สถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงหายใจให้ได้ยินภายในห้องด้านในสุด ยังพอจะได้ยินว่าบางคนตั้งใจกลั้นหายใจอยู่ บางคนก้มศีรษะลง บางคนมองไปรอบๆ อย่างกังวล บรรยากาศตึงเครียดขึ้นราวกับว่ามีคนกำลังสอดส่องที่แห่งนี้อยู่
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดในที่สุดคนผู้หนึ่งก็กลั้นไอไว้ไม่อยู่ แม่ทัพมองไปที่คนผู้นั้นแล้วถาม “อีกสิบวันหรือ”
คำถามนี้ทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
อันหวาเดินไปกับนักบวชที่หน้าต่างและกระซิบ “เกิดอะไรขึ้นกัน”
นักบวชตอบ “ไม่มีใครสามารถให้นักสมุนไพรมอบสูตรยาได้ เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนสร้างยานี้ขึ้น”
อันหวาตกตะลึงกับคำตอบนี้ นางลืมเรื่องความเงียบงันที่ปกคลุมห้องไป ถามด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม “เป็นไปได้อย่างไร”
เมื่อมียานี้อยู่ในโลกและถูกใช้ไปแล้ว ย่อมต้องมีคนส่งมันไปตามศูนย์บัญชาการกองทัพต่างๆ แล้วจะไม่รู้ตัวคนที่ผลิตยานี้ขึ้นได้อย่างไร
นักบวชยกมือขวาขึ้นเพื่อบอกให้นางควบคุมอารมณ์เอาไว้ แต่ไม่ได้ให้คำอธิบาย
“ต่อให้เราไม่รู้ที่มาของยานี้ ทำไมเราไม่เลียนแบบการผลิตมันขึ้นมา ต่อให้ไม่มีสูตรยา เราก็น่าจะคาดเดาส่วนผสมจากตัวยาได้”
ครั้นเห็นความลังเลบนใบหน้าของนักบวช อันหวาคิดว่านางรู้ว่าเขากำลังหวั่นไหวและถูกโน้มน้าว “นี่เป็นการช่วยคนใกล้ตายและรักษาคนบาดเจ็บ ไม่ใช่การทำธุรกิจ ชีวิตและความปลอดภัยของทหารในแนวรบนั้นสำคัญยิ่งกว่าศีลธรรมจรรยาพวกนั้น ข้ามั่นใจว่ามหามุขนายกหรือท่านก็ต่างเข้าใจเรื่องนี้ดี”
นักบวชส่ายหน้าและกล่ว “เจ้าไม่เข้าใจ เรื่องนี้ซับซ้อนอย่างมาก และยานี้ก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง จากที่จะค้นหาวิธีสกัดมันขึ้นมาได้”
“จากชื่อของมัน เราสามารถเดาได้ว่าส่วนประกอบหลักของมันก็คือชาด โดยมีส่วนประกอบอื่นช่วยสนับสนุน หากมันมีความอัศจรรย์นัก สิ่งสำคัญก็ต้องเป็นส่วนประกอบอื่นที่เหลือ” อันหวามองไปที่ดวงตาของนักบวชและกล่าวต่อ “แต่อย่าบอกข้าว่าส่วนประกอบนั้นมีค่าและหายาก เพราะข้าไม่เชื่อเช่นนั้น”
ไม่มีสมุนไพรใดในโลกที่นิกายหลวงกับราชสำนักไม่อาจหาได้ ทว่าเรื่องนี้ไม่อาจทำให้นักบวชพูดอะไรไม่ออก เขายิ้มอย่างขมขื่นและตอบ “อย่าพูดเรื่องหาส่วนประกอบพวกนั้นเลย ตอนนี้ ไม่มีใครที่สามารถระบุได้ว่ามีส่วนประกอบใดบ้างตั้งแต่แรกแล้ว”
อันหวาตกตะลึงไปอีกครั้งและคิดในใจ ด้วยนักบวชและบัณฑิตที่นิกายหลวงกับราชสำนักมีทั้งหมด พวกเขาจะล้มเหลวในการระบุส่วนประกอบของยาและปริมาณที่ใช้ได้อย่างไรกัน
นักบวชกระซิบ “มียาแค่ไม่กี่เม็ดให้วิจัย และคนที่มอบยามาก็ประกาศไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่า การวิจัยยานี้เป็นสิ่งต้องห้าม”
อันหวาสนใจกับคำพูดนี้และถาม “แล้วยานี้มาจากไหนกัน”
“อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ ไม่มีใครรู้ว่ายานี้มาจากไหน ทุกคนรู้แค่ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนมียาขวดหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด่านหลานกวน”
ดวงตาของนักบวชพลันเป็นประกายสุกใสอย่างเร่าร้อน ไม่ใช่เพราะความโลภหรือปรารถนา แต่เป็นความนับถือและโหยหา
มียายี่สิบเม็ดในขวดที่ปรากฏขึ้นในด่านหลานกวน บางทีเพราะอาการบาดเจ็บของพวกเขาสาหัสเกินไปหรือเพราะว่านักปรุงยาลึกลับได้จัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทหารหลายนายที่ใกล้ตายได้กินยานี้และรอดชีวิตมาได้
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน ตราบใดที่คนป่วยไม่ตายคาที่ พวกเขาจะฟื้นตัวหลังจากกินยา แม้ว่าบาดแผลจะไม่ได้หายดีทุกครั้ง หากผู้บำเพ็ญเพียรบางคนแดนลี้ลับเสียหายหรือเส้นลมปราณฉีกขาดไม่อาจฟื้นฟูได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถที่จะพาตัวออกห่างเงาแห่งความตายได้
