บทที่ 1251 รับค่ายกลรบ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1251 รับค่ายกลรบ

ขณะที่ทุกคนยังตกตะลึงกับการตายของเสี่ยหลิงจื่อ

จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็หรี่ตาแคบลง ขณะที่จ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์บนหน้าจอ

แม้ว่าสีหน้าเขาจะคงความสงบได้ แต่ก็มีริ้วความประหลาดใจวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจกับการที่มู่เฉินสามารถฆ่าเสี่ยหลิงจื่อได้

“ดูท่าเทพจักรพรรดิอัคคีจะมีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ มู่เฉินมีคุณสมบัติเหมาะสมแท้จริงในการเข้าร่วมสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย” จักรพรรดิสัประยุทธ์เอ่ยหัวเราะเบาๆ

ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน ดังนั้นจึงไม่ใช่คนไร้เหตุผลแม้จะภาคภูมิใจในตนเอง ดังนั้นหากเขาเลือกที่จะเพิกเฉยต่อพลังของมู่เฉินก็ดูใจแคบไปหน่อยแล้ว

ทว่าเขาก็ยังคงคิดว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในสมรภูมินี้เท่านั้น แต่ยังคงไม่เชื่อว่ามู่เฉินมีพลังจะได้ตำแหน่งไป

เซียวเหยียนยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดดี อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย “งั้นมาดูต่อว่าเขาจะทำให้เราประหลาดใจได้อีกหรือไม่”

จักรพรรดิสัประยุทธ์ลูบพนักเก้าอี้พลางพยักหน้า

“งั้นข้าขอดูว่าเขาจะทำให้เราประหลาดใจอีกตามที่เจ้าพูดหรือไม่”

เหนือมหาสมุทรที่พลุ่งพล่าน

มู่เฉินโบกแขนเสื้อ เจดีย์ผลึกแก้วใสก็หายไป ลำแสงสามสายกะพริบวาบ ก่อนที่จะตกลงไปในมือ นั่นก็คือป้ายสัประยุทธ์นั่นเอง

มือจับป้ายทั้งสามไว้ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า ดูเหมือนว่าการเก็บเกี่ยวของเสี่ยหลิงจื่อจะไม่เลวเลยทีเดียว จำนวนป้ายทั้งสามนี้ในที่สุดเขาก็สามารถแลกเปลี่ยนค่ายกลรบสามกำลังจากคลังสัประยุทธ์ได้

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะแลกเปลี่ยน

เก็บป้ายทั้งสามไป มู่เฉินก็กวาดสายตาเย็นชาไปไม่ไกล ค่ายกลเก้าเทพมังกรประหารแตกสลายเรียบร้อยไปแล้ว แต่อาจารย์ผีที่ยืนอยู่ที่นั่นก็มีใบหน้าสลับไปมาระหว่างขาวกับเขียว เมื่อเห็นสายตาของมู่เฉิน เขาก็รู้สึกเย็นเยือกทั่วสรรคพางค์กาย ความกลัวพวยพุ่งในดวงตา

เขาหวาดผวามากกับการตายของเสี่ยหลิงจื่อ

เขาไม่เคยคิดว่าด้วยความสามารถและทักษะที่เสี่ยหลิงจื่อมีไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ กลับยังถูกฆ่าตายแทน

แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น แต่ความแข็งแกร่งของมู่เฉินน่ากลัวกว่ามาก

“ฮ่าๆ พี่ชายน้อยมู่เฉินเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ข้าตาบอดด้วยความโลภและติดกับเสี่ยหลิงจื่อ หวังว่าเจ้าจะใจกว้างนะ!” เมื่อระลึกได้ว่ามู่เฉินฆ่าเสี่ยหลิงจื่ออย่างไร อาจารย์ผีก็รู้สึกหัวใจเย็นเยือก รีบเผยรอยยิ้มลุแก่โทษทำใจดีสู้เสือ

พิจารณาจากพลังการต่อสู้ของมู่เฉิน ต่อให้อาจารย์ผีจะเป็นหลิงเจิ้นจงซือ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับมู่เฉิน ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าเขายอมรับความพ่ายแพ้เอง

เมื่อมองท่าทางของอาจารย์ผี มู่เฉินก็ยิ้ม “เจ้าคิดว่าง่ายที่จะลบความจริงที่โจมตีข้ารึ?”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของอาจารย์ปีศาจก็กระตุก เขาอึกอักครู่ก่อนจะยิ้มขมขื่น “ไม่รู้ว่าเจ้าต้องการอะไร?”

