ตอนที่ 820 กลับ
ครู่ต่อมาชื่อคนที่ยังคงส่องสว่างทั้งหมดบนป้ายศิลาก็พลันส่องแสงเจิดจ้า แต้มโชคชะตาไม่เพิ่มอีกต่อไป

ไม่นานนักคนที่เข้าร่วมการฝึกฝนไม่น้อยก็พากันปรากฏร่างขึ้นในก้อนแสงขนาดยักษ์ แล้วร่อนลงมาช้าๆ

ไม่นานบนพื้นที่ว่างตรงกลางยอดเขาหิมะที่เดิมทีว่างโล่งก็ปรากฏคนสองสามร้อยคน นอกจากนี้จำนวนคนยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์แต่ละนิกายที่เข้าไปในประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้

คนเหล่านี้ส่วนใหญ่สีหน้ามึนงง คล้ายไม่เข้าใจที่ตนเองถูกเคลื่อนย้ายออกมากะทันหัน

สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนร่างคนเหล่านี้แล้วอดไม่ได้เลิกคิ้วสองข้างเล็กน้อย

โซ่โชคชะตาบนข้อมือของคนเหล่านี้หายไปไร้ร่องรอยไม่มีเว้นสักคน

แต่พวกตนสิบเอ็ดคนด้านนี้ โซ่แห่งโชคชะตาบนข้อมือกลับยังคงอยู่ดีบนข้อมือ

ครู่ต่อมาหลังลูกบอลแสงยักษ์ที่มีสีดำขาวขนาบกันหมุนวนกลางอากาศพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็แยกออกเป็นครึ่งสีขาวกับครึ่งสีดำ

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง ลำแสงหนาประหนึ่งถังน้ำสองสายสีดำขาวก็พุ่งเร็วรี่ไปยังแผ่นกลมในมือทูตวังสวรรค์สองคน

แสงเรืองรองแวววาวสว่างขึ้นบนแผ่นกลมพักหนึ่ง ลำแสงสองสายก็กะพริบจมหายไปด้านใน หายไปไร้ร่องรอย

ในเวลาเดียวกัน บนยอดเขาลูกหนึ่งไม่ไกลจากทางเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์ เทียนเกอเจินเหรินกับบุรุษชุดเทาที่นั่งขัดสมาธิสงบนิ่งอยู่ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น พวกเขาเผยสีหน้าฉงนมองไปยังยอดเขาหิมะที่อยู่ไม่ไกล

“ท่านประมุข การฝึกฝนในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้คล้ายจะจบลงกะทันหัน ดูท่าคงเป็นดังที่ท่านคาดไว้ก่อนหน้านี้ ในแดนลึกลับจะต้องเกิดความผิดปกติอันใดอย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษชุดเทาเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“ไม่รู้ว่าเทียนเฉิงกับหลิ่วหมิงเด็กคนนี้ที่แท้ประสบเรื่องราวดันใด หากทั้งสองคนนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่าการจัดอันดับครั้งนี้ของนิกายเราคงย่ำแย่กว่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ไม่ใช่เล็กน้อยแล้ว” เทียนเกอเจินเหรินถอนหายใจแผ่วเบาคำหนึ่ง

“ท่านประมุขไม่ต้องกังวลไป ในเมื่อชื่อของศิษย์เหล่านั้นไม่ได้หม่นแสงลงไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งผู้เฒ่าเทียนเหอผู้นั้นยังเข้าไปในประตูสวรรค์ด้วยตนเอง แม้มีเรื่องไม่คาดฝันอันใดก็น่าจะรับประกันได้ว่าไม่ต้องกังวลใจ” บุรุษชุดเทาเอ่ยอย่างปลอบประโลม

“ลองไปดูก่อนค่อยว่ากันเถอะ” หลังเทียนเกอเจินเหรินเอ่ยนิ่งๆ ประโยคหนึ่งก็แปลงเป็นลำแสงเรืองรองสองสายไปยังยอดเขาหิมะพร้อมกับบุรุษชุดเทา

เวลาเดียวกันนี้ในสิ่งก่อสร้างที่พำนักของตระกูลมู่หรงที่ตีนเขาหิมะ ผู้เฒ่าชุดดำผู้นั้นก็แหงนศีรษะมองภาพสถานการณ์บนยอดเขาหิมะที่ปรากฏในลูกบอลผลึกซึ่งมีปราณดำวนเวียนอยู่ลูกหนึ่งเบื้องหน้า สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในนั้นย่อมเป็นป้ายศิลายักษ์นั่น

“แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดงานประตูสวรรค์ครั้งนี้จึงจบลงกะทันหัน ทว่าจากที่ดูตอนนี้ ตระกูลมู่หรงของพวกเราน่าจะเข้าไปหนึ่งในสามอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”

