บนท้องฟ้า ชายชราสามารถยับยั้งปีกเทพสังหารได้อย่างไม่ยากเย็นนักด้วยไม้เท้าของเขา
เหตุผลที่ชายชราสามารถยับยั้งปีกเทพสังหารและจักรพรรดินีภูตนางฟ้าได้อย่างง่าย ๆ นั้นเป็นเพราะตัวของชายชรามีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุด แถมไม้เท้าในมือของเขาก็เป็นอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นปลายเช่นกัน
ด้วยความต่างของพลังขนาดนี้ มันจึงไม่ยากเลยที่ชายชราจะสามารถกุมความได้เปรียบได้อย่างสบาย ๆ
ในเวลาเดียวกันกับที่การต่อสู้บนท้องฟ้าเกิดขึ้น ที่ด้านล่างบนพื้นการต่อสู้ก็เริ่มแล้วเช่นกัน
แต่การต่อสู้ที่ด้านล่างนั้นดูไม่ค่อยจะรุนแรงสักเท่าไหร่ เพราะบรรดาผู้บุกรุกต่างมีจุดมุ่งหมายอยากจะจับเป็นเหล่าภูตนางฟ้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงโจมตีกันแบบยั้งมือไม่เอาให้ถึงตาย
แต่ในทางกลับกัน บรรดาภูตนางฟ้าหลายตนเมื่อเห็นว่าตัวเองใกล้จะถูกจับแล้วก็ยอมระเบิดร่างตัวเองตามที่เฒ่าเซียวบอก
พวกเขาต่างคิดเช่นกันว่าการตายในสนามรบมันย่อมดีกว่าการถูกจับและต้องเผชิญกับชะตากรรมที่แสนเจ็บปวดในอนาคต
แต่แล้วในระหว่างที่พวกเขากำลังสิ้นหวัง เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นในสนามรบ
จู่ ๆ ก็มีภูตนางฟ้าขอบเขตจักรพรรดิตนหนึ่งนำเหล่าภูตนางฟ้ากว่า 50,000 ตนมุ่งหน้าไปยังทิศทางของสำนักห้าวเทียน
ส่วนทางด้านสำนักห้าวเทียนเมื่อเห็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่ได้ลงมือโจมตีแต่อย่างใด ในทางกลับกันพวกเขากลับเปิดทางให้กลุ่มภูตนางฟ้ากว่า 50,000 ตนไปหลบในค่ายของพวกเขาอีกต่างหาก
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้มันทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงในทันที
เฒ่าเซียวตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาลทันที “ลั่วเฉินลู่! นี่เจ้าไม่อับอายบ้างรึไงที่ยอมจำนนกับศัตรูง่าย ๆ แบบนี้?!”
“องค์จักรพรรดินีเป็นผู้บอกเองว่าพวกข้าสามารถตัดสินใจในชะตาชีวิตของพวกข้าได้ ดังนั้นข้าผิดตรงไหนที่เลือกทางเดินเช่นนี้?” ลั่วเฉินลู่ตะโกนกลับ “ทางเลือกของข้าคือ ข้าจะพาคนของข้าลี้ภัยมาอยู่กับสำนักห้าวเทียน อย่างน้อย ๆ ทางเลือกของข้าก็เพื่อเป็นการทำให้เผ่าของเราจะยังมีผู้รอดชีวิตสืบต่อไป!”
“เซียวเฟิงอู่ ตัวเจ้าเองก็เถอะหากเจ้าเต็มใจ นี่คือเจ้าสำนักห้าวเทียน ไป๋หลีเหวินเซี่ยง เจ้าจงลองคุยกับเขาดู ข้าแน่ใจว่าถ้าหากเจ้ายอมจำนนต่อเขาจริง ๆ เขาจะยอมรับเจ้าและคนของเจ้ามาลี้ภัยอยู่ในสำนักห้าวเทียนเหมือนกันกับข้าแน่นอน!”
