ในเวลาเดียวกัน ภิกษุจีวรดำที่เป็นผู้นำมองแม่นางเยวี่ยปราดหนึ่ง คล้ายตกใจน้อยๆ ที่นางรู้เรื่องอารามกษิติครรภ์

“ที่แม่นางพูดมานั้นถูกต้อง อาตมามีฉายาว่ามู่เจิ้ง” ภิกษุจีวรดำเอ่ยปาก คิ้วตากระจ่าง สงบนิ่งและเยือกเย็น

ท่วงท่าของเขาดั่งภูผา กำยำสูงตระหง่าน บุคลิกไม่ธรรมดาถึงที่สุด

“ในเมื่อแม่นางรู้จักพื้นเพของพวกข้าก็โปรดออกไปโดยเร็วด้วย” มู่เจิ้งพนมมือประกบกัน ถึงแม้ท่าทางจะสงบนิ่ง แต่กลับมีกลิ่นอายหนักแน่นทรงพลัง ไม่ยอมให้ต่อต้าน

“โปรดออกไปด้วย!”

ภิกษุจีวรดำอีกสี่รูปต่างก็พนมมือ ที่ต่างจากมู่เจิ้งคือสีหน้าพวกเขาเจือกลิ่นอายสังหารเย็นเยียบ น่าเสียวสยองยิ่งกว่า

“ปัดโธ่ โอหังพอตัวเชียว!”

ซุ่นไป๋เสวียนทำหน้าประหลาดใจ “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นพระที่เผด็จการเช่นนี้ อยากให้พวกเราออกไปก็ได้ แต่เอาชนะข้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!”

ตูม!

กล่าวพลาง รอบกายของเขาพลันปะทุรัศมีวิเศษสีทองอร่าม อานุภาพพลุ่งพล่านดั่งห้วงสมุทร น่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ

กลับเห็นสีหน้าพวกมู่เจิ้งราบเรียบ มองซุ่นไป๋เสวียนราวกับมองคนโง่ไม่มีผิด พาให้ฝ่ายหลังบันดาลโทสะทันที

“มองอะไรนักหนา จะสู้ก็กระฉับกระเฉงหน่อย บอกพวกเจ้าไว้เลยว่า สหายที่มากับพวกเจ้าทั้งหมดนั้นถูกข้าจัดการจนเกลี้ยงแล้ว แต่พวกเขาอ่อนแอเกินไปพาให้ข้ารู้สึกไม่พอใจยิ่ง”

เหนือความคาดหมาย เมื่อได้ยินข่าวสลดนี้พวกมู่เจิ้งทำเพียงขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเมื่อครู่ แต่กลับไม่ถูกยุแหย่จนเดือดดาล

สิ่งนี้ทำให้พวกหลินสวินต่างรู้สึกผิดคาด ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์เหล่านี้เหมือนกลุ่มสัตว์เลือดเย็น ประหนึ่งไร้ซึ่งอารมณ์ก็ไม่ปาน พาให้ผู้คนกลัวเกรง

“ช่างเถิด พวกเราเคลื่อนไหวต่อกันดีกว่า” มู่เจิ้งเก็บสายตา หันกลับไปนั่งขัดสมาธิ หันหน้าไปทางซุ้มพระสีดำตามเดิม หมุนลูกประคำในมือ สีหน้าเคร่งขรึม ริมฝีปากกำลังท่องอะไรสักอย่าง

เขาถึงขั้นไม่ได้สนใจพวกหลินสวินอีกเลย ทำเหมือนพวกเขาไร้ตัวตน

อีกทั้งภิกษุจีวรดำสี่รูปที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน นั่งลงขัดสมาธิ เฝ้าพิทักษ์บริเวณสี่จุดรอบตัวมู่เจิ้ง ทั่วร่างทอแสงธรรมสีดำออกมา ลึกลับถึงที่สุด

“เจ้าลาหัวโล้นพวกนี้บ้าได้ใจจริงๆ!” ถูกคนมองข้าม พาให้ซุ่นไป๋เสวียนรู้สึกไม่พอใจยิ่ง เตรียมจะพุ่งเข้าไปสังหารศัตรู

“อย่านะ!” หลินสวินขวางไว้ทันควัน

ตูม!

