ตอนที่ 1967 สู่สนามรบเทพโบราณ

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

“เอะ?”

จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ที่กำลังคงพลังเปิดวิชานั้นต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างผิดปกติ

ดวงตาของเขานี้มันเหมือนมองผ่านทะลุมิติจนไปเห็นเย่หยวนที่กำลังเดินทางอยู่ได้

“เจ้าหนุ่มคนนี้ น่าสนใจ! น่าสนใจยิ่ง!”

เขานั้นพูดว่าน่าสนใจออกมาติดๆ กันถึงสองครั้งสำหรับจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้แล้วมันย่อมเป็นเรื่องที่เขาคิดสนใจมันจริงๆ

แต่ที่ด้านข้างชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกลับถามขึ้นอย่างตื่นตกใจ “ท่านพ่อ ท่านสนใจสิ่งใดอยู่กันรึ?”

จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม “การเปิดสนามรบเทพโบราณในครั้งนี้มันมีเจ้าหนุ่มน่าสนใจเดินทางเข้ามาด้วย”

“โอ้? เจ้าหนุ่มคนนี้มันน่าสนใจเพียงใดกัน ถึงทำให้ท่านพ่อต้องหันมาสนใจได้?”

เขานั้นย่อมรู้ว่าสนามรบเทพโบราณนี้เปิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มันมิเคยมีครั้งใดที่พ่อของเขาจะแสดงสีหน้าสนใจอะไรอย่างยิ่งเช่นนี้ออกมาเลย

เขานั้นเข้าใจดีว่าตั้งแต่ที่พ่อของเขาก้าวขึ้นมาถึงอาณาจักรปัจจุบันนี้สภาพของจิตใจนั้นมันย่อมจะนิ่งสงบไม่หวั่นไหวใดๆ มีเพียงแค่ไม่กี่อย่างบนโลกเท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาได้

แต่วันนี้พ่อของเขากลับแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาอย่างมาก มันทำให้ตัวเขาเองก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน

จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ยิ้มตอบกลับมา “มันมีเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศ และพ่อนั้นไม่อาจอ่านชะตาของเจ้าหนุ่มคนนี้ได้เลย”

นั้นทำให้ดวงตาของชายวัยกลางคนต้องเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง “ท่านพ่อนั้นเข้าใจดวงชะตารู้ถึงสวรรค์ราวกับสวนหลังบ้าน แต่บนโลกนี้มันกลับยังมีคนที่ท่านพ่อไม่อาจจะอ่านดวงชะตาได้อีกหรือ?”

เฉียนจี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหัวออกมาพร้อมหัวเราะแห้งๆ “เข้าใจดวงชะตารู้ถึงสวรรค์? นั่นมันก็แค่สิ่งที่เจ้าคิดเอาเอง พ่อนั้นก็แค่อยู่มานานกว่าและเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้มากกว่าก็เท่านั้น”

เฉียนจี้ได้แต่ยืนมือไขว้หลังเมื่อได้ยินเช่นนั้น เบื้องหน้าที่เขากำลังจ้องมองอยู่นั้นคือเส้นขอบฟ้าอันห่างไกล “ทุกผู้คนต่างบอกว่าข้านั้นเป็นผู้ล่วงรู้เก่งกาจไร้ต้าน แต่พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่าเมื่อคนตระกูลเจียนเราเริ่มทำการทำนายออกมา เต๋าสวรรค์นั้นได้แต่หัวเราะเยาะใส่! ยิ่งเป็นผู้ยืนอยู่สูงก็จะยิ่งเข้าใจว่าพื้นที่เหยียบย้ำอยู่นี้มันเบาบางเพียงใด และจะยิ่งได้รู้ว่าเต๋าสวรรค์นั้นมันลึกลับมากเพียงใด”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้แต่ทำหน้างงกับคำพูดของพ่อนี้ เพราะคำพูดที่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้กล่าวออกมา เขานั้นไม่อาจเข้าใจได้เลย

ในสายตาของเขาแล้วพ่อของเขานี้ย่อมควบคุมทุกสิ่งอย่างได้

ในโลกใบนี้มันไม่มีสิ่งใดที่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ผู้นี้ไม่อาจคาดเดาได้

ต่อให้เป็นเหล่าเต๋าบรรพกาลทั้งหลายก็ยังต้องทำตัวสุภาพกับพ่อของเขานี้

พ่อของเขานั้นคือผู้ยิ่งใหญ่ในมหาพิภพถงเทียนอย่างแท้จริง เป็นตัวตนที่อยู่เหนือล้ำกฎเกณฑ์ใดๆ

สิ่งที่เขาได้ยินนี้เขาไม่อาจจะเข้าใจมันได้แม้แต่น้อย

ทำไมเต๋าสวรรค์ถึงหัวเราะเยาะ?

