“พวกหนูที่เอาแต่มุดหัวมุดหางก็ทำได้แค่นี้แหละ!”
กลางห้วงอากาศ ซุ่นไป๋เสวียนกระปรี้กระเปร่าแหงนหน้าระเบิดหัวเราะ คิดเองว่าตนในยามนี้จึงจะเป็นผู้ที่สะดุดตาที่สุด
นับจากพ่ายแพ้ให้กับซย่าจื้อ เขาก็เอาแต่อดกลั้น คิดว่านี่คือความอัปยศครั้งใหญ่ พาให้เขาโงหัวไม่ขึ้นจนป่านนี้
เขาอดทนมาแสนนาน ไม่อาจยอมให้ผู้อื่นเด่นกว่าอีกต่อไป หมายจะใช้โอกาสครั้งนี้ล้างอาย สร้างความสง่างามไร้เทียมทานของตนให้ปรากฏอีกครั้ง!
เพื่อทำให้แม่นางเยวี่ยที่ถากถางตนเบิกตาโตมองค้าง เขาซุ่นไป๋เสวียนใช่ว่าใครจะหัวเราะเยาะและสบประมาทได้ส่งเดช!
ชายหนุ่มหลงผิดอะไร ไปตายกันให้หมดซะเถอะ!
“หนวกหู!”
“หุบปาก!”
เพียงแต่ลั่วเจียกับแม่นางเยวี่ยต่างไม่ไว้หน้า พากันส่งเสียงผรุสวาท “หากรบกวนหลินสวินเข้า เจ้านั่นแหละที่เป็นตัวการร้าย!”
เสียงหัวเราะของซุ่นไป๋เสวียนชะงักกึก เนื่องจากหยุดลงกะทันหัน ลมหายใจเฮือกหนึ่งสำลักในลำคอเกือบขาดอากาศหมดสติไป ร่างกวัดแกว่งกลางอากาศแทบจะร่วงจ้ำเบ้า
น่าโมโหเกินไปแล้ว!
นี่คือท่าทีอะไรกัน
สีหน้าซุ่นไป๋เสวียนมืดมนไม่นิ่ง จวนจะคลั่งแล้วจริงๆ รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกเยียบย่ำโดยสิ้นเชิง เคืองขุ่นถึงขีดสุด
“คุณชายซุ่น ข้าต้องกล่าวขอโทษต่อท่าน” แม่นางเยวี่ยเอ่ย
ซุ่นไป๋เสวียนอึ้งงัน สีหน้าคลายลงไม่น้อย หญิงสาวนางนี้ไม่เลวทีเดียว รู้จักเป็นฝ่ายรับผิดก่อน พอจะแล้วกันไปได้
“เมื่อครู่เหตุที่ยั่วโมโหท่าน ก็เพราะอยากอาศัยโอกาสนี้ล่อบรรดาผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ที่ซ่อนตัวในความมืดออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเราทำสำเร็จแล้ว” แม่นางเยวี่ยกล่าวยิ้มๆ
“เจ้า…” ซุ่นไป๋เสวียนใจสะท้านเต็มแรงอีกครั้ง กล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “เมื่อครู่เจ้าใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อหรือ!”
“ข้าเห็นคุณชายอยากฆ่าศัตรูจนทนไม่ไหว ดังนั้นจึงใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ หรือว่ายามนี้คุณชายรู้สึกไม่เบิกบานใจหรือ” แม่นางเยวี่ยถาม
ซุ่นไป่เสวียนโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา แม้แต่ฆ่าศัตรูก็ยังถูกคนวางแผนไว้ให้ดิบดี พับผ่านี่มันเห็นตนเป็นหอกทวนชัดๆ!
เสียแรงที่ตนยังคิดว่าจะใช้โอกาสนี้ล้างอาย ที่ไหนได้กลับเป็นแผนการทั้งสิ้น!
เป็นครั้งแรกที่ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกว่าการเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนหนนี้ถือว่าซวยหนักแปดชั่วโคตร แรกเริ่มก็ถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งซัดน่วมหนึ่งยก จากนั้นก็ยังถูกแม่นางเยวี่ยคนนี้วางอุบายเหมือนคนโง่… เหตุใดยามนี้ผู้หญิงพวกนี้ถึงได้น่ารังเกียจยิ่งนัก!
