ตอนที่ 1966 พวกเขาไม่กล้าจะมอง

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

“หึๆ เจ้าที่บรรลุขึ้นรัศมีจักรพรรดิมาด้วยอายุเท่านี้ ข้าเกรงว่า… เจ้าคงไปเหยียบขี้หมาเข้าตอนออกจากบ้านล่ะมั้ง?”

พูดไปตัวซงหยูเองก็หัวเราะลั่นออกมา

เมื่อผู้คนทั้งหลายได้ยินพวกเขาเองก็หัวเราะออกมาตามๆ กัน

เพราะคนอย่างหลิวยี่นี้พวกเขาทั้งหลายย่อมจะดูถูกอย่างสุดหัวใจ

หนึ่งเลยคือรูปร่างท่าทางแสนอ่อนแอนั้น อย่างที่สองคืออายุที่มากโขของเขา

ด้วยอายุเท่านี้แล้วต่อให้จะมีรัศมีจักรพรรดิขึ้นมามันก็คงไม่อาจบรรลุขึ้นถึงอาณาจักรเทพสวรรค์ได้อีก

ตัวหลิวยี่เองก็หัวเราะตามขึ้นมา “ท่านซงรู้ได้อย่างไรกัน? หึๆ สามพันปีก่อนเฒ่าคนนี้ได้ไปเหยียบขี้หมาเข้าจริงๆ สุดท้ายข้าจึงได้สมบัติมาจากมิติวิเศษหนึ่งและได้บรรลุขึ้นรัศมีจักรพรรดิมา”

เมื่อเจ้าตัวพูดเช่นนั้นออกมาคนอื่นๆ ทั้งหลายก็ยิ่งหัวเราะกันยกใหญ่

ซงหยูนั้นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งจนแทบไม่อาจหุบปากลงได้ “หึๆ เจ้ามันเป็นคนเจียมตัว หลังเข้าไปแล้วจงตามข้ามาเถิด ข้าจะดูแลเจ้าเอง”

หลิวยี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มรับ “เช่นนั้นข้าคงต้องขอบคุณท่านซงแล้ว”

พูดจบหลิวยี่ก็นั่งลงแต่สายตาของเขานั้นเหลือบมามองดูเย่หยวน

เพราะตอนที่ทุกผู้คนหัวเราะเยาะใส่เขานั้นเย่หยวนกลับไม่ได้คิดแม้แต่จะยิ้มออกมา

ตอนนี้มันเป็นตาของเย่หยวนแล้ว แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่คิดที่จะเปิดปากพูดใดๆ

ซงหยูมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือก “นี่ เจ้าเด็กเหลือขอ มันถึงตาเจ้าแล้ว”

ตั้งแต่ที่เย่หยวนบรรลุขึ้นกายทองคำระดับหกมาใบหน้าร่างกายของเขามันก็ดูหนุ่มลงมากราวกับว่าได้ย้อนอายุกลับมา

ในสายตาของผู้คนแล้วเขาจึงไม่ได้ดูต่างจากเด็กน้อยเหลือขอผู้หนึ่ง

“ฮ่าๆ!”

นั่นทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

เย่หยวนหันไปมองซงหยูและกล่าวตอบกลับไป “ข้านามเย่หยวน มาจากเมืองจักรพรรรดิอินทรีสวรรค์”

“เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์? มันที่ใดกันข้าไม่เห็นเคยได้ยิน ฮ่าๆ ไม่นึกเลยว่าเมืองจักรพรรดิก็จะสามารถมีผู้มีรัศมีจักรพรรดิเกิดขึ้นมาได้ด้วย ก่อนหน้านี้หลิวยี่เองก็บอกว่าตนนั้นได้เหยียบขี้หมาได้รับโชคมา เจ้าเองก็คงไม่ได้ไปกินขี้ที่ไหนมาใช่หรือไม่จึงได้โชคมหาศาลเช่นนี้?”

เย่หยวนนั้นยังไม่ทันพูดจบคำก็ถูกซงหยูแทรกขึ้นมาดูถูก

ซงหยูนั้นเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้คนทั้งหลายเมื่อได้ยินว่าเขาเป็นใครมาจากไหนมีรัศมีอะไรคนทั้งหลายนั้นต่างตกตะลึงและคิดเอาใจตัวเขา แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมาเป็นการไม่ให้เกียรติตัวเขาอย่างมาก

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดจะไว้หน้าเย่หยวน

ที่สำคัญเย่หยวนนั้นยังมาจากเมืองจักรพรรดิน้อยๆ แห่งหนึ่ง

เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้ตัวเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

“หึ เจ้าเด็กเหลือขอ! ไปกินขี้หมามาเช่นนั้นดวงชะตาของเจ้าคงยิ่งใหญ่มากใช่หรือไม่? เจ้ามีรัศมีใด? ดวงชะตาที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นวันหน้าคงได้เป็นเต๋าบรรพกาลแล้วกระมัง?” ซงหยูหัวเราะลั่นขึ้นมา

“ฮ่าๆ!”

