ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 713 ร่ำรวยล้นฟ้า

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ประตูศิลาด้านหลังของเยี่ยนจ้าวเกอเปิดออก ความว่างเปล่าที่แสงสว่างมืดสลัวกระจายอยู่เบื้องหน้าพลันเริ่มจับตัวกันใหม่

พวกหลัวจื้อเทาและโจวฮ่าวเซิงที่อยู่ไกลออกมา และกัวซงที่กำลังจะลงมือโจมตีใส่ตนอยู่ใกล้ๆ ต่างหายไป

สุสานจักรพรรดิประกายกาฬปรากฏขึ้นอีกครั้ง พื้น ทางเดินสุสาน กำแพง และหลังคาที่แข็งแกร่งโผล่ขึ้นเบื้องหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ

แต่ว่าไม่ทันไร แค่พริบตาถัดมา สุสานก็แยกตัว กลายเป็นฝุ่นผงไร้รูปร่าง กระจัดกระจายกลายเป็นความว่างเปล่าหนาหนัก

“หนีไปที่ไหน?” กลางความว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไป หลัวจื้อเทาถือตะเกียงประกายกาฬ สายตาวาววับ

ลวดลายแสงสว่างกระจายถี่ยิบบนผิวของตะเกียงประกายกาฬ กำลังจะจุดไฟตะเกียงให้สว่างขึ้นอีกครั้ง

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ลุกลี้ลุกลน ฝ่ามือฟาดใส่ประตูศิลา

ด้านในประตูที่เปิดออกพลันมีลำแสงประหลาดหลายสายพุ่งออกมา

แสงสว่างในความว่างเปล่าที่เดิมทีก็มืดสลัวอยู่แล้วริบหรี่ลง ถึงขั้นที่แม้แต่ตะเกียงประกายกาฬยังสั่นไหวเบาๆ

กระแสปั่นป่วนของมิติที่สับสนหายไปอีกครั้ง กลายเป็นโครงสร้างภายในของสุสานประกายกาฬ

กัวเซิงผลักฝ่ามือใส่กำแพงของเส้นทางในสุสาน

เขาขมวดคิ้วมองภาพตรงหน้า เพราะไม่รู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกออยู่ที่ใด

ทุกคนในตอนนี้ต่างยังอยู่ในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ แต่ว่าอยู่ในมิติที่แตกต่าง หลังจากความว่างเปล่ากลายเป็นสุสานจักรพรรดิแล้ว ก็ตั้งอยู่ในตำแหน่งแต่ละตำแหน่งของสุสานจักรพรรดิ

ทางเดินของสุสานที่ซับซ้อน ซึ่งก่อนหน้านี้ยังมองเห็น แต่ตอนนี้กลับมองหาเส้นทางไม่เจอ ทำให้คนยากแยกแยะทิศทาง

จอมยุทธ์สำนักแสงสว่างและจอมยุทธ์สำนักความมืดต่างกระจัดกระจายในชั่วพริบตา มีแต่คนที่กำลังต่อสู้ในมิติเดียวกันเท่านั้นที่ยังคงเผชิญหน้ากันอยู่

ตรงหน้าของหลัวจื้อเทาเหลือเพียงโจวฮ่าวเซิงและร่างความมืดสถิต

เขาไม่สนใจโจวฮ่าวเซิง แต่นิ่วหน้ามองตะเกียงประกายกาฬในมือ และสุสานที่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

สุดท้าย สายตาของหลัวจื้อเทาตกลงบนโลงศพศิลาที่ตั้งตะเกียงประกายกาฬไว้

ขณะมองโลศพศิลาที่ว่างเปล่า สายตาของเขาก็เคร่งขรึมลง ‘องค์จักพรรดิสวรรคตไปแล้วจริงๆ หรือ? ประตูบานนั้นอยู่ตรงไหนของสุสานจักรพรรดิกันแน่ ด้านหลังคืออะไร?’

โจวฮ่าวเซิงสีหน้าอึมครึม มองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้า รู้สึกไม่เข้าใจเช่นกัน

สุดท้ายยหลัวจื้อเทาละสายตา หลุบเปลือกตาลง

ลวดลายแสงพรั่งพรูออกมาบนตะเกียงประกายกาฬอย่างต่อเนื่อง แล้วแผ่ขยายอย่างไม่หยุดยั้ง

หลัวจื้อเทาหลอมตะเกียงประกายกาฬด้วยพลังทั้งหมด หมายจะควบคุมของวิเศษชิ้นนี้ให้ได้โดยสมบูรณ์ เพื่อจะได้เก็บไว้ให้ปลอดภัย