ผู้เฒ่าชุดดำสะบัดพัดขนนกในมือ หลังเผยรอยยิ้มเย็นชาจางๆ ออกมาอีกหนก็หมุนร่างออกจากห้องลับกลายเป็นแสงสีดำหอบหนึ่งลอยไปทางยอดเขาหิมะ

ในที่พักของสำนักเฮ่าหราน บัณฑิตวัยกลางคนชุดขาวสองคน เวลานี้สีหน้าเคร่งขรึมสนทนาอันใดเสียงเบาอยู่

“ศิษย์พี่ งานประตูสวรรค์ครั้งนี้จบลงเช่นนี้ได้อย่างไร ลำดับตอนนี้ไม่ดีกับสำนักเฮ่าหรานของพวกเราอย่างที่สุด ครั้งนี้แม้บอกว่าเตรียมตัวไม่เต็มที่ แต่มีหานโยวสตรีผู้นี้ออกโรงก็ไม่น่าถึงกับตกลงมาถึงขั้นนี้กระมัง?” บัณฑิตวัยกลางผู้มีใบหน้าเมตตาคนหนึ่งในนั้นคิ้วขมวดเล็กน้อยเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“สตรีผู้นี้ก่อนหน้านี้ยังอยู่อันดับแปด แต่ไม่ทราบเกิดเรื่องใดขึ้น ชื่อหม่นแสงไปไม่สว่างขึ้นมา ได้ยินว่านางถูกผู้เฒ่าเทียนเหอช่วยออกมาจากแดนลึกลับด้วยตนเอง นอกจากนี้ศิษย์สิบคนของสำนักเราที่เข้าร่วมแข่งขันมีห้าคนตกตายไป เรื่องนี้ในงานครั้งก่อนๆ ก็ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก” ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพที่อายุมากอยู่บ้างอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ในเมื่องานจบสิ้นลงแล้ว พวกเราก็ไปดูสภาพด้านนั้นก่อนค่อยว่ากันเถอะ”

ทั้งสองคนออกจากที่พำนักในทันที ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพยกแขนเสื้อขึ้นเรียกกระเรียนหน้าผากแดงขนาดไม่กี่จั้งตัวหนึ่งออกมา มันแบกทั้งสองคนขึ้นหลังกลายเป็นแสงสีขาวดวงหนึ่งบินไปยังยอดเขา

พร้อมกับที่ข่าวเรื่องงานประตูสวรรค์จบลงก่อนเวลาแพร่ออกไป ผู้อาวุโสจากนิกายและตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็ยิ่งพากันปรากฏตัวมากขึ้นทุกที พวกเขาบินเร็วรี่มายังทางเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์

“หลิ่วหมิงเด็กคนนี้ถึงกับยังมีชีวิตอยู่ หลงเซวียนอยู่ข้างตัวเจ้าเด็กนี่ทำไมยังลงมือสังหารเขาไม่ได้? พลาดโอกาสนี้ไปยามใดถึงจะมีโอกาสล้างแค้นให้หลานชายของข้าอีก” ในสายลมสีดำหอบหนึ่ง เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น

“อาจารย์ หน้าตาของคนผู้นี้ยามนี้พวกเรารู้ชัดแล้ว วันหน้าโอกาสยังมีอีกมากไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้ หลังจากนี้ค่อยให้คนอื่นลงมือก็เหมือนกัน” บุรุษหน้าตาน่ากลัวคนหนึ่งข้างกายเขาเอ่ยอย่างนอบน้อม

“แม้หลงเซวียนยังหยุดอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลาย แต่พลังสูสีทัดเทียมกับเจ้า เขายังลงมือไม่สำเร็จ จะให้ข้าส่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้กลุ่มหนึ่งไปไล่ล่าสังหารหลิ่วหมิงงั้นหรือ? ต่อไปใช้สมองก่อนแล้วค่อยพูดกับข้า”

สายลมสีดำถาโถมเพิ่มความเร็วในทันใด เสียง “ควับ” ดังขึ้นทีหนึ่งก็หายไปจากที่เดิม

เวลานี้ใจกลางเวทีบนยอดเขาหิมะศิษย์จากนิกายใหญ่และตระกูลต่างๆ รวมตัวกันอยู่ถึงห้าหกร้อยคน ผู้คนล้อมมุงดูอยู่รอบด้านมากถึงนับพันคน ชั่วขณะหนึ่งที่แห่งนั้นวุ่นวายอย่างที่สุด

พวกหลิ่วหมิง เผิงเยวี่ยกับชายหนุ่มรถเงินนั่งสงบโคจรปราณอยู่ที่เดิม ฟื้นพลังไปพลาง รอคอยคนของแต่ละนิกายเดินทางมารับไปพลาง