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “รัศมีใดนั้นแท้จริงแล้วข้าเองก็ไม่ทราบ”

เมื่อทุกผู้คนได้ยินพวกเขาต่างผงะไปตามๆ กันเพราะผู้คนที่เข้ามาอยู่ในตึกวาโยบริสุทธิ์นี้ได้ต่างล้วนแล้วแต่ต้องมีรัศมีจักรพรรดิขึ้นไปสิ้น

เพราะมันมีเพียงแค่ผู้มีรัศมีจักรพรรดิเท่านั้นที่จะเข้าสนามรบเทพโบราณไปได้

แต่เย่หยวนกลับบอกว่าตัวเขาไม่รู้?

มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

“ไม่รู้? เจ้าเด็กคนนี้คิดล้อพวกเราเล่นหรือ? การที่เข้าตึกวาโยบริสุทธิ์มาได้พวกเราย่อมต้องมีรัศมีจักรพรรดิขึ้นไปกันทั้งสิ้นและยังต้องให้ผู้อาวุโสแห่งวังดาราตรวจดู เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่รู้ก็เข้ามาได้แล้ว? หรือว่าแท้จริงแล้วดวงชะตารัศมีของเจ้ามันอ่อนแอเกินไปจนไม่อาจจะกล่าวออกมาต่อหน้าผู้คน?” ซงหยูพูดออกมาด้วยท่าทางถากถาง

เพราะการไม่พูดมันก็เท่ากลับว่าไม่กล้าจะบอก

ดูท่าแล้วเย่หยวนนั้นคงมีรัศมีไม่ต่างจากหลิวยี่ เป็นแค่รัศมีจักรพรรดิขั้นต้น

แต่มันก็ไม่แปลก คนมาจากเมืองจักรพรรดินั้นแค่มีรัศมีจักรพรรดิขั้นต้นได้มันก็นับว่าเหนือล้ำแล้ว

“มิใช่ พวกเขาทั้งหลายนั้นต่างบอกว่าข้ามีรัศมีผ่าจักรพรรดิ แต่สุดท้ายมันก็แค่การคาดเดา เพราะว่า… พวกเขาไม่กล้าจะมอง” เย่หยวนตอบกลับไป

“รัศมีผ่าจักรพรรดิ? ไม่กล้าจะมอง? ฮ่าๆ เจ้าหมอนี่มันพูดจาไร้สาระได้เก่งเสียจริง! เหล่าผู้อาวุโสแห่งวังดารานั้นต่างล้วนเป็นยอดคนเหตุใดเขาจะไม่กล้ามอง? เด็กน้อย เจ้าเคยคิดอะไรบ้างหรือไม่เวลาจะพูดโม้ใดๆ ออกมา?” ซงหยูบอก

“เขาไม่ได้โกหกใดๆ เหล่าคนตระกูลเจียนที่เคยใช้ศาสตร์การดูรัศมีกับตัวเขานั้นล้วนแล้วแต่ต้องตาบอดลงสิ้น”

ในเวลานั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

จากนั้นก็เป็นภาพของเหล่าผู้อาวุโสทั้งแปดที่ค่อยๆ เดินเข้ามา

“ผู้อาวุโสหงเซียว!” ซงหยูที่ได้ยินเช่นนั้นต้องสะดุ้งตัวขึ้นทันที

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีคนตระกูลเจียนใช้การดูรัศมีออกมาและทำให้กลายเป็นคนตาบอดไปได้

แต่เพราะคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาจากปากของเจียนหงเซียว มันย่อมจะไม่ผิดแน่แล้ว

นั่นทำให้กั๋วจิงหยางผู้มีรัศมีจักรพรรดิขั้นปลายผู้นั้นเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตื่นตะลึง “ตาบอด? หรือ…ว่าเขาจะเป็นเย่หยวน อาจารย์เย่?”

ซงหยูที่ได้ยินเช่นนั้นต้องหันกลับมามอง “อ…อาจารย์เย่?”

เขานั้นย่อมเคยจะได้ยินนามของอาจารย์เย่มาก่อนเพราะคนตระกูลเจียนทั้งหลายนั้นกล่าวชื่นชมเขาราวกับเป็นเทพเจ้า

กั๋วจิงหยางพยักหน้ารับออกมา “พี่ซงนั้นมาถึงช้าอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่เมื่อราวสิบปีก่อนอาจารย์เย่และท่านหงเซียวได้เดินทางกลับมายังยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ ตอนนั้นลูกชายของผู้พิทักษ์เจียนห่าว เจียนหยุนได้ใช้ศาสตร์การดูรัศมีออกมากับตัวอาจารย์เย่และต้องตาบอดลงไปในทันที จากนั้นเขายังได้อาจารย์เย่ผู้นี้เป็นคนช่วยรักษาอีกด้วย”

เมื่อเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายได้ยินได้ฟังเรื่องราวสีหน้าของพวกเขาก็แสดงความแตกตื่นออกมาอย่างถึงที่สุด

พวกเขานั้นย่อมจะเคยได้ยินนามของอาจารย์เย่และคิดว่าเขาคงเป็นเฒ่ามากประสบการณ์ผู้หนึ่ง ใครจะไปคิดไปฝันว่าอาจารย์เย่ผู้นั้นกลับจะเป็นเด็กหนุ่มเช่นนี้?