ณ ส่วนลึกของสุสาน เยี่ยนจ้าวเกอมองเส้นทางสุสานที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง ขณะที่ถอนใจ ก็รู้สึกสนใจประตูบานใหญ่ซึ่งอยู่เบื้องหลังมากกว่าเดิม

การคุกคามจากหลัวจื้อเทาและกัวซงได้รับการแก้ไขแล้วชั่วคราว แต่วิกฤตการณ์ยังคงอยู่

การปล่อยให้หลัวเจื้อเทากับสำนักแสงสว่างได้ตะเกียงประกายกาฬไป จนทำให้พลังของสำนักแสงสว่างเพิ่มขึ้น ย่อมไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องการจะเห็น

หลังจากสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มก็สาวเท้าเข้าไปในประตูศิลาที่เปิดขึ้น

หลังจากเข้ามาแล้ว แสงสว่างมืดสลัวลวงจิตใจซึ่งกระจายอยู่ทุกที่ในสุสาน ต่างก็หายไป

ตรงหน้าคือมิติต่างแดนที่ว่างเปล่า เป็นสีดำขลับ มีแต่ที่ไกลออกไปเท่านั้นที่สามารถเห็นแสงสว่างที่พร่างพราว และบริสุทธิ์ซึ่งกำลังเปล่งประกายระยิบระยับได้

เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสกับการไหลของกลิ่นอายที่อยู่ด้านในมิติต่างแดนนี้อย่างละเอียด ครู่ต่อมาสีหน้าค่อยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง

มิติต่างแดนแห่งนี้เหมือนกับภาพที่ความขมุกขมัวของการเปลี่ยนแปลงจักรวาล ทุกสิ่งอยู่ในความมืดเริ่มต้น จนกระทั่งแสงแรกกำเนิดขึ้น

และหลังจากแสงสว่างจุดแรกกำเนิดขึ้น เวลาก็คล้ายกับหยุดนิ่งลง ไม่ได้ไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงต่อ

ทุกอย่างต่างรักษาวินาทีแรกสุดนั้นไว้ การเคลื่อนคล้อยของเวลาราวกับสูญเสียความหมาย ดูลี้ลับน่าอัศจรรย์ยิ่ง

เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใกล้แสงสว่างจุดแรกนั้น แต่ว่าความว่างเปล่าของจักรวาลอันมืดมิดก็เหมือนกับไร้สิ้นสุด ไม่ว่าเขาจะเดินไปนานขนาดไหน แสงสว่างจุดนั้นก็คล้ายกับยังคงอยู่ห่างไกล ไม่ได้หดใกล้เข้ามาแม้แต่น้อย

ความรู้สึกนั้นราวกับตัวเองเดินอยู่ที่เดิมก็ไม่ปาน

ขณะมองแสงสว่างที่ไกลจนไม่อาจไปถึง สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นล้ำลึกขึ้น โคจรเคล็ดวิชาในคัมภีร์นภาไร้ขีดจำกัดอยู่เงียบๆ

กระแสปราณหลายสายที่เหมือนกับความโกลาหล กระจายอยู่รอบตัวของเยี่ยนจ้าวเกออย่างไร้สุ้มไร้เสียง

เยี่ยนจ้าวเกอเดินหน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ความว่างเปล่าอันมืดมิดในที่สุดก็มีความรู้สึกของระยะห่างแล้ว เขาสามารถใช้ตาเนื้อแยกแยะได้ว่า ตนค่อยๆ เข้าใกล้แสงสว่างจุดนั้นทีละนิดๆ แล้ว

ในที่สุดก็มาถึงใจกลางมิติต่างแดนแห่งนี้ จุดแสงที่เห็นในตอนแรกยังคงเล็กดุจเมล็ดข้าวโพด

ชายหนุ่มยื่นมือออกไป กระแสปราณที่เหมือนความโกลาหลจากรอบๆ ตัวรุกล้ำแสงสว่างที่เหมือนเมล็ดข้าวโพดนี้

ประกายแสงไม่ได้อ่อนโยนเช่นเดิม แต่เยี่ยนจ้าวเกอสังเกตเห็นว่า ในแสงสว่างที่เล็กเหมือนกับเมล็ดข้าวโพดและผงทรายถึงกับยังซ่อนโลกไว้อีกใบ

ภายใต้การครอบคลุมของประกายแสงนั้น คือแท่นบูชาแท่นหนึ่ง

ถึงแม้จะเล็กจ้อย ทว่ากลับทำให้คนที่มองเกิดความรู้สึกว่ายิ่งใหญ่ถึงขีดสุด

เยี่ยนจ้าวเกอถึงขั้นที่รู้สึกได้ว่า แท่นบูชาแท่นนี้ใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าสุสานจักรพรรดิประกายกาฬเสียอีก