เวลานี้หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิบนพื้นเรื่อยมาพลันหยัดตัวลุกขึ้น นัยน์ตาสีดำกระจ่างชัด พลุ่งพล่านด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์น่าสะพรึงสายแล้วสายเล่า
“ได้แล้วหรือ” ลั่วเจียถาม
“บอกได้แค่ว่าเข้าไปได้แล้ว”
หลินสวินมองบานประตูอารามเก่าแก่ที่ปิดสนิทบานนั้น กล่าวเสียงขรึมว่า “ผนึกต้องห้ามนี้เร้นลับและไม่ธรรมดาถึงที่สุด อนุมานได้จากภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถสอดส่องปริศนาทั้งหมดในนั้นได้”
“กล่าวเช่นนี้หมายความว่า ทำได้เพียงเข้าไปพลางคลี่คลายไปด้วยอย่างนั้นหรือ” แม่นางเยวี่ยคล้ายขบคิด
“ถูกต้อง” หลินสวินพยักหน้า
“เสียเวลาไปตั้งนานขนาดนี้ เจ้าไขได้แต่เรื่องกิ๊กก๊อกแค่นี้หรือ”
ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกไม่พอใจทันใด ครหาหลินสวิน “ข้าดูแล้วฐานะปฐมาจารย์สลักวิญญาณของเจ้าคงไม่สมคำร่ำลือเสียแล้ว”
“เจ้าทำได้ไหมเล่า” หลินสวินกล่าวยิ้มๆ
“ข้า…” ซุ่นไป๋เสวียนเพิ่งปริปากก็ถูกสายตาร้ายกาจของลั่วเจียจับจ้องถมึงทึง พาให้สีหน้าเขาแข็งค้าง แค่นเสียงดังเฮอะอย่างฉุนเฉียว ไม่พูดมากความอีก
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ พวกเราสังหารผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ไปเจ็ดคน แต่คนพวกนี้ล้วนเป็นตัวเล็กๆ ยังมีคนเก่งกาจส่วนหนึ่งอีก เกรงว่าคงเข้าไปข้างในนั้นแล้ว” แม่นางเยวี่ยกล่าว
จากนั้นหลินสวินก็นำทางอยู่หน้าสุด โบกชายเสื้อหนึ่งครา รัศมีศักดิ์สิทธิ์สายแล้วสายเล่ากลายเป็นสัญลักษณ์รอยสลักวิญญาณพุ่งเข้าสู่ห้วงอากาศ
ก็เห็นทางข้างหน้าปรากฏระลอกคลื่นผนึกต้องห้ามคลุมเครือขึ้นมากะทันหัน แสงธรรมสว่างไสว นั่นคือแสงธรรมสีดำที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์ แผ่บรรยากาศน่าหวาดกลัวซึ่งพาให้ผู้คนใจสะท้านออกมา
คาดการณ์ได้ว่า เมื่อครู่หากพวกเขาเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ จะต้องพบกับกระบวนพิฆาตของผนึกต้องห้ามนี้เป็นแน่แท้!
ซุ่นไป๋เสวียนอึ้งงัน เงียบขรึมอย่างหาพบได้ยาก เพราะเขาเองก็มองออกว่าผนึกต้องห้ามนี้น่าสะพรึงสุดขั้นจริงๆ พาให้เขายังรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ
“ไป!”
หลินสวินเรียกดาบหักออกมาวนล้อมอยู่รอบตัว หว่างคิ้วเจือแววเคร่งขรึม
คนอื่นรีบตามหลังมาติดๆ
ครืนๆ!
ที่น่าทึ่งคือเมื่อหลินสวินก้าวไปข้างหน้า ผนึกต้องห้ามเหล่านั้นจางหายไปสองฝากฝั่งราวกับคลื่นน้ำก็มิปาน เห็นได้ชัดว่าปริศนาและไอสังหารภายในนั้นได้ถูกหลินสวินล้วงลับคลี่คลายได้แล้ว
ประตูใหญ่ของอารามเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง ด้านในสว่างจ้าทั้งแถบราวกับแสงธรรมส่องทาง ศักดิ์สิทธิ์สุดจะเปรียบเปรย
ขณะที่พวกหลินสวินก้าวขึ้นบันไดเข้าสู่บานประตูอารามเก่าแก่นั้น ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนแปลงไป ราวกับเข้าสู่โลกลึกลับใบหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ที่แห่งนี้เวิ้งนภาดั่งสีหมึก ราวกับปกคลุมด้วยม่านราตรีนิรันดร์
แสงธรรมสายแล้วสายเล่าสาดส่องกลางอากาศ ให้บรรยากาศมนต์ขลังที่หลุดพ้นและสงบสันติแก่ผู้คนอยู่รำไร
ทอดตาแลไกลออกไป ที่แห่งนี้ก็ทรุดโทรมมากเช่นกัน เศษอิฐแตกผนังกร่อน ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยว เงียบสงัดและวังเวง ราวกับลานธรรมสำนักพุทธที่ถูกทิ้งร้างมานานไม่รู้เท่าไร
“เจ้าลาหัวโล้นพวกนั้น!”
ซุ่นไป๋เสวียนร้องลั่น บริเวณส่วนลึกของอารามมีซุ้มพระสีดำเก่าแก่หลังหนึ่ง
เวลานี้มีภิกษุจีวรดำห้ารูปนั่งขัดสมาธิ มือจับลูกประคำสีดำ กำลังท่องบทสวดอะไรสักอย่างเสียงเบา
พวกหลินสวินต่างก็หนาวเยือกในใจ
ซุ้มพระสีดำคร่ำครึยิ่ง มองไม่เห็นความพิเศษอะไร แต่สิ่งที่ตั้งอยู่ในนั้นกลับไม่ใช่พระพุทธรูป แต่เป็นหงส์ทมิฬตัวหนึ่ง!