“ที่ท่านพ่อกล่าวมา…หยุนซินไม่อาจเข้าใจได้เลย”

“หึๆ บางทีสักวันเจ้าคงจะเข้าใจได้ ตอนนี้ไปถามสืบเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้มาเสียก่อน” เฉียนจี้สั่งออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ

“ขอรับท่านพ่อ” เจียนหยุนซินรับคำสั่งและจากไป

ภายในเส้นทางเดินนี้เย่หยวนรู้สึกหวิวขึ้นมาจับใจ

“ผู้อาวุโส ข้ารู้สึกราวกับว่ามีใครกำลังจ้องมองข้าอยู่” เย่หยวนบอกแก่หวู่เฉิน

หวู่เฉินจึงตอบกลับมาด้วยเสียงตื่นตกใจไม่น้อย “จ้องมองเจ้า? แต่ข้ากลับไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติใด!”

เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไป จะบอกว่าแม้แต่หวู่เฉินก็ยังไม่อาจรับรู้ถึงมันได้หรือ?

“เช่นนั้นข้าอาจจะคิดไปเอง” เย่หยวนตอบ

หวู่เฉินได้แค่ขมวดคิ้วแน่นระหว่างที่คิดไป “อาจจะไม่! เจ้าลองบอกมาหน่อยว่ารู้สึกอย่างไร?”

เย่หยวนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ “มันราวกับว่า… เต๋าสวรรค์กำลังจ้องมองลงมา มันเป็นความรู้สึกที่เลื่อนลอย”

หวู่เฉินจึงตอบกลับไป “เส้นทางไปสนามรบเทพโบราณนี้มันถูกเปิดขึ้นโดยฝีมือของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ การส่งพวกเจ้าทั้งหลายไปยังสนามรบเทพโบราณนี้เองก็เป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้น หรือว่า… เขาผู้นั้นจะกำลังจ้องมองดูเจ้า?”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น

เพราะการถูกยอดคนเช่นนั้นจ้องมองเอามันมิใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างแน่นอน

แม้ว่าเขานั้นจะคิดอยากพบเจอกับจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ในสักวัน แต่เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นตัวตนที่เหนือล้ำเพียงใด มันมิใช่สิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้ควรจะไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย

การถูกจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้จ้องมองเช่นนี้มันย่อมมิใช่เรื่องดีสำหรับตัวเย่หยวน

“ช่างเถิด หากไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็แล้วไป แต่หากมันเป็นหายนะเลวร้ายขึ้นมา มันก็คงไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้ว”

ระหว่างที่เย่หยวนกำลังคิดเรื่องราวนี้อยู่เขาก็รู้สึกได้ว่าเส้นทางที่ด้านหน้ามันมืดมัวลงก่อนจะเป็นคลื่นพลังมิติที่กระแทกเข้ากับร่างเขาอย่างแรง

ตอนนี้ที่เบื้องหน้าของเขามันเป็นพื้นที่สีเหลืองทรายทอดตัวยาวไปสุดลูกหูลูกตา

แต่จู่ๆ เมฆลมเบื้องหน้ามันก็เปลี่ยนแปลงไป

ที่ด้านบนเส้นขอบฟ้าตอนนี้กำลังมีสองยอดฝีมือเข้าปะทะกันอยู่ด้วยปราณเทวะอันมหาศาล มันเป็นพลังที่รุนแรงจนทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน

จู่ๆ พลังโจมตีของคนทั้งสองนั้นมันก็มุ่งหันมาใส่พวกเย่หยวนทั้งหลาย

นั่นทำให้ใบหน้าของซงหยูเปลี่ยนสีไปทันทีก่อนจะร้องออกมาอย่างตื่นกลัว “พระเจ้าช่วย หนีเร็ว!”

พูดไปตัวเขาก็หันหน้าหนีทันที!

ในเวลานั้นเหล่านักยุทธหนุ่มสาวทั้งหลายที่รวมตัวกันอยู่นั้นมีจำนวนกว่าหลายร้อยคน

เมื่อทุกผู้คนได้เห็นถึงพลังนี้ที่พุ่งเข้ามาใส่พวกเขาทั้งหลายก็กลัวจนใบหน้าซีดเผือดรีบวิ่งหนีไปอย่างซงหยู

มีหรือที่พวกเขาจะยังกล้ายืนนิ่ง?

คลื่นพลังนั้นมันพุ่งทะยานเข้ามาถึงในพริบตาแต่มันกลับไม่มีแรงระเบิดหรือแรงปะทะใดๆ อย่างที่ทุกผู้คนคิด

มันกลับหายวับไปดื้อๆ เช่นนั้น

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งพวกเขาก็ไม่เห็นร่างของยอดฝีมือทั้งสองนั้นอีกแล้ว ไม่มีแม้แต่ร่องรอย

“อะไรกัน? ที่แท้มันเป็นภาพลวง!”

“ให้ตายสิ เล่นเอาข้ากลัวแทบตาย! มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย?”

“อย่าบอกนะว่าทั้งสองยอดฝีมือนั้นล้วนเป็นแค่ภาพลวงตา?”