ไป๋หลีเหวินเซี่ยงยิ้ม และพูดกับเซียวเฟิงอู่ว่า “น้องลั่วพูดถูกแล้ว หากท่านยอมจำนนต่อข้า ข้ารับปากว่าข้าจะอนุญาตให้ท่านพร้อมคนของท่านเข้ามาอาศัยอยู่ในสำนักของข้าได้และข้าสัญญาว่าพวกข้าจะดูแลพวกท่านเป็นอย่างดีให้เหมือนกับคนในครอบครัวของข้าเอง เอาล่ะตอนนี้ท่านก็รีบตัดสินใจหน่อยก็แล้วกัน ถึงแม้ว่าข้าจะปราณีพวกท่าน แต่กองกำลังอื่น ๆ คงไม่ใจดีแบบข้าแน่นอน”
“ฝันไปเถอะไอ้สารเลว!” เซียวเฟิงอู่ตะคอกกลับทันที “ลั่วเฉินลู่ จากที่ข้าเดาแล้วเจ้าคงไม่ได้เพิ่งรู้จักไอ้เวรไป๋หลีเหวินเซี่ยงแค่สองสามวันใช่ไหม? นี่พวกเจ้าทั้งคู่สมรู้ร่วมคิดกันมานานแค่ไหนแล้ว!?”
ไป๋หลีเหวินเซี่ยงยิ้มและพูดว่า “ท่านนี่ช่างใช้คำได้หยาบคายจริง ๆ ทำไมท่านถึงต้องใช้คำว่าสมรู้ร่วมคิดด้วย? ข้ากับน้องลั่วก็แค่คบค้ากันเป็นสหายมานานแล้วก็เท่านั้น”
เซียวเฟิงอู่จ้องเขม็งไปที่ลั่วเฉินลู่ด้วยสายตาเย็นชาอยู่นานโดยที่ไม่สนใจไป๋หลีเหวินเซี่ยงเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะพูดว่า “ลั่วเฉินลู่ ในเมื่อเจ้ากล้าสมรู้ร่วมคิดกับไป๋หลีเหวินเซี่ยงได้แบบนี้ งั้นเรื่องที่องค์หญิงถูกลักพาตัวไปมันก็เป็นฝีมือของเจ้าด้วยใช่ไหม!?”
“เมื่อ 800 ปีก่อนมันก็เป็นเจ้าที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยขององค์หญิง แต่จากนั้นนางก็ถูกลักพาตัวอย่างไร้ร่องรอย หากไม่ใช่เจ้ามันก็คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้!”
“มันจะมีประโยชน์อะไรที่ขุดเรื่องเก่าขนาดนั้นมาพูดตอนนี้?” ลั่วเฉินลู่ตอบกลับ “ตอนนี้เจ้าควรจะคิดถึงเรื่องความอยู่รอดของตัวเจ้าเองก่อนเป็นอันดับแรกต่างหาก!”
แต่แล้วในทันที่ที่ลั่วเฉินลู่พูดจบ เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีสายตาอาฆาตคู่หนึ่งจ้องมาที่เขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ในตอนแรกจักรพรรดินีภูตนางฟ้าเตรียมใจที่จะตายอยู่แล้วในวันนี้
และเมื่อนางเห็นชายชราขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดปรากฏตัวขึ้น นางก็รู้แล้วว่าทั้งสี่กองกำลังเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีและจุดมุ่งหมายของพวกเขาก็คือการทำลายล้างป่าภูตนางฟ้าให้ย่อยยับ
และเมื่อนางเองรู้ว่าวันนี้นางต้องตายแน่นอน และแน่นอนว่านางเองก็ไม่ได้กลัวตาย ดังนั้นนางจึงไม่หยี่ระกับอะไรอีกแล้ว
แต่ในเวลาเดียวกับที่นางทำใจยอมรับชะตากรรมของนางได้เรียบร้อย นางกลับได้ยินคำพูดของลั่วเฉินลู่ที่ทำให้นางปล่อยวางไม่ได้
หากจะพูดถึงกลุ่มคนที่นางเกลียด แน่นอนว่านางเกลียดคนทุกคนที่รังแกเผ่าภูตนางฟ้าของนาง แต่คนที่นางเกลียดที่สุดจริง ๆ ก็คือคนที่ลักพาตัวลูกสาวของนางไป ตอนนี้เมื่อนางรู้แล้วว่าลั่วเฉินลู่คือผู้ทรยศ นางจึงตัดสินใจในทันทีว่าวันนี้ต่อให้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตามนางจะฆ่าลั่วเฉินลู่ให้ได้!
