การสนทนาระหว่างอันหวากับนักบวชไม่ได้ดังนัก แต่ห้องนี้เงียบเกินไป ดังนั้นทุกคนจึงได้ยินคำพูดของพวกเขาอย่างชัดเจนและต่างก็มีความกังวลของตนเอง
หากผู้สร้างยานี้ประกาศตัวออกมา ก็จะได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลจากยาที่สร้างขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงความมั่งคั่งแต่ยังเป็นกำลังอำนาจ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่เคยปรารถนาประโยชน์เหล่านี้…แต่ทำไมกัน เพื่อทำตัวลึกลับหรือเพื่อความปลอดภัย
อันหวายังไม่อาจเข้าใจว่าทำไมราชสำนักกับนิกายหลวงจึงไม่อาจค้นพบว่าคนผู้นี้เป็นใคร หรือว่ายาที่เรียกว่ายาจูซานี้จะเป็นยาวิเศษจากแดนเทพ ต้องรู้ว่าการที่ยาจะไปปรากฏอยู่ตามศูนย์บัญชาการกองทัพต่างๆ ตามระยะเวลาที่กำหนดนั้นต้องทิ้งเบาะแสเอาไว้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น ต้องมีคนทำหน้าที่นำมาไปส่ง
“ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย” นักบวชรู้ว่านางคิดอะไรและตอบคำถามของนาง “การส่งมอบและกระจายตัวยานั้นเป็นความรับผิดชอบของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย”
สถานพยาบาลตั้งอยู่บนถนนที่กว้างที่สุดของศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน ตรงข้ามก็คือพื้นที่ซึ่งสำคัญที่สุดในศูนย์บัญชาการในขณะที่ด้านหลังเป็นโรงเตี้ยมบนถนนที่มีต้นเหมยปลูกเป็นแถว โรงเตี๊ยมนี้เป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงและหรูหราที่สุดในค่ายทหารแห่งนี้ มีคนเต็มทุกวัน อย่างไรก็ตาม หลายคนไม่รู้ว่าห้องที่แพงที่สุดในโรงเตี๊ยมนี้ห่างจากสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์แค่กำแพงกั้น
ชายวันกลางคนนั่งอยู่เงียบๆ บนเก้าอี้มีที่เท้าแขนในห้องนี้ สีหน้าค่อนข้างมืดหม่น มันไม่ใช่การแสดงอารมณ์แต่บ่งบอกว่าเขาเหนื่อยล้าจากการมีเรื่องในใจมากมายเกินไป คนผู้นี้สวมชุดเรียบง่ายแต่เสื้อผ้านั้นทำมาจากวัตถุดิบอย่างดีที่สุด บ่งบอกว่าเขามีฐานะมั่งคั่งแต่ต้องการจะปกปิดเอาไว้ เป็นได้อย่างมากว่าเขาเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการค้า
เสียงที่ดังมาจากด้านหลังกำแพงนั้นเบามากจนแม้แต่ยอดโจรก็ยังยากจะฟังออก อย่างไรก็ตาม เขาก้มหน้าลงและฟังมันอย่างตั้งใจมาก ราวกับว่าเขาสามารถได้ยินรายละเอียดของการสนทนานี้ได้จริงๆ จากสิ่งนี้ก็พอจะเดาได้ว่าคนผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นทีเดียว เป็นไปได้มากว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง
การสนทนาในสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ยังดำเนินต่อไป
แพทย์ชรากล่าว “เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนในแนวรบเป็นกังวล ดังนั้นจึงมีคนสืบเรื่องนี้อยู่เสมอ ในตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยเป็นผู้รับผิดชอบการขนส่งและแจกจ่าย แต่ไม่ใช่เจ้าของยาจูซาตัวจริง เราได้แต่บอกว่าขนาดตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยก็ยังไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
นี่ฟังดูไร้สาระที่สุดแต่ก็เป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้นในตอนแรกที่ผู้คนสนใจมากกว่าก็คือตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยจะแบ่งยาอย่างไร
สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกคืออะไร ย่อมต้องเป็นชีวิตที่ไม่อาจเรียกคืน ยาที่สามารถนำชีวิตกลับมาได้นั้นย่อมต้องเป็นสมบัติที่ทุกคนต้องการอย่างไม่ต้องสงสัย
คนที่ครองอำนาจในการแจกจ่ายยาประเภทนี้ย่อมถืออำนาจเหนือชีวิตผู้คนมากมาย
นี่เป็นพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่งและยังเป็นความรับผิดชอบที่หนักหนาอย่างมากเช่นกัน
ในบางแง่มุมการมอบอำนาจนี้ให้กับผู้อื่นก็คือการผลักความรับผิดชอบไปให้คนอื่นแทน เป็นการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
ในสายตาของอันหวา คนที่สามารถสร้างยาจูซาขึ้นมาย่อมต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีเมตตาในหัวใจต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ดังนั้นย่อมไม่ใช่คนประเภทนั้น