ทุกคนที่ได้เห็นกับตาตัวเองว่ายานี้ช่วยชีวิตคนเจ็บได้ยืนยันว่ามันคือปาฏิหาริย์
ข่าวเรื่องปาฏิหาริย์ย่อมแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาอันสั้น ยาลึกลับนี้ก็กลายเป็นของขึ้นชื่อในศูนย์บัญชาการกองทัพสิบกว่าแห่งบนทุ่งหิมะ
ณ จุดหนึ่งก็มีบางคนได้รู้ว่ายานี้มีชื่อว่ายาจูซา แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหนหรือใครเป็นคนทำขึ้น
‘ช่วยคนใกล้ตายและปลูกกระดูก’ นี่เป็นคำกล่าวที่อันหวาเคยได้เห็นในคัมภีร์เต๋ามาก่อน นางย่อมรู้ว่านี่เป็นการบรรยายเกินจริง ไม่อาจที่จะเป็นจริงได้ อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของทุกคนในสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์และดวงตาเป็นประกายของนักบวชบอกนางว่า เป็นความจริงและมีพยานรู้เห็น เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ต่อให้ยาวิเศษที่เล่าลือว่าเก็บไว้ในส่วนลึกของพระราชวังหลีมีอยู่จริง ก็ไม่น่าที่จะมีผลน่าอัศจรรย์เพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นปริมาณของยาวิเศษนั้นย่อมมีน้อยอย่างยิ่งและไร้ความหมายสำหรับสงครามเช่นนี้…
นางพลันถามขึ้น “มียาจูซามีทั้งหมดเท่าไหร่”
นักบวชตอบ “ไม่มีใครรู้”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้อีกครั้งอันหวาก็พลันรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก
แต่ครั้งนี้ มันไม่ใช่จากความลึกลับของเรื่องทั้งหมด แต่เป็นเพราะปัญหาทางคณิตศาสตร์ง่ายๆ ประการหนึ่ง
“ทุกเดือนจะมียาจูซาปรากฏขึ้นหนึ่งขวด ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นมียามากแค่ไหน”
นักบวชมองไปที่ดวงตานางและกล่าวต่อ “ข้าเชื่ออย่างมากว่ายาจูซานั้นถูกคนผู้นั้นปรุงขึ้น และก็ทำการปรุงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
อันหวาตกใจอีกครั้ง น้ำเสียงของนางตึงเครียดขึ้นเล็กน้อยตอนที่กล่าว “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่าปริมาณยาจูซาที่ถูกส่งมายังแนวรบจะไม่หยุดไป และมีโอกาสที่ปริมาณอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในทุกแง่มุมนี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับการที่ยาจูซานั้นอัศจรรย์จริงอย่างที่คิดไว้
อันหวามองไปที่นักบวช ดวงตาแฝงด้วยความหวังจนแทบจะเป็นการขอร้อง
นักบวชรู้ว่านางรู้สึกอย่างไรและนางต้องการได้ยินสิ่งใด เพราะเขาก็เคยมีช่วงเวลาคล้ายกันนี้ เป็นความกระวนกระวายและความหวังที่ยากจะลืมได้
เขายืนยันอย่างใจเย็นและหนักแน่นกับนาง “ใช่ ยาจูซาสามารถช่วยชีวิตได้จริง ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็ตาม”
มือของอันหวาสั่น ไม่ใช่เพราะนางเป็นกังวลแต่เป็นเพราะนางดีใจและประหลาดใจ
นางเป็นทั้งนักบวชและหมอ ใจของนางเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ที่นางครุ่นคิดมากที่สุดก็คือจะช่วยคนใกล้ตายและรักษาการบาดเจ็บได้อย่างไร
นางรู้ดีว่านี่หมายความว่าอย่างไร นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เผ่ามนุษย์มียาวิเศษที่สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก
สำหรับนาง นี่หมายความว่าความตายและจากพรากจากจะหายไปอย่างมาก ความเจ็บปวดมากมายจะหายไป
แน่นอนยาวิเศษนี้ยังมีความหมายอื่นๆ อีกมากมายต่อมนุษยชาติ ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนอย่างนักสร้างค่ายกลหรือผู้บำเพ็ญเพียรจะมีโอกาสในชีวิตอีกครั้ง
แล้วยานี้มีความหมายอย่างไรต่อสงครามระหว่างมนุษย์กับมาร
อันหวาไม่ได้คิดเรื่องนั้น
นางกำลังคิด หากยานี้ไม่ใช่ของขวัญที่แดนเทพมอบให้กับเผ่ามนุษย์แล้วจะเป็นอะไรไปได้อีก
ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร เขาไม่ได้ถูกกำหนดมาว่าจะอยู่ในจุดสูงสุดของประวัติศาสตร์และได้รับการบูชาจากคนมากมายหรอกหรือ