้าเศียรอยู่ก่อนแล้ว ทว่าแม้พลังของบรรพชนงูเก้าเศียรจะลดลงเป็นอย่างมาก ตนก็ยังคงต้องรับมืออย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่ดี
“ฟิ้ว”
ยักษ์หัวงูแปดหัวซึ่งโหดเหี้ยมอำมหิตตนนั้นพลันสลายไปในทันใด
บรรพชนงูเก้าเศียรที่อยู่ไกลออกไปพูดยิ้มๆ ว่า “พี่หิมะเหิน พลังชีวิตของกายหยาบร่างนี้ของท่านเสียหายมากมายอย่างยิ่ง ต้องฝึกฝนให้มากหน่อย จะได้บรรลุถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นในเร็ววัน”
“ยังบกพร่องอีกไม่น้อยเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงบ่น เพียงห้ำหั่นกันแค่ชั่วครู่สั้นๆ พลังชีวิตของตนก็ลดลงจนเหลือเพียงหกส่วนเท่านั้น
ถึงขั้นหากพูดถึงพลังรบ
แม้เมื่อกายหยาบปะทุขึ้นมาจะนับได้ว่าเป็นระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอย่างพอถูไถ แต่ระดับขั้นของตนไม่ถึง กระบวนท่าที่สำแดงออกมาจึงบกพร่องไปบ้าง เมื่อเทียบกับ ‘ผู้ตระหนักวิถีที่มีร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ อย่างแท้จริงแล้ว เกรงว่าคงจะมีพลังเพียงเจ็ดแปดส่วนของอีกฝ่ายเท่านั้น อย่างเสียฝานก็มีคุณสมบัติพอจะเรียกได้ว่าเป็นสิบอันดับแรกของเมืองเมฆาแดง เช่นนั้นเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง หากไม่นับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณแล้ว ก็ทำได้เพียงเป็นระดับฐานรากของผู้แกร่งกล้าระดับยอดหลายสิบคนเท่านั้น
แน่นอนว่าหากนับรวมกระบวนท่าทางด้านวิญญาณด้วยแล้ว พลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งปะทุออกมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ได้แล้ว
ถึงอย่างไร เมื่อเขาปะทุออกมาอย่างสุดกำลัง ผู้ที่ยังสามารถกดดันเขาได้เล็กน้อย ก็คงจะมีเพียงระดับเจ้าเมืองเท่านั้นกระมัง
“ร่างกายข้ายังอ่อนแอ คงไว้ได้ไม่นานเท่าไหร่นัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
“ร้ายกาจ”
“จ้าวหิมะเหินยังไม่ได้สำเร็จร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้วหรือ หากสำเร็จร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เกรงว่าคงจะเป็นระดับเดียวกับท่านเจ้าเมืองทั้งสามได้ทันที”
ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ พากันทอดถอนใจ พวกเขาต่างก็มองออกว่าในเมืองเมฆาแดง ผู้ที่มีพลังด้านวิถีอากาศแข็งแกร่งกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีหลายสิบคน! แต่กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขา สามารถทำให้พลังของบรรพชนงูเก้าเศียรลดลงเป็นอย่างมากได้ ลดลงจนถึงขั้นเทียบเท่ากับตงป๋อเสวี่ยอิงเลยทีเดียว
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนงูเก้าเศียรบินกลับไปยังตำแหน่งของตนเอง
“กระบวนท่าทางด้านวิญญาณนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” บรรพชนงูเก้าเศียรรำพึง
“พี่หิมะเหิน ข้าจะไม่ให้ท่านประลองกับข้าแล้ว ร่างกายของท่านร่างนี้อ่อนแอเกินไปหน่อย ท่านสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณออกมาใส่ข้าเถิด มาให้เต็มที่” อูเสี่ยวเร่งเร้า
“ให้ข้าสัมผัสด้วยคน” ใบเมฆาวายุก็เอ่ยปาก
“ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย
โลกกว้างใหญ่อันเลือนรางร่อนลงมาอีกครั้ง ฉุดดึงวิญญาณของใบเมฆาวายุและอูเสี่ยว
การฉุดดึงครั้งนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ว่าวิญญาณของ ‘ใบเมฆาวายุ’ และบรรพชนงูเก้าเศียรแตกต่างกันไม่มากนัก เพียงแค่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยในระดับหนึ่งเท่านั้น มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้นที่ไวต่อสัมผัสมาก จึงสัมผัสได้ถึงความแตกต่างเล็กน้อยของวิญญาณของพวกเขา ส่วน ‘อูเสี่ยว’ แม้ร่างกายของอูเสี่ยวจะแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น แต่วิญญาณนั้นกลับเป็นเพียงประมาณหกส่วนของใบเมฆาวายุและบรรพชนงูเก้าเศียรเท่านั้น!
ภายใต้เขตลวงโลกเทียมของตน อูเสี่ยวต้องแบ่งสมาธิมาเป็นอย่างมากจึงจะสามารถต้านทานได้ ทว่ากายหยาบของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก ลำพังแค่ควบคุมกายหยาบ ก็มิได้ใช้สมาธิมากมายอะไรนัก
“ส่งผลกระทบต่อข้าไม่น้อยเลย กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็สำแดงออกมามิได้” ใบเมฆาวายุพยักหน้า
“เกรงว่าข้ายังอ่อนแอกว่าเจ้า เก้าเศียรอยู่บ้าง” อูเสี่ยวสัมผัสดูคราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “กระบวนท่าทางด้านวิญญาณนี้ก็ทนรับได้ยากเกินไปแล้ว”
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บกระบวนท่ากลับมา
“มิน่าเล่า สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์แต่ละคนพลังลดลงเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นข้า ก็ทำได้เพียงสำแดงพลังออกมาหกเจ็ดส่วนเท่านั้น” อูเสี่ยวกล่าว “ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของท่านนั้นพุ่งเป้าไปที่ศัตรูทั้งหมด ผู้ล่าฝูโม๋หนึ่งพันสองร้อยตนเป็นเช่นนี้ ต่อให้เป็นสามพันตน หนึ่งหมื่นตนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน”
“อื้ม ขอเพียงเข้าไปในบริเวณเขตลวงของข้าก็จะเป็นเช่นนี้หมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
โลกลวงร่อนลงไป
วิญญาณของศัตรูทั้งหมดในบริเวณโลกลวงก็จะถูกฉุดรั้งทั้งสิ้น นอกเสียจากตนจะเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงมิให้ส่งผลกระทบต่อศัตรูเอง
“ร้ายกาจ” ใบเมฆาวายุเอ่ยขึ้นคำหนึ่งอย่างหาได้ยาก เขาหยิบจอกสุราขึ้นมาจิบเบาๆ พลางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
บรรพชนงูเก้าเศียรที่อยู่อีกข้างหนึ่งก็เงียบงันไป นัยน์ตามีแสงสีมากมายกะพริบวาบขึ้นมา
……
ในที่สุดงานเลี้ยงก็ยุติลง
ท่านเจ้าเมืองทั้งสามก็สนทนาปราศรัยกับตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นหลัก จนถึงขั้นประลองกันโดยไม่ได้ใส่ใจผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ เลย
เมื่อยุติลง ขณะที่ทุกคนเริ่มทยอยกันจากไป
“พี่หิมะเหิน” ใบเมฆาวายุและบรรพชนงูเก้าเศียรแทบจะเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งพลางมองดูคนทั้งสอง
ใบเมฆาวายุและบรรพชนงูเก้าเศียรสบตากันแวบหนึ่งแล้วยิ้มออกมา
“เชิญเจ้าก่อน” บรรพชนงูเก้าเศียรกล่าว “หอเจ้าพูดจบ ข้าค่อยพูดต่อ”
“ดี” ใบเมฆาวายุพยักหน้า “พี่หิมะเหิน เชิญตามข้ามา พวกเรามาสนทนาส่วนตัวกันหน่อย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองท่านเจ้าเมืองทั้งสอง “ที่แท้แล้วทั้งสองท่านมีเรื่องอันใดหรือ”
“ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่ อีกประเดี๋ยวพวกเราค่อนสนทนากันโดยละเอียด” บรรพชนงูเก้าเศียรกลับนี่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
แล้วเขาก็ยืดกายจากมาพร้อมใบเมฆาวายุ ก่อนจะเข้าไปในโถงตำหนักแห่งหนึ่งของคูหา
ทั้งสองต่างก็นั่งลง
ใบเมฆาวายุเงียบงันลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากจะสังหารนักโทษคละถิ่นใน ‘หุบเขามารวายุ’ ตนนั้นมาตลอด เพียงแต่นักโทษคละถิ่นตนนั้นระวังตัวมาก หลังจากถูกข้าลอบโจมตีไปครั้งหนึ่ง บัดนี้หากออกห่างจากถิ่นเมื่อไหร่ ก็จะนำองครักษ์ไปด้วยถงสามพันนาย ซึ่งแต่ละตนล้วนแต่เป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ทั้งสิ้น แม้ข้าจะสามารถเชิญพวกยอดฝีมือในเมืองเมฆาแดงให้มาช่วยเหลือได้ แต่องครักษ์ถึงสามพันนาย…ทำให้ข้าไม่มีวิธีเลยสักนิด! ตอนนี้มีท่าน จ้าวหิมะเหินอยู่ด้วย ทำให้ข้าเห็นโอกาสสำเร็จในครั้งนี้ขึ้นมาอีก พี่หิมะเหิน ข้าขอให้ท่านช่วยร่วมกับกองกำลังของข้ามุ่งหน้าไปสังหารนักโทษคละถิ่นแห่งหุบเขามารวายุตนนั้น อยากเสนอเงื่อนไขอันใด แค่ท่านพูดออกมาก็พอแล้ว!”
……………………………