ซุ่นไป๋เสวียนไม่พอใจหลินสวินอย่างมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ฟังเสียงเตือน เรียกทวนศึกทองคำสีทองอร่ามออกมา ฟาดฟันไปยังพวกมู่เจิ้งซึ่งอยู่ไกลออกไป

เงาทวนแหลมคมสีทองพาดผ่านห้วงอากาศ น่าตระหนกเป็นที่สุด

แต่ไม่รอให้เข้าใกล้ กลางห้วงอากาศปรากฏกลิ่นอายผนึกต้องห้ามแสงธรรมอันลึกลับ บังเกิดพลังกดกำราบที่น่าหวาดกลัว

เสียงดังเคร้งหนึ่งครา เงาทวนระเบิดกระจุย แม้แต่ตัวซุ่นไป่เสวียนก็ถูกซัดกระเด็นเช่นกัน

“คลาย!” ในช่วงวิกฤตหลินสวินส่งเสียงกู่ก้อง โบกแขนเสื้อหนึ่งครา แสงใสกระจ่างพร่าตากลายเป็นรอยสลักวิญญาณท่วมผืนฟ้า ถึงได้สลายผนึกต้องห้ามแสงธรรมสายนั้นไปได้

พร้อมกันนั้น ลั่วเจียยื่นมือไปจับร่างที่ถูกซัดกระเด็นของซุ่นไป๋เสวียนกลับมา

“ให้ตายเถอะ ผนึกต้องห้ามบ้านี่น่ากลัวเกินไปแล้ว” ซุ่นไป๋เสวียนตกใจจนเหงื่อท่วมตัว สีหน้าไม่น่าดูยิ่ง เมื่อครู่เขารู้สึกหายใจไม่ออก จวนจะถูกกดทับจนตายอย่างสิ้นเชิง

จุดนี้พาให้เขาตระหนักถึงความร้ายกาจ ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีกต่อไป

“หากเจ้าเคลื่อนไหววู่วามอีก ครั้งหน้าข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแน่” หลินสวินขมวดคิ้วตวัดมองซุ่นไป๋เสวียน

ถูกตำหนิเช่นนี้ในใจซุ่นไป๋เสวียนไม่สบอารมรณ์นัก แต่ถึงอย่างไรเมื่อครู่หลินสวินก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้หนึ่งหน พาให้เขาก็ไม่กล้าโต้แย้ง

เขาลอบพึมพำในใจ อวดเบ่งอะไรเล่า คราวหลังสบโอกาสข้าก็ช่วยชีวิตเจ้าสักหนเหมือนกัน จากนั้นก็จะให้เจ้าลิ้มรสชาติการถูกด่าว่าเต็มปากเต็มคอ!

“หลินสวิน พวกเราก็ต้องเร่งมือแล้วเหมือนกัน พวกเขาคิดจะกำราบหงส์ดำเลือดทมิฬที่อยู่ในซุ้มพระนั้น เมื่อพวกเขาทำเสร็จสิ้น พวกเราก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป”

แม่นางเยวี่ยสีหน้าเคร่งขรึม

พวกมู่เจิ้งไม่สนแม้แต่ความเป็นความตายของพวกพ้อง แค่คิดก็รู้ว่าพวกเขามุ่งมั่นจะคว้าหงส์ดำเลือดทมิฬในซุ้มพระตัวนั้นมาให้จงได้ ไม่ยอมให้เสียไป

นี่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างยิ่ง

ตามสัมผัสของลั่วเจีย เสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นหลับใหลอยู่ในซุ้มพระเช่นเดียวกัน หากคนของอารามกษิติครรภ์ชิงตัดหน้าเอาไปก่อน ผลที่ตามมาจะต้องไม่เข้าท่าอย่างแน่นอน

หลินสวินพยักหน้า เขาเองก็ตระหนักได้ว่าสภาพการณ์เลวร้าย

ฮูม!