แสงสีขาวเรืองรองแถบหนึ่งพุ่งเข้ามาร่อนลงเบื้องหน้าผู้คน หลังแสงเรืองรองดับลงก็เผยผู้เฒ่าคิ้วขาวผู้หนึ่ง คนที่นำคณะของตระกูลโอวหยางมานั่นเอง

“โอวหยางเชี่ยน โอวหยางฉินคารวะปู่รอง!” โอวหยางเชี่ยนกับโอวหยางฉินเห็นเช่นนี้ก็ลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไปข้างหน้าสองสามเก้าประสานมือคารวะไปทางผู้เฒ่าคิ้วขาวแล้วเอ่ยขึ้นทันที

“ดี ดี ดี!” ผู้เฒ่าคิ้วขาวเห็นสตรีสองนางแม้สีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง ปราณแผ่วจางอยู่บ้าง แต่ดีที่ทั้งร่างไม่มีอาการบาดเจ็บอันใดจึงอดไม่ได้ยินดียิ่งเอ่ยว่า “ดี” ออกมาติดกันสามคำ

ในเวลานี้เองแสงสีเหลืองอีกสายหนึ่งกับหมอกสีเทาก็พัดหวีดหวิดมาหยุดอยู่ไม่ห่างจากพวกหลิ่วหมิง เทียนเกอเจินเหรินประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์กับบุรุษชุดเทาผู้นั้นนั่นเอง

หลังทั้งสองคนเห็นหลัวเทียนเฉิงกับหลิ่วหมิงปลอดภัยดีอยู่ท่ามกลางหมู่คน สีหน้าก็ผ่อนคลายลงในทันใด สายตากวาดผ่านในหมู่คนอีกหนหมายจะค้นหาศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่เหลือ

วินาทีนั้นที่หลิ่วหมิงเห็นเทียนเกอเจินเหริน ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสเถียนแห่งยอดเขาลั่วโยวสั่งไว้ตอนก่อนออกเดินทาง เขาต้องตามหาทานตะวันหัวใจอัคคีอายุพันปีในแดนลึกลับประตูสวรรค์แต่กลับหามาไม่ได้

เดิมทีเขาตั้งใจว่าหลังออกจากแดนแห่งมรดกก็จะตามหาของสิ่งนี้ทันที แต่ไม่คิดว่าเพราะการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดต่างเผ่าสามตัวนั้นจึงทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมายเช่นนั้น ท้ายที่สุดงานประตูสวรรค์ก็จบลงก่อนเวลาเพื่อจบเรื่อง

“พี่เผิง ข้ากำลังตามหาหญ้าจิตวิญญาณชื่อทานตะวันหัวใจอัคคีที่มีเฉพาะในงานประตูสวรรค์ อายุราวหนึ่งพันปีก็พอ ไม่ทราบก่อนหน้านี้ท่านหาพบหรือไม่ ข้ายินดีใช้หน่อไม้ธรณีม่วงรวมถึงดอกโม่หลัวอายุหนึ่งพันปีต้นหนึ่งแลก” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไป เอ่ยถามเผิงเยวี่ยด้านข้างเสียงแผ่วเบา

“อ้อ? ทานตะวันหัวใจอัคคีเป็นของที่มีเฉพาะในแดนลึกลับประตูสวรรค์นี้ แต่บังเอิญข้าไม่ได้พบ พี่หลิ่วไม่ลองถามคนอื่นดู” เผิงเยวี่ยขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะบอก

ชายหนุ่มรถเงินด้านข้างเขาได้ยินก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยเช่นกัน

“ในมือพี่หลิ่วมีหน่อไม้ธรณีม่วงกับดอกโม่หลัวหรือ?”

เวลานี้เองโอวหยางฉินสาวน้อยชุดเขียวที่เดิมสนทนาอยู่กับผู้เฒ่าคิ้วขาวอีกด้านหนึ่งก็ได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง แรกสุดนางตกตะลึงแต่ทันใดนั้นก็ยินดียิ่ง ขออภัยผู้เฒ่าคำหนึ่งก็ก้าวเดินเข้ามาหลายก้าว เบิกดวงเนตรงามจนโตเอ่ยถามขึ้นมา

“อืม ในมือแม่นางโอวหยางมีของที่ข้าต้องการหรือ?” หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงอยู่บ้าง

“คิกคิก พี่หลิ่วลองดูนี่คืออะไร!” โอวหยางฉินได้ยินก็หัวเราะคิกคัก ในมือแสงจิตวิญญาณส่องสว่าง หญ้าจิตวิญญาณที่ส่องแสงสีเหลืองขมุกขมัวต้นหนึ่งปรากฏออกมา

กลีบสีส้มเป็นวงคล้ายดวงตะวันน้อยขับเน้นเกสรรูปวงกลมสีแดงสดที่อยู่ตรงกลาง ประดุจดั่งหัวใจมนุษย์ดวงหนึ่งถูกเปลวเพลิงจิตวิญญาณสีเหลืองอ่อนเล็กๆ ล้อมรอบ

“ไม่ผิด ของสิ่งนี้แหละ!”