‘ปัญหาคือจะเข้าไปได้อย่างไร?’ เยี่ยนจ้าวเกอพินิจอย่างละเอียด ทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง

เขายื่นนิ้วออกมาแตะแสงสว่างที่เหมือนกับเม็ดทรายเบาๆ แสงแม้จะเหมือนจุดเพียงหนึ่งจุด แต่เยี่ยนจ้าวคล้ายสัมผัสกับโลกใบหนึ่งอยู่

พลังแห่งเขตแดนเหมือนกับสิ่งของที่มีรูปร่าง ขวางกั้นเยี่ยนจ้าวเกอเอาไว้

แต่ว่าในครั้งนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม จิตพลังที่แฝงอยู่ในแสงสว่างนั้นไม่ใช่วิชาของสำนักประกายกาฬ

ยังมีกลิ่นอายของพลังที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกคุ้นเคยชนิดหนึ่งแทรกอยู่ด้านในด้วย

สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ‘เหตุใดที่นี่จึงมีจิตพลังของคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิต อีกทั้งความเข้าใจที่มีต่อตัวคัมภีร์กลับเหมือนของท่านแม่เล่า?’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งนึกย้อนถึงการสนทนากับเยี่ยนตี๋ผู้เป็นบิดาในตอนนั้น ทางหนึ่งยื่นนิ้วออกมาวาดกลางอากาศ

ญาณจริงแท้ของเขากลายเป็นธารแสง ขีดเขียนใส่อากาศ ไม่ทันไรก็เกิดเป็นลวดลายอาคมที่มีเอกลักษณ์อันหนึ่ง

ลวดลายอาคมหมุนวน จิตอันลี้ลับไหลออกมาจากด้านใน

สิ่งที่เหมือนกับรหัสลับซึ่งเยี่ยนตี๋ได้รับเมื่อครั้งอดีตต่างแฝงอยู่ด้านใน

ลวดลายอาคมในภาพเบื้องหน้ามีบางอันไร้ประโยชน์ แต่มีบางอันเริ่มแสดงผล

ลวดลายอาคมหดเล็ก ยังเล็กยิ่งกว่าเม็ดทราย พุ่งลงไปหาแท่นชูชาแท่นนั้น

ประกายแสงที่เหมือนกับเม็ดทรายขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับดวงแสง ประตูบานหนึ่งบนผิวของดวงแสงอ้าออกอย่างไร้เสียง

เยี่ยนจ้าวเกอจุ๊ปากชมเชย

หรือว่าคนที่เข้ามาในสุสานจักพรรดิประกายกาฬก่อนหน้า คือเสวี่ยชูฉิง?

นางใช้อะไรในการเข้ามายังสุสานจักรพรรดิประกายกาฬกัน?

หากคาดคะเนตามพลังฝึกปรือในตอนแรกของนาง ต่อให้จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โอกาสก็มีค่อนข้างน้อยอยู่ดี นอกเสียจากว่าจะอาศัยอยู่ในโลกที่การไหลของเวลาค่อนข้างเร็วหลายปี

หรือนางจะมีวิธีพิเศษ ทว่าตอนนี้ไม่ได้มีร่องรอยที่บอกว่านางเกี่ยวพันกับสำนักประกายกาฬ

ขณะที่ครุ่นคิด เยี่ยนจ้าวเกอก็เข้าไปในโลกที่อยู่ด้านในดวงแสง

แท่นบูชาที่มีสภาวะยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางความว่างเปล่า ราวกับถมพื้นที่รอบๆ ให้เต็ม

ด้านบนแท่นบูชามีแสงสว่างที่ละลานตา ซึ่งเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด เปลี่ยนแปลงไปมา

ส่วนด้านใต้ของแท่นบูชากองไว้ด้วยสิ่งของมากมาย

เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามองครั้งหนึ่ง อดตดตะลึงไม่ได้ ‘ประเสริฐนัก ครั้งนี้รวยเละแล้ว’

เขาเพ่งตามองไป ทรัพยากรอันล้ำค่าและของวิเศษหายากแต่ละชนิด ต่างกองสุมอยู่ใต้แท่นบูชาดุจภูเขาเลากา

สำนักประกายกาฬในยุครุ่งเรืองร่ำรวยล้นฟ้า

ถึงแม้ว่าตะเกียงประกายกาฬที่สำคัญที่สุดจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ว่าของวิเศษส่วนหนึ่งที่ฝังอยู่ในสุสานพร้อมจักรพรรดิประกายกาฬอิ่นเทียนเซี่ย ก็ทำให้คนตาค้างได้แล้ว

กระนั้น สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอสนใจมากกว่าก็คือสิ่งที่อยู่บนแท่นบูชา