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ทำการตัดสินใจ โบกแขนเสื้อหนึ่งครา ธงกระบวนพุ่งปราดออกไปสายแล้วสายเล่า จากนั้นก็หายลับไปในห้วงอากาศในตำแหน่งต่างๆ เพียงชั่วพริบตา

นี่คือธงกระบวนของกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชัน สิ่งที่หลินสวินกำลังทำอยู่คือการใช้กระบวนผนึกทำลายผนึกต้องห้าม ทำเช่นนี้จึงจะสามารถบุกเข้าสู่ส่วนลึกของอารามแห่งนี้ได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุด

แต่ก็มีข้อเสียอย่างหนึ่ง นั่นก็คือยามที่ธงกระบวนเหล่านี้ทำลายผนึกต้องห้ามจะได้รับความเสียหาย ข้อนี้ก็เป็นเหตุผลที่หลินสวินไม่อยากนำออกมาใช้ในคราแรกนั่นเอง

แต่ยามนี้ไม่อาจสนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว ธงกระบวนเสียหายยังพอหลอมขึ้นใหม่ได้ หากวาสนาในที่แห่งนี้ถูกอริฉกฉวยไป นั่นจึงจะเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ สูญเปล่าไปจริงๆ

โครมครืน!

ธงกระบวนเริ่มสำแดงประสิทธิภาพน่าทึ่งอย่างรวดเร็ว แผ่กระจายค่ายกลสลักวิญญาณหมุนวนออกมา บังเกิดการชนกระแทกเข้ากับผนึกเทพต้องห้ามที่ปกคลุมที่แห่งนี้ เสียงก้องกระหึ่มดั่งฟ้าร้องระงม

“ไป!”

หลินสวินเดินนำทางอยู่ด้านหน้า

เพียงแต่ขณะที่พวกเขาเคลื่อนไหวได้ไม่นานก็ปรากฏภาพที่น่าตกใจขึ้น

พลังผนึกต้องห้ามที่ปกคลุมทั่วทั้งอารามคร่ำครึทรุดโทรมแห่งนี้ราวกับสะดุ้งตื่น พรั่งพรูแสงธรรมทะยานฟ้าออกมา

แสงธรรมแสงนั้นไพศาลโชติช่วง แต่กลับปรากฏสีดำประหนึ่งราตรีนิรันดร์ก็ไม่ปาน ให้กลิ่นอายกดกำราบน่าหวาดกลัวที่บีบคั้นหาใดเปรียบแก่ผู้คน

ขณะเดียวกันเสียงระฆังดังระงม ราวกับเป็นเสียงเตือนโลก ทั้งคล้ายเสียงสวดมนต์น่าเกรงขามของภิกษุ พาให้ฟ้าดินแถบนี้ล้วนห่อหุ้มอยู่ภายในบรรยากาศเคร่งขรึมที่ไม่อาจบรรยายได้

ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน นี่ต้องไม่ได้เกิดจากการที่เขาสลายผนึกต้องห้ามอย่างแน่นอน

“เป็นพวกเขา!”

ไม่นานพวกหลินสวินล้วนสัมผัสได้ว่า บนตัวผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์อย่างพวกมู่เจิ้งเกิดปรากฏการณ์ประหลาดอันน่าตกใจตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

เหนือศีรษะของมู่เจิ้งมีพุทธคัมภีร์ลึกลับประหนึ่งภาพมายาปรากฏขึ้น อักษรประหลาดแน่นขนัดเป็นทิวแถวปลิวว่อน แต่ละตัวอักษรประหนึ่งก่อร่างขึ้นจากหยกดำ แสงธรรมไหลทะลัก แผ่พุ่งครอบคลุมไปทางซุ้มพระแท่นนั้น

ส่วนเหนือศีรษะภิกษุจีวรดำสี่รูปที่เหลือต่างปรากฏสี่สิ่งแตกต่างกันออก

ขรรค์พระเวทที่ประทับลวดลายดอกบัวสีดำเล่มหนึ่ง

โคมสำริดสีดำที่สลักลวดลายพุทธแปลกประหลาดใบหนึ่ง

ต้นโพธิ์ที่ราวกับสร้างขึ้นจากหินหยกสำริดต้นหนึ่ง

คัมภีร์หยกมุนินทร์ที่กลมสมบูรณ์ประดุจจันทร์เพ็ญชิ้นหนึ่ง

แต่ละอย่างเหมือนปรากฏการณ์ประหลาดลวงมายา ล้วนเปล่งแสงธรรมออกมา รวมเข้ากับพุทธคัมภีร์เหนือศีรษะมู่เจิ้ง แผ่ครอบซุ้มพระหลังนั้น

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะฮุบเอาของสิ่งนี้ไป แถมยังใกล้สำเร็จอีกด้วย!