ไม่มีใครคิดว่า ‘เด็กเหลือขอ’ คนนี้มันจะเป็นอาจารย์เย่ผู้มีชื่อเสียงก้องยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ

นั่นทำให้ใบหน้าของซงหยูต้องสั่นสะท้าน

เขานั้นเอาแต่พูดเรียกอีกฝ่ายว่าเป็นเด็กน้อยเช่นนั้น เด็กเหลือขอเช่นนี้แต่ตัวเย่หยวนกลับกลายเป็นยอดคนเสียอย่างนั้น?

ใบหน้านี้มันจะหลอกลวงผู้คนจนเกินไปแล้ว!

แต่เขาบอกว่า…เช่นไรนะ?

รัศมีผ่าจักรพรรดิ?

ซงหยูนั้นไม่อาจพูดใดๆ ออกมาได้อีก หรือว่าเย่หยวนคนนี้จะมีรัศมีผ่าจักรพรรดิจริง?

แต่การทำให้ผู้ที่มองดูตาบอดลง มันต้องเป็นชะตาที่เลิศล้ำเพียงใด!

แต่เหตุใดเย่หยวนจึงบอกว่าตัวเขาก็ไม่แน่ใจ?

หากตระกูลเจียนนั้นสงสัยว่าเขามีรัศมีผ่าจักรพรรดิ เหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงไม่ใช้ศาสตร์การดูรัศมีกับตัวเขาเล่า?

ด้วยพลังฝีมือของท่านเจ้าเมืองแล้วมันคงสามารถทำนายชะตาของเย่หยวนได้มิใช่หรือ?

ทุกผู้คนต่างรู้ดีว่าความเข้าใจของท่านเจ้าเมืองต่อชะตาฟ้านั้นมันเหนือล้ำกว่าผู้คนมากมายเพียงใด

แต่มีหรือที่ซงหยูจะรู้ได้ว่าเจียนซู่เทานั้นคิดอยากดูดวงชะตาเย่หยวน แต่ไม่กล้าที่จะมอง!

นั่นทำให้สายตาทุกคู่ต่างหันมาจับจ้องที่ซงหยูจทำให้ใบหน้าของเขานั้นแดงสดเพราะความอับอาย

ระหว่างที่ซงหยูกำลังว้าวุ่นอยู่ในใจนั้นเหล่าผู้อาวุโสทั้งแปดก็ได้เดินไปนั่งประจำตำแหน่งของตนก่อนจะเผยให้เห็นเงาร่างอีกเงาหนึ่ง

“ขอคาระท่านเจ้าเมือง!” เมื่อเห็นชายแก่ผู้นี้คนทั้งหลายก็รีบก้มหัวลงคารวะทันที

ต่อให้จะเป็นผู้อวดดีอย่างซงหยู เขาเองก็ไม่กล้าจะเชิดหน้าใส่เจียนซู่เทาเช่นกัน

เจียนซู่เทาบอกขึ้น “พวกเจ้าทั้งหลายนั้นล้วนเป็นเด็กแห่งโชคชะตาที่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศข้าเลือกขึ้นมา อนาคตของพวกเจ้านั้นไร้จำกัด หากเจ้าสามารถได้รับสมบัติเจอโชคลาภภายในสนามรบเทพโบราณวันหน้าพวกเจ้าก็คงก้าวขึ้นเหนือล้ำเทพสวรรค์ผู้นี้ได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้นข้าจึงหวังว่าพวกเจ้าจะโชคดี! เอาล่ะ เวลาได้มาถึงแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายจงเตรียมตัวออกเดินทางได้”

ตอนนี้บนร่างของเจียนซู่เทาปรากฏเงาหมอกสีดำมืดขึ้น

มันเข้าปกคลุมภายในห้องโถงอย่างรวดเร็ว

จากนั้นมันก็ค่อยๆ เกิดประกายแสงขึ้นรอบห้องก่อนจะเผยให้เห็นประตูนำพาไปสู่ที่ไหนสักแห่ง

ซงหยูนั้นไม่คิดรอช้าและพุ่งตัวเข้าไปภายในทันที ทำให้คนอื่นๆ เองก็รีบตามไปติดๆ

เย่หยวนนั้นย่อมจะเป็นผู้ที่ใจเย็นที่สุดและเดินไปช้าที่สุด ในวินาทีที่เขากำลังก้าวผ่านประตูนั้นไปเสียงของเจียนซู่เทาก็ดังขึ้นตามหลังมา “เย่หยวน อย่าได้ลืมสัญญาที่เจ้ามีแก่เทพสวรรค์ผู้นี้”

เย่หยวนหันกลับมามองหน้าชายแก่ “วางใจเถอะ คำใดที่เย่หยวนผู้นี้ให้ไว้ เย่หยวนผู้นี้ย่อมจะรักษามัน”

พูดจบเย่หยวนก็เดินเข้าไปภายในทันที

………………………..