ปีกหงส์ทมิฬตัวนั้นหุบลู่ลง ลำตัวขดเป็นก้อน ดวงตาปิดสนิทราวกับครรภ์เทพไม่มีผิด
รอบตัวมันลุกโชนด้วยแสงเทพสีดำ ลายมรรคที่บิดเบี้ยวผิดแปลกสายแล้วสายเล่าไหลเวียนพริบไหวในแสงเทพสีดำ เร้นลับถึงขีดสุด
“ข้าสัมผัสได้แล้ว เสี้ยววิญญาณสายนั้นหลับใหลอยู่ในนั้น!” ลั่วเจียตื่นเต้นขึ้นมา อยากพุ่งตรงเข้าไปจนแทบทนไม่ไหว
“ระวัง!” หลินสวินรีบร้องเตือน ที่แห่งนี้ปกคลุมด้วยผนึกต้องห้ามแน่นขนัด ครั้นก้าวพลาดเพียงนิดก็อาจต้องพบกับเคราะห์สังหารที่เหลือจะคาดเดา
“นับแต่โบราณมา หงส์ครองอมตะ นิพพานแล้วเกิดใหม่ หากคาดการณ์เช่นนี้ หงส์ดำเลือดทมิฬที่ถูกฆ่าตายในปีนั้น เห็นได้ชัดว่าตั้งใจบรรลุนิพพานในช่วงที่ละสังขาร…” นัยน์ตาของแม่นางมีแสงแห่งปัญญาไหลวน ใคร่ครวญขบคิด
“จนป่านนี้แล้วยังพูดพล่ามอะไรอีก ตรงเข้าไปฆ่ากันเลย!” ไอสังหารของซุ่นไป๋เสวียนพวยพุ่ง เริ่มทนรอไม่ไหวแล้ว
และเวลานี้เอง ภิกษุจีวรดำห้ารูปที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นคล้ายจะตื่นขึ้น ทยอยหยัดตัวลุกยืน ทอดสายตามองเข้ามาทางนี้
บรรยากาศตึงเครียดในชั่วพริบตา!
“สหายยุทธ์ทั้งหลาย นี่คือสถานที่ต้องห้ามอริยะดับขันธ์ของอารามกษิติครรภ์ของพวกเรา โปรดออกไปโดยเร็ว หาไม่หายนะครั้งใหญ่จะมาเยือนเป็นแน่” ภิกษุจีวรดำที่อยู่หน้าสุดเอ่ยปาก
เขามีผิวพรรณขาวกระจ่าง คิ้วตาผ่องใส หน้าผากเกลี้ยงเกลา รูปร่างสูงโปร่งดุจต้นสน เพียงแต่สีหน้ากลับราบเรียบและเฉยเมยพาให้ผู้คนพรั่นใจ
เขายืนอยู่ตรงนั้นตามสบาย แต่กลับให้ความรู้สึกดั่งห้วงสมุทรแก่ผู้คน ราวกับอรหันต์รูปหนึ่งที่ยืนตระหง่านเหนือภูเขาศพทะเลเลือด กำลังข้ามกิเลสเภทภัยสรรพสัตว์
มองเพียงปราดเดียวก็พาให้พวกหลินสวินเสียววูบในใจ ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของภิกษุหนุ่มรูปนี้ เป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งชัดๆ!
จู่ๆ แม่นางเยวี่ยก็พูดว่า “ถือลูกประคำสิบแปดเม็ด ดูท่าสหายยุทธ์ท่านนี้คงเป็นหนึ่งในสิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์รุ่นนี้กระมัง”
ขณะที่เอ่ยวาจา นางสื่อจิตไปทางพวกหลินสวิน กล่าวอธิบายให้ฟัง
นับแต่โบราณสืบมา สิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์ เป็นตัวแทนของบุคคลแนวหน้าสิบแปดคนที่หลอมร่างทองอรหันต์สำเร็จ แต่ละคนต่างสันทัดมรดกวิชาสยบโลกกันทั้งสิ้น
สิบแปดสาวกถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่าย ได้แก่ หกรับรู้ หกราก หกธุลี
แต่ละฝ่ายมีหกอรหันต์ผู้แข็งแกร่งดูแลควบคุม รวมกันเป็นพลังมรดก ‘สิบแปดสาวก’ แห่งอารามกษิติครรภ์ขึ้นมา!
‘กล่าวโดยสรุป นี่ก็คือผู้กล้าแห่งยุคในหมู่ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์ ศักยภาพกร้าวแกร่งหาใดเปรียบ’
หลังจากคำอธิบายนี้ พวกหลินสวินจึงเพิ่งกระจ่างแจ้ง สายตาที่มองไปทางภิกษุหนุ่มรูปนั้นก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น
——