แต่เดิมซุ้มพระหลังนั้นแน่นิ่งไม่ไหวติง แต่ยามนี้กลับปะทุแสงธรรมน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบออกมา ส่องสว่างประหนึ่งเปลวไฟลุกโชน

และในซุ้มพระ บนตัวหงส์ดำเลือดทมิฬที่ขดตัวเหมือนทารกในครรภ์เทพ ปีกลู่ราบคล้ายกำลังหลับใหลอยู่นั้น อักษรมรรคอันแน่นขนัดก็พวยพุ่งออกมา วิวัฒน์เป็นเปลวเพลิงสีดำโชติช่วงแผดเผา ราวกับฟื้นตื่นจากการหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น

การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว เรียกได้ว่าน่าตะลึงสะท้านโลก ชักนำให้เกิดการแปรปรวนของพลังผนึกต้องห้ามของอารามทั้งหลัง!

“เจ้าลาหัวโล้นสมควรตายพวกนี้ แต่ละคนเหมือนฟั่นเฟือนกันหมดแล้ว!” ซุ่นไป๋เสวียนแหกปากผรุสวาท

“ทำอย่างไรดี” ลั่วเจียร้อนรนยิ่ง ไม่สามารถสงบนิ่งได้

“พุ่งเข้าไปก่อน!”

หลินสวินกัดฟัน ผนึกต้องห้ามของอารามถูกกระตุ้นทุกทาง ทำให้เขากดดันเป็นเท่าตัว ไม่อาจไม่โคจรพลังเต็มขีดจำกัด ทำลายผนึกสุดแรง

เพียงแต่พวกเขาเพิ่งมาถึงบริเวณที่ตั้งซุ้มพระหลังนั้น ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวก็ได้ยินเสียงร้องอุทานดังขึ้น

กลับเห็นร่างพวกมู่เจิ้งซวนเซถอยกรูดราวกับถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าแปรเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าสะบักสะบอมยิ่ง

พร้อมกันนั้นในซุ้มพระหลังนั้น เงาแสงสีดำสายหนึ่งโฉบพุ่งออกมาโดยพลันราวกับเคลื่อนย้ายในพริบตา พุ่งไปยังส่วนลึกของอารามเก่าแก่ พริบตาก็มองไม่เห็นแล้ว

เมื่อมองไปด้านในซุ้มพระหลังนั้นอีกคราก็ว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเงาของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้น

พวกหลินสวินก็อึ้งนิ่ง การเปลี่ยนแปลงประหลาดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป พาให้พวกเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน

“น่าชังนัก! พลาดแค่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น!” ภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งกัดฟัน สีหน้าไม่ยินยอม

“ในครรภ์พุทธะนี้ไม่เพียงบรรจุพลังที่บรรพจารย์ ‘ตู้จี้’ ทิ้งเอาไว้ ยังเชื่อมผสานเลือดอริยะบริสุทธิ์ของหงส์ดำเลือดทมิฬอีกด้วย น่าเหลือเชื่อและอัศจรรย์ถึงที่สุด เป็นครรภ์พุทธะที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณกาล ไม่สามารถบังคับเอามาได้”

สีหน้ามู่เจิ้งราบเรียบไม่ไหวติง “ยังดี มันไม่อาจหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ ยังพอมีโอกาสนำมันกลับไปที่สำนักอยู่”

“หืม?” กล่าวถึงตรงนี้สีหน้ามู่เจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพิ่งพบว่ามัวแต่สนใจกำราบเป้าหมาย ถึงกับไม่ได้สังเกตโดยสิ้นเชิงว่าพวกหลินสวินก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน

ขณะเดียวกันสีหน้าพวกหลินสวินประหลาดไปอยู่บ้าง ในใจต่างสั่นสะเทือนไม่สิ้น ครรภ์พุทธะที่ผสานเลือดอริยะบริสุทธิ์ของหงส์ดำเลือดทมิฬหรือ