“คนผู้นี้ไม่ได้มอบอำนาจทั้งหมดให้กับตระกูลถัง เขาได้ตั้งกฎเอาไว้หลายข้ออยู่ก่อนแล้ว” นักบวชยิ้มให้นางและอธิบาย “กฎข้อแรกก็คือห้ามสืบความเป็นมาของเขาหรือถามว่าชื่อ ‘ยาจูซา’ มาจากไหน ยังห้ามไม่ให้ทำการวิเคราะห์ยาหาส่วนประกอบอีกด้วย”
อันหวาเข้าใจแล้วว่าทำไมทั้งห้องถึงเงียบไปและทุกคนจึงมองนางแปลกๆ หลังจากนางพูดว่าราชสำนักหรือนิกายหลวงน่าจะวิเคราะห์ยาเพื่อหาสูตรยา
ถ้าอย่างนั้นมันถูกจัดสรรอย่างไร มันไม่ยากที่จะคิดว่าจะแจกจ่ายยาจูซาให้กับศูนย์บัญชาการกองทัพสิบกว่าแห่งอย่างไร แต่นางไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นางยังจินตนาการได้ว่าการแจกจ่ายนี้ต้องยึดตามจำนวนทหารของศูนย์บัญชาการกองทัพ วิธีนี้เรียบง่ายที่สุดยุติธรรมที่สุด ยากจะชี้ว่าจะแจกจ่ายยาระหว่างคนเจ็บอย่างไร
ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานเป็นค่ายใหญ่ในหมู่ศูนย์บัญชาการกองทัพสิบกว่าแห่งในแนวรบ แต่ทุกเดือนพวกเขาจะได้รับยาไม่เกินหกเม็ด ในเดือนที่แย่ที่สุดพวกเขาได้รับแค่สองเม็ดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแม้แต่ในเดือนที่สงครามอยู่ในช่วงสงบและไม่มีกิจกรรมทางทหารมากนัก ก็ยังมีทหารเกือบตายไม่ต่ำกว่าร้อยนาย
“บาดแผลที่สามารถรักษาได้ด้วยวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์หรือแพทย์ไม่อาจรับยานี้ ไม่ว่าบาดแผลจะหนักแค่ไหน ต่อให้เขาเสียแขนหรือขาไป ตราบใดที่ไม่ตายก็ไม่อาจมอบยานี้ให้ได้” แพทย์ชราอธิบาย “ใครจะได้รับยาจูซาไม่เกี่ยวกับอายุ มีตำแหน่งสูงแค่ไหน หรือมีพื้นเพอย่างไร อันดับแรกให้มอบให้กับนักบวชและรองลงมาคือนักสร้างค่ายกล”
อันหวาเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าทำไมยานี้ถึงได้จัดสรรเช่นนี้
นักบวชในแนวรบล้วนเป็นผู้ใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะใช้มากหรือน้อย ยาจูชาหนึ่งเม็ดที่ช่วยนักบวชหนึ่งคนหมายควาว่าจะช่วยชีวิตคนได้อีกมากในอนาคต นักสร้างค่ายกลมีบทบาทสำคัญมากที่สุดในสนามรบ รับแรงกดดันมากที่สุด อัตราการตายสูงสุด ได้รับความเคารพมากที่สุด ดังนั้นนางจึงยอมรับที่พวกเขาถูกจัดอยู่อันดับสอง
นักบวชเสริม “หลังจากนั้นเราก็พิจารณาถึงการบำเพ็ญเพียรของผู้บาดเจ็บและสภาพการเจ็บป่วย คนที่มีระดับการบำเพ็ญตนสูงกว่า การบาดเจ็บหนักกว่าก็จะได้อยู่อันดับสูงกว่าในรายชื่อ”
อันหวาสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมผู้มีระดับการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าจะได้รับยาจูซาง่ายกว่า
แม่ทัพพลันกล่าวขึ้น “นี่คือสงคราม ช่วยยอดฝีมือมีความหมายต่อมนุษยชาติมากกว่าการช่วยคนธรรมดา”
ในแง่ของตรรกะอย่างเดียว นี่ยอมเป็นสิ่งที่สมเหตุผลที่สุด ทว่า…ทุกชีวิตมีค่าเท่ากันไม่ใช่หรือ
แม้ไม่พิจารณาฐานะ ครอบครัวหรืออายุ แต่ก็ยังถูกแบ่งความสำคัญไม่ใช่หรือ
อันหวาพลันรู้สึกเย็นเยียบขึ้นมา
เสียงโมโหดังขึ้นจากภายนอกห้อง “มันไม่ยุติธรรม! ชีวิตของพวกเราคนธรรมดาไม่ใช่ชีวิตหรือไง”
ณ จุดหนึ่งทหารบาดเจ็บได้ปรากฏตัวขึ้นที่ประตู ไม้ค้ำอยู่ใต้แขน ขากางเกงข้างหนึ่งแกว่งไกวอยู่กลางอากาศ เขาน่าจะเสียขาไปในสนามรบ
เห็นได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทหารบาดเจ็บร้องเรียนอย่างโมโห ทั้งที่ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานและค่ายทหารอื่นในแนวรบ
ไม่มีใครมองไปที่ทหารบาดเจ็บคนนี้ ห้องนี้เงียบมาก แม้แต่อันหวาก็ยังไม่พูดอะไร ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นอยู่เงียบๆ
ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย วิธีจัดสรรยาจูซาของคนผู้นั้นก็โหดร้ายอย่างแท้จริง แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่ามันเหมาะสม
อันหวาเงยหน้าขึ้นและถามนักบวช “แล้ว…ใครตัดสินว่าอาการบาดเจ็บสาหัสหรือต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนแค่ไหน”
ชัดเจนว่านี่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด และยังเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดอีกด้วย