สี่วันหลังจากศึกใหญ่จบลง ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานยังคงเย็นเยียบ แต่กลิ่นคาวเลือดลดลงไปมากแล้ว ไม่อาจเห็นภาพอันตึงเครียดของทหารหลายร้อยนายแบกแคร่หามวิ่งและตะโกนอีก หรือภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของแสงศักดิ์สิทธิ์สิบกว่าสายส่องสว่างขึ้นพร้อมกันบนท้องฟ้าราตรีเหนือสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์
ควันขาวหลายสายลอยขึ้นจากพื้นที่รอบๆ ซงซาน ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เมื่อคนในศูนย์บัญชาการเห็นภาพนี้พวกเขาก็หยุดและไว้อาลัย ควันขาวแต่ละสายเป็นตัวแทนของทหารที่ตายในสนามรบ จากที่นับดูจำนวนทหารที่ต้าโจวสละไปในการทำศึกครั้งนี้เกินหนึ่งหมื่นนายไปแล้ว และนี่ไม่รวมคนงานที่ทำหน้าที่ลำเลียงและผู้บำเพ็ญตนที่มาจากพื่นที่ต่างๆ เพื่อให้การสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศในสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนกับที่เป็นเมื่อไม่กี่วันก่อน คนบาดเจ็บส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้แล้ว ส่วนคนที่ไม่อาจรักษาได้ก็ถูกย้ายออกไปนานแล้ว แต่ด้วยเหตุบางอย่างห้องที่อยู่ลึกเข้าไปยังเต็มไปด้วยผู้คนและบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าจะไม่ฟังคำอธิบายสักคำเดียว ข้าต้องการให้พวกท่านช่วยเขา”
ใบหน้าแม่ทัพขมึงทึง น้ำเสียงดึงดัน ตอนที่เขามองไปที่เตียงน้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยม
คนบาดเจ็บบนเตียงยังหนุ่มมาก ดูจากเสื้อผ้าและถุงผ้าที่มัดอยู่ที่เอว เขาน่าจะเป็นนักสร้างค่ายกล เขามีร่างกายผอมบาง ผิวสีแทน แต่ตอนนี้มันขาวราวหิมะ เป็นสัญญาณว่าเขาได้เสียเลือดมากเกินไป ริมฝีปากแห้งผากลมหายใจอ่อน ดูเหมือนกับจะตายได้ทุกเมื่อ
เมื่อได้ยินคำสั่งของแม่ทัพ ทุกคนในห้องก็รู้สึกกดดันอย่างมาก ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกสับสนอยู่บ้าง
นักสร้างค่ายกลหนุ่มต้องมาจากสำนักที่มีชื่อเสียงอย่างมากและมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด แต่แม่ทัพคนนี้ได้รับความนับถือจากขุนพลเทพเคอและมีชื่อเสียงอย่างมากในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน ด้วยฐานะที่สูงมากของเขา ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องให้ความสนใจกับนักสร้างค่ายกลแค่คนเดียว นอกจากแพทย์ทหารยังมีคนจากนิกายหลวงสองคนมารักษานักสร้างค่ายกลหนุ่มคนนี้
แม่ทัพรู้ว่าคนพวกนี้คิดอะไรแต่ก็ไม่อธิบาย
เขาพอจะรู้เบื้องหลังของนักสร้างค่ายกลหนุ่มนี้อยู่บ้างแต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เขาโกรธเกรี้ยวและเป็นกังวล
ก่อนที่จะมายังสถานพยาบาล เขาได้รับรายงานการศึกเกี่ยวกับการสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น
นอกจากนักสร้างค่ายกลหนุ่มบนเตียงที่กำลังจะตาย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนหน้าผากันแน่ อย่างไรก็ตามทหารที่เห็นภาพบนยอดเขากับตาและแน่ใจว่าต้องเป็นเหตุการณ์ที่กล้าหาญมาก เพราะสิ่งที่เขาได้เห็นนั้นช่างน่าเศร้าอย่างมาก ทหารสิบกว่านายใช้ของวิเศษที่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยมอบให้อย่างลับๆ เพื่อระเบิดตัวเอง ลากทัพหมาป่าห้าคนตายรวมกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นบนทางถอยสู่หน้าผา พวกเขาพบศพของทหารอีกสิบกว่านาย
หน่วยย่อยที่เชี่ยวชาญที่สุดของกองทัพซงซานมีประกอบไปด้วยทหารที่กล้าหาญ ได้สละตัวเองเพื่อให้นักสร้างค่ายกลหนุ่มนี้มีชีวิตอยู่ต่อ ดังนั้นหากเขาไม่ช่วยนักสร้างค่ายกลนี้แล้วจะปลอบโยนวิญญาณของผู้ใต้บังคับบัญชาที่จากไปได้อย่างไร
“ข้าจะไม่ให้คำอธิบายสักคำ เพราะข้าไม่มีความสามารถที่จะช่วยเขาได้จริงๆ”
ผู้หญิงในชุดขาวยืนขึ้นจากเตียง ใบหน้าสดใสงดงามแสดงความเหนื่อยล้า แสงศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนกระจายออกจากปลายนิ้วเรียวยาว
แม่ทัพเงียบไป
หญิงผู้นี้มาจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าในจิงตูนามว่าอันหวา นางมาถึงศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานสองวันก่อนและเริ่มทำงานอย่างไม่หยุดพัก พยายามที่จะลดการตายในสนามรบ หากไม่ใช่เพราะการที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานมีหินผลึกเพียงพอที่จะช่วยนางทำสมาธิฟื้นฟู ก็มีโอกาสสูงมากที่นางจะตายไปเพราะร่างกายเสียแสงศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป
ไม่ว่าแม่ทัพจะมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวเพียงใดเขาก็ไม่อาจพูดจารุนแรงกับนางได้
และเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางได้ทำเต็มที่แล้วในการช่วยนักสร้างค่ายกลหนุ่มบนเตียง
แม่ทัพหันไปหาหัวหน้านักบวชของสถานพยาบาลสวรรค์
นักบวชก็ส่ายหน้าเล็กน้อยแทบมองไม่ออก
หมอทั้งหมดในสถานพยาบาลล้วนไม่อาจจะทำอะไรกับบาดแผลของนักสร้างค่ายกลหนุ่ม แสงศักดิ์สิทธิ์จากนักบวชของพระราชวังหลีกับอาจารย์จากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าก็ไม่อาจช่วยเขาได้เช่นกันหรือ
อารมณ์ของนายพลตกต่ำถึงขีดสุดและเขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขาทุบกำปั้นไปที่โต๊ะ
บรรยากาศในห้องหดหู่อย่างมาก คนหนึ่งถอดหมวกออกจงใจทำตัวหดหู่
ในจุดนี้แพทย์ทหารในมุมก็พูดอย่างเศร้าๆ “หากเรามียาจูซาก็คงจะดี”
ชื่อ ‘ยาจูซา’ ดูเหมือนจะมีอำนาจเวทมนตร์ ทำให้ห้องตกอยู่ในความเงียบงัน เสียงเดียวที่มีคือเสียงหายใจที่ค่อยๆ เร่งร้อนขึ้น
บางคนตาเป็นประกายด้วยความสุข แต่เมื่อตระหนักบางอย่างได้ ก็หม่นมัวลงอีกครั้ง
ดังที่คาดไว้ หัวหน้านักบวชถอนหายใจและกล่าว “ในวันแรกของการศึกเราก็ใช้ส่วนแบ่งของพวกเราไปหมดแล้ว”
แม่ทัพเองก็รู้ดีว่ามีทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกส่งตัวกลับมามากแค่ไหนในวันแรกของการศึก นับตั้งแต่เริ่มต้นเขาก็ไม่ตั้งความหวังไว้กับยานี้แล้ว แต่เมื่อเขาได้ยินคนเอ่ยชื่อมันอีกครั้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงความหวังสุดท้ายและถามขึ้น “จะมีการแบ่งส่วนอีกเมื่อไหร่ เราสามารถยื้อไปถึงวันนั้นได้หรือเปล่า”
นักบวชส่ายหน้า “การแบ่งส่วนยาครั้งหน้าคืออีกสิบวัน แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของเขา อยู่ได้เต็มที่ไม่เกินห้าวัน”
อันหวาศึกษาวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ในกระทรวงสิบสามชิงเหย้าจนถึงตอนนี้ เมื่อสงครามกับเผ่ามารเริ่มขึ้น นางก็ทุ่มเทบำเพ็ญเพียรเพื่อที่นางจะได้มายังแนวรบและรักษาคนเจ็บได้ให้เร็วที่สุด ดังนั้นนางจึงไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกภายนอก ร่วมกับเรื่องที่นางเพิ่งมาถึงศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานเมื่อสองวันก่อน นางจึงงงงวยกับสิ่งที่ทุกคนกำลังพูดกันอยู่
“ยาจูซาคืออะไร เป็นยาแบบไหน” นางถามนักบวชผู้นั้น
จากชื่อคงเดาได้ว่าส่วนผสมหลักของยาคือชาด ซึ่งเป็นยาที่ใช้ช่วยให้เลือดแข็งตัว แต่นักสร้างค่ายกลหนุ่มนี้บาดเจ็บหนักมากจนแม้แต่แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ได้ผล ในสายตานาง บางทีหากให้มุขนายกหลายคนลงมือพร้อมกันคงจะพอมีหวังบ้าง หรือว่ายานี้จะมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน
นักบวชเข้าใจว่านางคิดอะไรและตอบ “ยาจูซาสามารถรักษาบาดแผลของคนผู้นี้ได้”
ทุกคนที่เหลือพยักหน้าทีละคน ไม่มีใครสงสัยเลยแม้แต่น้อย หลังจากได้เห็นผลของยาจูซาด้วยตัวเอง พวกเขาก็รู้สึกว่ายาจูซารักษาอาการบาดเจ็บทุกชนิดในโลกได้
อันหวาไม่เคยได้ยินถึงยาตัวนี้ดังนั้นนางจึงงงงวยยิ่งกว่าเดิมกับความศรัทธาอันแรงกล้าของพวกเขา
“หากมัน…ได้ผลจริง ทำไมเราไม่พยายามหาให้ได้เร็วที่สุด”
นักบวชนั้นถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “เราจะไปหาของวิเศษเช่นนั้นได้จากไหนกัน”
ทุกคนในที่นี้ก็คิดถึงคำพูดที่แพร่กระจายไปทั่วว่ายานี้เป็นของสวรรค์และไม่พูดอะไร
แม่ทัพพูดกับอันหวา “ยานี้หายากมาก”
อันหวายังคงสับสนจึงถาม “หากยานี้มีผลราวปาฏิหาริย์จริง ทำไมไม่ให้นักสมุนไพรมอบสูตรยาออกมาแล้วให้ราชสำนักหรือพระราชวังหลีผลิตออกมาจำนวนมาก”
ห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ทุกคนมองไปที่นางดูเหมือนจะไม่สบายใจอยู่บ้าง
ไม่มีใครตอบคำถามนาง
มันเหมือนกับทั่วทั้งสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ได้ตกอยู่ในความเงียบ
ไม่มีแม้แต่เสียงเดียว
ราวกับว่าสิ่งที่นางถามนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม