ขณะที่พูด ลั่วเจียเรียกขนปีกแท้จริงของหงส์ดำเลือดทมิฬออกมาโบกเบาๆ กลางห้วงอากาศ
วู้ม!
กลางห้วงอากาศ เสียงธรรมคลุมเครือสะท้อนกลับ ดังลอยมาจากบริเวณไกลๆ พร้อมกันนั้นยังมีเสียงระฆังก้องกระหึ่มดังตามมาด้วยสายหนึ่ง แกร่งกร้าวกำทวน
ชั่วขณะนั้นทุกคนก็เห็นว่ามีเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีดำลุกโชนบนขอบฟ้าไกลๆ เวิ้งนภาล้วนแต้มด้วยสีดำมืดมนอนธการ ประหนึ่งมุมของราตรีนิรันดร์
หง่าง!
เสียงระฆังนั้นราวกับระฆังย่ำรุ่งกลองพลบค่ำ ซ้ำยังเหมือนเสียงเตือนโลก ชะล้างร่างกายและจิตใจมนุษย์ พาให้พวกหลินสวินล้วนรู้สึกสั่นสะเทือน กึกก้องสนั่นหวั่นไหวกระทั่งคนหูหนวกยังได้ยิน
“สุดยอด!” หลินสวินตกใจ
พวกเขาไม่ได้โอ้เอ้ มุ่งปราดไปยังที่ห่างไกล ไม่นานก็มองเห็นอารามเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่บนซากปรักหักพัง
อารามเก่าแก่ผนังกำแพงทรุดโทรม เผยให้เห็นซากสถานพังทลาย ทุกหย่อมหญ้าคละคลุ้งด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ปรากฏเปลวเพลิงสีดำที่เสมือนคุโชนอยู่
หง่าง!
เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ เสียงระฆังยิ่งก้องกังวานขึ้นประดุจทำนองสวดของภิกษุ พาให้พลังทั่วร่างของพวกหลินสวินไหวสะเทือน เลือดลมทั่วร่างร้องคำราม คล้ายกับใกล้ถูกชะล้างทำความสะอาด
ประตูใหญ่อารามเก่าแก่ปิดสนิท แต่กลับมีแสงธรรมปานเทพศักดิ์สิทธิ์แผ่กระจาย พาให้ที่แห่งนี้ดูครัดเคร่งราวกับแดนพิสุทธิ์ก็ไม่ปาน
“ที่นี่ไม่ใช่จุดที่ตรึงผนึก เหตุใดถึงปรากฏอารามสมบัติเก่าแก่ขึ้นได้” ซุ่นไป๋เสวียนงงงัน
“ที่นี่น่าจะถูกสร้างขึ้นโดยอริยบุคคลบรรพกาลของอารามกษิติครรภ์ผู้นั้น หรือไม่เสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นก็น่าจะถูกผนึกไว้ในนั้น” แม่นางเยวี่ยเริ่มไม่แน่ใจบ้างแล้วเช่นกัน
ถึงแม้นางจะรู้เรื่องราวมากมาย แต่กลับไม่เคยประจักษ์ด้วยตาตัวเองเลยสักครั้ง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มาถึงซากสถานลึกลับแห่งนี้เช่นกัน
“ข้าสัมผัสได้แล้ว เสี้ยววิญญาณหงส์ดำเลือดทมิฬอยู่ในนั้น!” เวลานี้เห็นได้ชัดว่าลั่วเจียตื่นเต้นมาก เนตรดาราเอ่อล้นแววหลากสีสัน
“อารามเก่าแก่แห่งนี้ก็คือผนึก!” เกือบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินแผ่จิตรับรู้ออกไป ก็รับรู้ได้ถึงบริเวณที่ผิดปกติบางจุดเช่นเดียวกัน
อารามเก่าแก่เงียบสงัด ทรุดโทรม กระดำกระด่าง ดูเหมือนพร้อมจะพังครืนลงมาทุกเมื่อ แต่กลับมีพลังผนึกต้องห้ามไร้รูปครอบมันไว้ภายในนั้น
กลิ่นอายผนึกต้องห้ามนั้นน่าตกใจยิ่ง พาให้หลินสวินใจเต้นเนื้อกระตุก ตระหนักถึงอันตรายถึงขีดสุด
แม่นางเยวี่ยเรียกกระดิ่งสีม่วงของตนออกมา เขย่าเบาๆ คลื่นเสียงสีม่วงสายแล้วสายเล่าแผ่กว้าง ขณะที่สัมผัสกับบานประตูอารามนั้น แสงธรรมอันสว่างไสวระเบิดออกมาทันทีทันใด
แสงธรรมนั้นทั้งพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ไพศาลและไร้ขอบเขต แต่กลับปรากฏสีดำเข้มสนิท พาให้ผู้คนไม่รู้สึกว่าใจสงบ ตรงข้ามกลับสะท้านใจสุดจะเปรียบ
“นี่คือผนึกเทพฟ้าประทาน!”
หว่างคิ้วแม่นางเยวี่ยเปี่ยมด้วยความเคร่งขรึม “หมายจะเข้าสู่ประตูบานี้ จำเป็นต้องคลี่คลายปริศนาลับภายในนั้น หากใช้พลังฝืนเปิดกลับจะกระตุ้นให้มันก่อเคราะห์สังหารน่าหวาดกลัวออกมา ผลที่ตามมานั้นเหลือจะจินตนาการ”
เวลานี้สายตาทุกคู่ล้วนมองไปทางหลินสวิน เพราะต่างรู้ดีว่าเขาคือปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่เชี่ยวชาญศาสตร์การสลักวิญญาณเพียงคนเดียวในที่นี้
“ให้ข้าลองดู”
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่ง ขับเคลื่อนอานุภาพวิญญาณแห่งพลังจิต เริ่มสอดส่องและสัมผัสอารามเก่าแก่หักพังอันลึกลับแห่งนี้
เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ค้นพบความแตกต่าง
ในความรู้สึกของเขา อารามแห่งนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แสงธรรมพร่างพรายกระจายตัวอยู่ทุกแห่งในอารามเก่าแก่นี้ กลิ่นอายดุจหุบเหวดั่งอเวจี ดูคล้ายพิสุทธิ์และไพศาล แต่กลับซ่อนเคราะห์สังหารที่น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบเอาไว้
ระลอกคลื่นผนึกต้องห้ามสายแล้วสายเล่าตัดสลับไปมา สำแดงเป็นแสงธรรมสีดำวงแล้ววงเล่า
สิ่งที่ทำให้หลินสวินตกใจคือ ในแสงธรรมแต่ละวงนั้นเสมือนมีเงามายาภิกษุนั่งขัดสมาธิอยู่รูปแล้วรูปเล่า บ้างก็แย้มยิ้มแจ่มใส บ้างก็หลุบตาลง บ้างก็สีหน้าเคร่งขรึม บ้างก็ถมึงทึง…
เพียงชั่ววูบเท่านั้น ในใจหลินสวินก็สั่นสะท้าน รับรู้ถึงกลิ่นอายสูงสุดที่บีบคั้นหาใดเปรียบ พาให้จิตวิญญาณของเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกแช่แข็ง
“สยบ!”
หลินสวินโคจรเคล็ดเวทบริกรรมโดยไม่รีรอ ลักษณ์สุริยันจันทราดาราสามประสานปรากฏ ถึงได้ขจัดแรงกดดันและความอึดอัดในจิตวิญญาณไปได้
เวลานี้ขณะที่เขาจะไปสัมผัสอีกครั้ง อารามแห่งนี้ก็ต่างออกไปอีกแล้ว บนรอยผนึกทุกแห่งต่างหลอมประทับรอยสลักวิญญาณสีดำแปลกประหลาดแน่นขนัด แออัดเบียดเสียด มากเสียยิ่งกว่ามาก ผนึกต้องห้ามลึกลับนี้สร้างขึ้นมาจากพวกมันนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าหากหมายจะเข้าสู่อารามเก่าแก่ จะต้องไขปริศนารอยสลักวิญญาณเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน!
“ขอทุกท่านช่วยข้าเฝ้าระวังด้วย”
หลินสวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครา ความน่าสะพรึงของผนึกต้องห้ามนี้คือสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน มันทั้งคลุมเครือและยากคลี่คลายสุดขั้ว ขณะที่หยั่งอนุมานนั้นไม่สามารถแบ่งสมาธิได้โดยเด็ดขาด
“วางใจ มีข้าอยู่ ผู้ใดก็ไม่สามารถรบกวนเจ้าแม้เพียงเศษเสี้ยว” เวลานี้ลั่วเจียเผยความแน่วแน่ยิ่ง นัยน์ตาใสกระจ่างดุจประจุอสนี ผุดความขึงขังที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้
นางต้องพึ่งหลินสวินจึงจะสามารถเข้าไปในนี้ได้ เพราะฉะนั้นย่อมไม่ยอมให้เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น
“เฮอะ!” ซุ่นไป๋เสวียนดูเหมือนจะไม่ชอบใจยิ่ง แค่นเสียงเย็นหนึ่งครา แต่เมื่อสบสายตาเย็นเยียบของลั่วเจียเข้า สุดท้ายเขาก็กล่าวถอนหายใจว่า “ได้ ข้าจะฝืนใจช่วยเฝ้าระวังให้เจ้าหมอนี่สักหน”
“ต้องระวังผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์พวกนั้นด้วย” แม่นางเยวี่ยเอ่ยเตือนหนึ่งครา “พวกเขาอาจเข้าไปในอารามแห่งนี้แล้ว แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกรูเข้าไปกันหมด”
“ข้าอยากให้พวกเขากระโจนออกมาจนจะทนไม่ไหวแล้ว!” ซุ่นไป๋เสวียนได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ใจต่อสู้พลุ่งพล่าน เพลิงโทสะในใจเขายังไม่ได้ระบายออกมาอย่างหมดจด
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน หลินสวินนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นเรียบร้อยแล้ว เริ่มตั้งสมาธิทำการอนุมาน
เกี่ยวกับรอยสลักวิญญาณสายนั้น เขาไม่รู้สึกแปลกหน้าเลยสักนิด เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องไปสลายผนึกต้องห้ามที่สันนิษฐานว่าอริยบุคคลทิ้งเอาไว้ ข้อนี้พาให้เขายิ่งรู้สึกกดดันเป็นเท่าตัว
เพียงแต่เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ในหัวเขาก็ไม่มีความคิดใดๆ จมภวังค์ไปกับระลอกคลื่นผนึกต้องห้ามที่ครอบคลุมอารามเก่าแก่โดยสิ้นเชิง
ผนึกต้องห้าม สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ อาจเป็นพลังที่ลึกลับและน่าสะพรึง ดึงดูดพลังแห่งฟ้าดิน แปรเป็นสิ่งอัศจรรย์ลึกลับยากหยั่งถึง
แต่ในสายตาปฐมาจารย์สลักวิญญาณอย่างหลินสวิน ผนึกต้องห้ามก็ไม่พ้นเป็นเพียงพลังค่ายกลที่สร้างขึ้นจากรอยสลักวิญญาณอย่างหนึ่งเท่านั้น
ยิ่งเป็นผนึกต้องห้ามที่ยากพิชิตชัย สำหรับปฐมาจารย์สลักวิญญาณก็ยิ่งเป็นโอกาสเรียนรู้ล้ำค่าที่หายากสุดจะเปรียบเปรยอย่างหนึ่ง
ขอเพียงทำลายลงได้ ก็เท่ากับการไขคำตอบอย่างหนึ่ง สามารถได้รับปริศนาและนัยเร้นลับที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น นำมาประยุกต์กับตนเอง ใช้สิ่งนี้ทำให้ระดับความเชี่ยวชาญด้านการสลักวิญญาณของตนพัฒนาขึ้น
……
เวลาผันผ่าน หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ในกระบวนการนี้ หลินสวินนั่งหลังตรงบนพื้น สีหน้าสงบนิ่งไม่ไหวติง มีกลิ่นอายสุกสว่างเหนือโลกีย์ ไม่เคยมีการเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย
นั่งอยู่เบื้องหน้าอารามเก่าแก่แห่งนี้ราวกับพุทธรูปดินเผาองค์หนึ่ง
แม่นางเยวี่ยเล่นกระดิ่งสีม่วงในมือ ไม่มีความร้อนรนให้เห็นสักเสี้ยว เห็นได้ชัดว่าสงบสำรวมยิ่ง
สายตาลั่วเจียกลับเย็นเยียบ เฝ้าระวังและตื่นตัวตลอดเวลา
ฟ้าดินแถบนี้มืดมน อารามเก่าแก่สภาพผุพัง ดูเหมือนเงียบสงบและปลอดภัยยิ่ง แต่กลับพาให้ผู้คนรู้สึกถึงบรรยากาศอันตรายบีบเค้นที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง
ซุ่นไป๋เสวียนกลับเริ่มร้อนใจบ้างแล้ว เขาตั้งตาคอยผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์พวกนั้นกระโจนออกมาตลอดเวลา แต่รอจนป่านนี้แล้วกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ สักนิด ข้อนี้พาให้เขากระวนกระวายยิ่ง
“เจ้าพวกลาหัวโล้นนี่ไม่ได้มีฉายาว่าผู้บำเพ็ญข้ามทุกข์หรอกหรือ เหตุใดถึงไม่ยอมมาโปรดสัตว์ข้าอีก” ซุ่นไป๋เสวียนไม่พอใจอย่างยิ่ง
“คุณชายซุ่น ประโยคนี้จะพูดพล่อยๆ ไม่ได้ เบื้องลึกเบื้องหลังอารามกษิติครรภ์ลึกล้ำยากหยั่งถึง หากถูกพวกเขามองเป็นพวกนอกรีต เกรงว่าท่านคงต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ถูกโปรดสัตว์ไปชั่วชีวิตแน่” แม่นางเยวี่ยเอ่ยเตือน
“เฮอะ ข้าไม่ใช่พวกหัวหดเสียหน่อย สงครามแห่งมหายุคใกล้มาเยือน ช่างหัวอารามกษิติครรภ์หรือสุคติครรภ์อะไรนั่นสิ หากกล้าขวางทางข้า แค่ล้างบางให้หมดก็สิ้นเรื่อง”
ซุ่นไป๋เสวียนทำหน้าดูถูกหยิ่งลำพอง เขาหาได้คุยโว แต่เพราะนิสัยเร่าร้อนจึงพูดมาจากใจจริงๆ
แม่นางเยวี่ยโจมตีอีกฝ่าย ก็ไม่รู้ว่ามีเจตนาหรือไม่ “เช่นนั้นข้าถามท่านหน่อยว่า ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้อยากยืมสมบัติของหลินสวินมาเล่นสักหน่อยหรือ เหตุใดจู่ๆ ยามนี้ถึงได้เปลี่ยนใจเสียแล้ว”
ดังคาด ซุ่นไป๋เสวียนคล้ายถูกจี้ใจดำ สีหน้าที่แต่เดิมหยิ่งลำพองทระนงพลันแข็งทื่อทันควัน มุมปากกระตุกน้อยๆ จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าไม่ต้องเซ้าซี้ เรื่องที่ข้าเคยบอกไว้ยังไม่เคยเปลี่ยนใจ เพียงแต่เวลานี้ยังไม่เหมาะก็เท่านั้น”
“หึๆ” แม่นางเยวี่ยหัวเราะอย่างมีเลศนัย
“เจ้าหัวเราะอะไร ตลกขนาดนี้เชียวหรือ” ซุ่นไป๋เสวียนขนชันทันใด รู้สึกว่าเสียงหัวเราะนี้ของแม่นางเยวี่ยน่ารังเกียจเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่ากำลังเย้ยหยันเขาอยู่
“ที่ข้าหัวเราะ ก็ไม่ใช่เพราะถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งซัดน่วมมาแล้วหรือ เหตุใดถึงไม่กล้าเผชิญหน้า หรือว่าท่านกลัวจริงๆ เสียแล้ว” แม่นางเยวี่ยกล่าวอย่างสบายๆ
“เจ้า…” สีหน้าซุ่นไป๋เสวียนแปรเปลี่ยนไปสุดขีด โกรธจนควันออกเจ็ดทวาร
และเวลานี้เอง เสียงสื่อจิตของแม่นางเยวี่ยก็ดังขึ้นในโสตประสาทเขา ‘รีบเตรียมตัวให้พร้อม ศัตรูกำลังมา!’
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ซุ่นไป๋เสวียนก็รู้สึกว่าพื้นดินที่เท้าตนระเบิดแตก ลำแสงเย็นเยียบปรากฏขึ้น พุ่งออกมาราวกับสายรุ้งวิเศษ
“ตาย!” ซุ่นไป๋เสวียนไม่ตระหนกกลับดีใจ ขณะที่ถอยหลบนั้นก็เสียบจ้วงทวนศึกสีทองในมือลงไปเต็มเหนี่ยว
เสียงกระแทกดังบาดหู แสงเย็นเยียบสายนั้นถูกทวนศึกซัดกระจุย
ตู้ม!
ทวนศึกเสียบกลางพื้น แหวกออกเป็นรอยแยกที่ลึกจนไม่อาจหยั่งรู้ พื้นดินแถวนั้นแตกระแหงเป็นรอยสายแล้วสายเล่า ดินโคลนพลิกตลบ
เสียงฟึ่บหนึ่งดังขึ้น เงาร่างสีดำสายหนึ่งปราดออกมา แต่ไม่ได้พุ่งไปทางซุ่นไปเสวียน กลับโฉบไปทางหลินสวินที่อยู่ใกล้ๆ
ภิกษุจีวรดำรูปนี้เคลื่อนไหวดั่งสายฟ้า ฉับไวดุจสายลม มือกระชับพลั่วจันทร์เสี้ยวสีดำเล่มหนึ่ง ว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ
แต่ยังมีคนที่เร็วกว่าเขา!
“เฉือน!” ทันทีที่ลั่วเจียซึ่งออมแรงรอคอยเริ่มลงมือ ก็ใช้กระบี่ยอดนภาเบิกมารออกมา คมกระบี่เรืองรองที่ครอบฟ้าคลุมดินเฉือนลงมา คละคลุ้งด้วยอานุภาพอริยะที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม
ฟุ่บ!
ภิกษุจีวรดำรูปนั้นไม่ทันหลบเลี่ยงก็ถูกปราณกระบี่ไพศาลปิดคลุม ทั้งตัวคนและแม้แต่พลั่วจันทร์เสี้ยวในมือก็ถูกปราณกระบี่ดับทำลายในบัดดล!
ดูเหมือนการระเหยผ่านอากาศไม่มีผิด
ความเผด็จการของสมบัติอริยมรรคอย่างกระบี่ยอดนภาเบิกมารได้สำแดงเดช ณ บัดนี้!
สวบๆ!
แต่ขณะเดียวกันนั้นก็มีเงาสีดำมากมายพุ่งออกมาจากใต้ดินในตำแหน่งต่างกัน บ้างก็มุ่งเข้าหาแม่นางเยวี่ย บ้างก็พุ่งไปทางหลินสวิน
ถูกลั่วเจียชิงตัดหน้าฆ่าศัตรู พาให้ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย เวลานี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะคว้าโอกาสเช่นนี้ไว้ได้ มีหรือจะประมาท
“สยบ!”
ในเสียงคำรามลั่น เหนือกระหม่อมของซุ่นไป๋เสวียนปรากฏกระถางมังกรขดขึ้น ส่องสะท้อนอานุภาพศักดิ์สิทธิ์สูงเสียดฟ้า มีแสนยานุภาพสยบห้วงอากาศ กำราบปฐพี พาให้ฟ้าดินแถบนี้ล้วนสั่นสะเทือน
ตู้ม!
กระถางใบนี้เปล่งแสง ส่งเสียงกัมปนาท แว่วเสียงถกมหามรรคดังขึ้น ทั่วกระถางสี่ด้านสาดแสงมรรคหนาทึบนับไม่ถ้วนกำราบลงมา
กระถางเทพมังกรขด!
สมบัติอริยะของบรรพบุรุษตระกูลซุ่น!
ชั่วขณะนี้อานุภาพของซุ่นไป๋เสวียนประดุจเทพ ราวกับกำลังจับกระถางสยบนิรันดร์กาล!
พรูดๆๆ!
เงาร่างหลายสายนั้นต่างไม่ทันตั้งตัว ร่างก็เป็นรูพรุนไปทุกส่วน จากนั้นระเบิดออกมาอย่างดุเดือด ฝนเลือดแตกฉานซ่านเซ็นทั่วฟ้าดินดั่งน้ำตก
——