เหล่านักยุทธทั้งหลายต่างร่ำร้องออกมาอย่างโกรธแค้น รู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกหลอกล้อเล่นใส่

ในเวลานั้นเองที่หลิวยี่ก็ได้เดินเข้ามาหาเย่หยวนด้วยท่าทางชื่นชม “น้องชายท่านช่างมิใช่คนธรรมดาเสียจริง แม้จะพบเจอกับคลื่นพลังอันรุนแรงมหาศาลเช่นนั้นแต่เจ้ากลับไม่คิดแม้แต่จะกะพริบตา”

เรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้าในครั้งนี้มันมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถยืนนิ่งอย่างมีสติไม่วิ่งเตลิดหนีไปได้

เย่หยวนคือหนึ่งในนั้น

เย่หยวนหันไปมองหลิวยี่ด้วยรอยยิ้มบางๆ “คิดเล่นเป็นหมูเพื่อกินเสือ ดูท่าพี่หลิวเองก็ฝึกฝนเรื่องนั้นมาไม่น้อยเหมือนกัน!”

หลิวยี่สะดุ้งขึ้นมาในใจแต่ก็ยังคงทำหน้าตาน่าสมเพชตอบกลับมา “น้องชายท่านพูดอะไร? หลิวผู้นี้ไม่เข้าใจ!”

เย่หยวนยิ้มตอบไป “เจ้าและข้านั้นต่างรู้กันดี แค่นั้นก็เพียงพอ”

หลิวยี่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่ต้องถอยไปด้านหลังอย่างละอาย

แต่ฝั่งเย่หยวนนั้นเขากลับรู้สึกระมัดระวังขึ้นแทน

เพราะแม้ซงหยูนั้นจะเก่งกาจเพียงใดมันก็ยังไม่ถึงขั้นที่เย่หยวนจะเอามาใส่ใจ

เขานั้นคงเป็นเพียงแค่คุณหนูที่เพิ่งออกมาท่องโลกกว้าง ในสถานที่อย่างสนามรบเทพโบราณนี้เขาคงได้แต่ตกเป็นเหยื่อคำลวงของผู้คนอย่างแน่นอน

แต่เย่หยวนนั้นระแวงในตัวหลิวยี่มาตั้งแต่ต้น

เขานั้นรู้สึกได้ว่าหลิวยี่ผู้นี้ต้องไม่ธรรมดา

นักยุทธจรที่สามารถก้าวขึ้นมาได้ถึงขั้นนี้พร้อมมีรัศมีจักรพรรดิมันย่อมมิใช่สิ่งที่จะได้มาด้วย ‘โชคชะตา’

เพราะแท้จริงแล้วตั้งแต่เข้าสนามรบเทพโบราณมาเย่หยวนก็จับตามองดูหลิวยี่อยู่ตลอด

แน่นอนว่าระหว่างที่ทุกผู้คนกำลังวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัวนั้นตัวหลิวนี่เองก็ได้ทำท่าทางวิ่งหนีไปตามกระแสผู้คนด้วย

ความกลัวบนใบหน้าของเขานั้นมันสุดแสนจะปลอม แต่ในเวลานั้นมันย่อมจะไม่มีใครมาสังเกตว่าตัวเขาทำหน้าเช่นใดอยู่

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะทำใบหน้าเช่นนั้นออกมา มันย่อมแสดงให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์ของเขาได้ดี

เย่หยวนนั้นเชื่อในโชคชะตา แต่ไม่เชื่อว่าโชคชะตาคือทุกสิ่ง

ความพยายามของผู้คนนั้นมันเป็นตัวการสำคัญในการขัดบัญชาสวรรค์ เรื่องราวนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในนิทานเท่านั้น

การที่หลิวยี่จะก้าวเดินมาได้ถึงจุดนี้มันย่อมมิใช่แค่โชคชะตาที่นำพาเขาขึ้นมา

ในเวลานั้นเองที่เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นตามมา “นั่นมิใช่ภาพลวง!”

“ใคร? ใครกันที่พูดอยู่?”

ทุกผู้คนที่ได้ยินต่างหน้าถอดสีเพราะพวกเขานั้นไม่อาจหาตัวผู้พูดได้

เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ามิต้องหาตัวข้าหรอก จักรพรรดิผู้นี้กำลังเก็บตัวอยู่ภายในส่วนลึกของสนามรบเทพโบราณ พวกเจ้าหาอย่างไรก็คงไม่พบเจอ จักรพรรดิผู้นี้เป็นผู้ดูแลสนามรบเทพโบราณแห่งนี้ พวกเจ้าทั้งหลายที่เข้าสนามรบเทพโบราณมา จักรพรรดิผู้นี้มีเรื่องที่จะเตือนพวกเจ้าไว้”

“จักรพรรดิ! นี่มัน… ยอดฝีมือจักรพรรดิเทพสวรรค์!”

เมื่อทุกผู้คนได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งกาย

…………………………