นี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เพียงใดกัน

มีเพียงแม่นางเยวี่ยที่คล้ายคาดเดาความเป็นไปออก กล่าวพึมพำเสียงหลง “ข่าวลือคือเรื่องจริงจริงๆ ด้วย หลังจากอริยสงฆ์ตู้จี้แห่งอารามกษิติครรภ์บรรพกาลสยบหงส์ดำเลือดทมิฬในที่แห่งนี้แล้วก็ไม่เคยจากไปไหน แต่เลือกวิธีการพิเศษ ทำการแลกเปลี่ยนกับหงส์ดำเลือดทมิฬอย่างหนึ่ง ทั้งคู่ร่วมกันสำแดงเคล็ดวิชาต้องห้ามบางประการ ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณกาล!”

“สิ่งที่ตั้งอยู่และฟูมฟักในซุ้มพระนั่น บางทีอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้!”

ชั่วขณะหนึ่งพวกหลินสวินล้วนไม่อาจสงบใจ ต่างตระหนักได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงที่พวกมู่เจิ้งมาในครั้งนี้ ก็คือการกำราบสิ่งมีชีวิตที่อริยสงฆ์ตู้จี้และหงส์ดำเลือดทมิฬร่วมกันให้กำเนิดขึ้นมา ซึ่งก็คือสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น ‘ครรภ์พุทธะ’!

“ศิษย์น้องทั้งสี่ ที่แห่งนี้ยกให้พวกเจ้าแล้ว” สีหน้ามู่เจิ้งราบเรียบ มองสำรวจพวกหลินสวินแล้วพุ่งไปยังส่วนลึกที่สุดของอาราม

ขณะเดียวกันภิกษุจีวรดำสี่รูปนั้นก็ก้าวขึ้นหน้า แต่ละคนสีหน้าไร้ปรานีและขึงขัง ขวางอยู่ข้างหน้าพวกหลินสวิน

เห็นได้ชัดว่าแม่นางเยวี่ยในยามนี้ร้อนรนยิ่งกว่าลั่วเจียเสียอีก ไม่ได้เยือกเย็นและสงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ กล่าวรัวเร็วว่า “หลินสวิน เจ้าไล่ตามมู่เจิ้งไป ข้ากับพวกเขาจะช่วยกันจัดการเจ้าพวกนี้เอง ต้องเร็วเท่านั้น ครรภ์พุทธะนั่นซ่อนความลับยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่โบราณ ห้ามให้มู่เจิ้งทำสำเร็จเด็ดขาด!”

“ได้!”

หลินสวินสูดลมหายใจลึก เริ่มเคลื่อนไหว

ตู้ม!

ภิกษุจีวรดำสี่รูปนั้นพุ่งพรวดเขามาสังหารโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด อานุภาพแต่ละคนน่าสะพรึงหาใดเปรียบ แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าภิกษุจีวรดำที่ถูกพวกหลินสวินสังหารไปก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า!

สี่คนนี้เป็นบุคคลชั้นยอดในอารามกษิติครรภ์อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะสู้มู่เจิ้งคนนั้นไม่ได้ แต่ก็ด้อยกว่ากันไม่เท่าไรแน่นอน

“ลาหัวโล้น! คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้าคนนี้!” ซุ่นไป๋เสวียนอดกลั้นไม่ไหวนานแล้ว ส่งเสียงตะโกนสนั่นฟ้า แสงสีทองท่วมทะลักทั่วสรรพางค์กาย โหมพิฆาตเข้าไป

ชิ้ง!

เวลาเดียวกันลั่วเจียก็ลงมือแล้ว ซ้ำยังใช้อาวุธอริยะน่าหวาดกลัวอย่างกระบี่ยอดนภาเบิกมารตั้งแต่แรก

ศึกใหญ่ปะทุขึ้น หลินสวินไม่ได้ร่วมวงด้วย สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งปลีกตัวออกจากวงล้อมอย่างง่ายดาย จากนั้นก็พุ่งพรวดไปยังส่วนลึกของอารามเก่าแก่ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

——