สายตาของหลิ่วหมิงเพ่งมอง สำรวจหญ้าจิตวิญญาณต้นนี้ตรงหน้าอย่างละเอียด หลังแน่ใจว่าเหมือนกับคำอธิบายในตำราที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ทุกประการก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมาทันที หลังพลิกมือทีหนึ่งก็เรียกหน่อไม้สีม่วงต้นน้อยกับบุปผาจิตวิญญาณงดงามดอกหนึ่งออกมาถือไว้ในมือบ้าง

โอวหยางฉินเห็นของสองสิ่งนี้ สองตาพลันเป็นประกาย โยนหญ้าจิตวิญญาณในมือไปฝั่งตรงข้ามในทันใดแล้วรับหน่อไม้ม่วงกับบุปผาจิตวิญญาณไปอย่างระมัดระวัง

หลิ่วหมิงก็โล่งใจเช่นกัน เขาเก็บทานตะวันดวงใจอัคคีเข้าไปในกล่องหยกใบหนึ่ง จากนั้นเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนแล้วประสานมือเอ่ยขึ้น

“ครั้งนี้ขอบคุณแม่นางโอวหยางมากจริงๆ!”

“น่าจะเป็นข้าขอบคุณพี่หลิ่วมากถึงจะถูก แม้ทานตะวันดวงใจอัคคีเป็นหญ้าจิตวิญญาณที่มีเฉพาะแดนลึกลับประตูสวรรค์เท่านั้น แต่หญ้าจิตวิญญาณสองต้นนี้ไม่ว่าอายุหรือมูลค่า เมื่อเทียบกับทานตะวันดวงใจอัคคีแล้วล้ำค่ากว่ากันไม่น้อย” สาวน้อยชุดเขียวยิ้มแย้มตอบหลังจากนั้นหมุนตัวออกไป

โอวหยางเชี่ยนที่อยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้ก็ยิ้มหวานให้หลิ่วหมิง

“หลัวเทียนเฉิง หลิ่วหมิง พวกเจ้าสองคนมานี่”

ในตอนนี้เองเทียนเกอเจินเหรินที่อยู่ไม่ไกลก็กวักมือทีหนึ่ง ส่งกระแสจิตเอ่ยสั่ง

หลังหลัวเทียนเฉินมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ทีหนึ่งก็พลันกลายเป็นแสงสีเงินหอบหนึ่งลอยไป

“พี่เผิง ข้าขอตัวก่อน วันหน้ามีวาสนาคงได้พบกันอีก!” หลิ่วหมิงคำนับเผิงเยวี่ยอย่างมีมารยาทหนึ่งหนก็หมุนตัวมองชายหนุ่มรถเงินที่สีหน้านิ่งสงบอยู่ใกล้ๆ ทันใดนั้นคล้ายนึกบางอย่างออกจึงประสานมือให้เขาเอ่ยถามขึ้นว่า

“ข้านามว่าหลิ่วหมิง ยังไม่ทราบเลยว่าท่านเรียกขานว่าอันใด?”

“เยี่ยโจ่งแห่งนิกายเทียนกง” ชายหนุ่มรถเงินยามแรกอึ้งไปนิดหนึ่งแต่ทันใดนั้นก็ขยับยิ้ม ประสานมือเอ่ยตอบ

หลิ่วหมิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็ก้าวยาวเดินไปหาเทียนเกอเจินเหริน

หลังการมาถึงของคนที่มารับจากนิกายและตระกูลต่างๆ ไม่นานยันต์รูปร่างต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศบนเขาหิมะ สัญญาณนำทางของนิกายใหญ่ต่างๆ นั่นเอง

ลำแสงรูปร่างต่างๆ หลากสีสันสายแล้วสายเล่าพุ่งขึ้นมาลอยต่ำๆ บนท้องฟ้า ศิษย์นิกายใหญ่แต่ละแห่งล้วนตามหาที่อยู่ของสำนักตนจากสัญญาณ

ในเวลานี้เองกลางท้องฟ้าก็มีแสงดาวระยิบระยับแถบหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากนั้นแรงกดดันมหาศาลก็กดลงมาในทันใด ทำให้ผู้คนที่นั่นล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า

ในเวลาเดียวกันนี้ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งกับสีเงินสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหมู่คน บินเร็วรี่ตรงไปหาแสงดาวระยิบระยับ

หลี่ว์เหมิงบุรุษผมม่วงกับอิ๋นเซ่อสตรีผมเงินผู้นั้นจากหอเป๋ยโต่วนั่นเอง