นางเร่งโคจรพลังของนางเพิ่มไปที่ปีกเทพสังหารในทันที และควบคุมให้มันหลอมรวมเข้ากับปีกของนางและใช้อำนาจของมันทั้งหมดเจาะทะลวงม่านพลังของชายชราและพุ่งมาหาลั่วเฉินลู่ในทันทีด้วยความเดือดดาล
อันที่จริงแล้วด้วยอำนาจของปีกเทพสังหาร หากนางต้องการจะหนีไปคนเดียวนางย่อมทำได้แบบสบาย ๆ
แต่เพราะความหวังที่นางยังคงหวังว่านางอาจจะสามารถช่วยเผ่าของนางให้รอดพ้นหายนะครั้งนี้ได้ นางจึงยังไม่หนีไปไหนและใช้อำนาจของปีกเทพสังหารต่อสู้กับชายชราอย่างสุดฤทธิ์..
แต่ตอนนี้เมื่อนางรู้แล้วว่าใครเป็นผู้ทรยศ ดังนั้นนางจึงไม่สนอะไรอีกแล้วและพร้อมยอมแลกทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตลั่วเฉินลู่
แต่แล้วก่อนที่นางจะบุกเข้าถึงตัวลั่วเฉินลู่ ชายผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากค่ายของสำนักห้าวเทียน
ชายผู้ที่เพิ่งเดินออกมานั้นมีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตราชันเท่านั้น
หากพูดถึงหลักเหตุผลแล้ว ชายผู้นี้ที่มีระดับการบ่มเพาะขอบเขตราชันนั้นไม่อาจต่อกรได้กับจักรพรรดินีภูตนางฟ้าที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิและมีปีกเทพสังหารได้แน่นอน
แต่เมื่อชายผู้ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นโบกมือ สะพานสีทองขนาดยักษ์กลับปรากฏขึ้นขวางระหว่างนางกับค่ายของสำนักห้าวเทียนเอาไว้
เมื่อสะพานสีทองปรากฏขึ้นมันก็เหมือนกับว่าทั้งบริเวณค่ายของสำนักห้าวเทียนมีโดมพลังขนาดยักษ์ครอบอยู่
บรรดาผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็อุทานขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “สะพานทองคำเชื่อมทศทิศ!”
แม้แต่จักรพรรดินีภูตนางฟ้าที่เห็นเช่นนี้ก็ยังแสดงสีหน้าโง่งมและรู้ได้ทันทีว่าต่อหน้าสะพานทองคำนี้ นางคงไม่มีหวังที่จะฆ่าลั่วเฉินลู่ได้แน่นอน
ต่อให้เป็นผู้ที่สร้างวิถีเต๋าได้ก็ยังไม่สามารถทำลายสะพานในตำนานนี้ได้ นับประสาอะไรกับนางที่มีความแข็งแกร่งแค่ขอบเขตมหาจักรพรรดิที่จะทำลายมัน?
“พวกมันช่างเตรียมตัวกันมาดีจริง ๆ…” จักรพรรดินีภูตนางฟ้าหัวเราะด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ตอนแรกก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดกับอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นปลายที่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อยับยั้งนาง และตอนนี้ก็เป็นสะพานทองคำเชื่อมทศทิศปรากฏขึ้นอีก ทั้งหมดนี้ทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง
ชะตากรรมของเผ่านางถูกกำหนดให้จบลงวันนี้เป็นที่เรียบร้อย…
เมื่อเห็นเช่นนี้นางจึงเหลือเพียงทางเลือกเดียวคือใช้พลังทั้งหมดที่นางมีส่งไปให้กับปีกเทพสังหาร และใช้มันบินไปทำลายที่ตั้งของอาณาจักรอ้าวเฟิง สำนักห้าวเทียน สำนักไร้ขอบเขตและหมู่บ้านกระบี่โลหิตที่อยู่ในอาณาเขตของพวกเขา และลากชีวิตของผู้คนทั้งสี่กองกำลังนี้ให้ตายไปกับนางให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว นางจึงสยายปีกเตรียมพร้อมจะบินไปยังบ้านเกิดของทั้งสี่กองกำลัง เพราะถ้านางไม่รีบไปตอนนี้ นางอาจจะหมดโอกาสที่จะได้ล้างแค้นให้กับคนของนาง
แต่แล้วก่อนที่นางจะทันได้จากไป จู่ ๆ ท้องฟ้าที่ด้านหลังค่ายของอาณาจักรอ้าวเฟิง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ก็กลายเป็นสีแดงฉานและค่อย ๆ คืบคลานขยายเข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมกับกลิ่นเลือดที่เหม็นฉุนยิ่งกว่าในสนามรบนับร้อยเท่าก็ลอยตามเข้ามา!