มู่เฉินเหยียดมือออกด้วยสีหน้าเฉยเมย “ป้ายสัประยุทธ์สามป้าย”

ใบหน้าของอาจารย์ผีเปลี่ยนไปขณะกัดฟัน “จะไม่โหดไปหน่อยเหรอ?”

เขาเพิ่งรวบรวมป้ายสัประยุทธ์ได้สี่ป้ายเท่านั้น ตอนแรกยังคิดจะนำไปแลกเปลี่ยนเป็นภาพค่ายกลระดับจงซือ หากเขาส่งสามป้ายไป ความพยายามทั้งหมดก็ไม่ไร้ประโยชน์ไปหรือ?

มู่เฉินไม่ได้พูดอะไร ทว่าวิญญาณสงครามเต่าดำกลับมองลงมา จ้องไปที่อาจารย์ผีนิ่ง รัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็น

เมื่อแรงกดดันที่น่ากลัวบีบลง อาจารย์ผีก็รู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายเริ่มถ่วงลงจากแรงกดดันมหาศาล ยิ่งเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของมู่เฉิน เขาก็รู้ว่าถ้างานนี้ไม่เห็นด้วย เขาอาจจะเป็นอย่างเสี่ยหลิงจื่อก็ได้

แม้ว่าเขาอยากสู้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฉินด้วยพลังของตัวเองคนเดียว

ใบหน้าของอาจารย์ผีเปลี่ยนแปลงไปมาต่อเนื่อง จากนั้นไม่นานก็ก้มหน้าโบกแขนเสื้อ ป้ายสัประยุทธ์สามป้ายบินไปหามู่เฉิน

ในเมื่อไม่สามารถเอาชนะหรือหนีไปได้ ทางเลือกเดียวก็คือยอมแพ้ซะ

“ไอ้สารเลวเสี่ยหลิงจื่อ! ตายก็ตายไปแล้ว ยังมาลากข้าลงนรกอีก มาดูกันว่าฉันจะจัดการกับตระกูลเสี่ยเสินยังไง!” อาจารย์ผีแทบกระอักเลือดพลางคำรามอยู่ในใจ

เมื่อประจันหน้ากับมู่เฉินเขาไม่กล้าทำอะไร แต่เขาสามารถใส่ความโกรธแค้นไปยังตระกูลเสี่ยเสินได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อปราศจากเสี่ยหลิงจื่อตระกูลเสี่ยเสินก็จะอ่อนแอลงเหมือนแกะอ้วนพี

รับป้ายทั้งสามมา มู่เฉินก็ผงกหัวอย่างพอใจ แม้ว่าเขาจะเปิดเผยไพ่ตายอีกใบ แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้การเก็บเกี่ยวของเขาค่อนข้างดีเลยทีเดียว

“ไสหัวไปซะ”

มู่เฉินโบกมือให้อาจารย์ผีกล่าวไม่ไว้หน้า

เขาไม่มีความรู้สึกที่ดีกับชายชราคนนี้ที่ชอบรอคว้าผลประโยชน์ ถ้ามู่เฉินไม่กังวลเกี่ยวกับฝูงชนที่อยู่รอบๆ เขาคงไม่สนที่จะเตะส่งอาจารย์ผีออกจากสนามรบ

อาจารย์ผีไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางของมู่เฉิน เขาหันหลังจากไปทันที ด้วยเกรงว่ามู่เฉินจะกลับคำพูดมาจัดการเขา

เมื่อเห็นอาจารย์ผีไปแล้ว มู่เฉินก็มองไปรอบๆ พูดเสียงเบาว่า “ถ้ามีใครอยากได้ป้ายสัประยุทธ์ของข้าก็เชิญเข้ามาได้เลย”

เมื่อเสียงของมู่เฉินดังสะท้อนทั่วบริเวณกลับเงียบงัน แม้ว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ที่ต้องการจะฉกป้ายสัประยุทธ์ในมือมู่เฉิน แต่พวกเขาก็ขยาดกับฉากการตายของเสี่ยหลิงจื่อ ขณะเดียวกันพวกเขาก็เข้าใจถึงความไร้ความปรานีที่มู่เฉินมี

เป็นการดีที่จะไม่รุกรานคนที่โหดเช่นนี้

เมื่อความคิดผุดขึ้นในสมอง พวกเขาก็พุ่งตัวขึ้นสูง กลายเป็นลำแสงแยกย้ายกันไปในทันที

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเลิกคิดที่จะจัดการมู่เฉิน

เมื่อเห็นแต่ละคนหายหัวไปอย่างรวดเร็ว มู่เฉินก็เค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก ถ้าเขาแสดงจุดอ่อนให้เห็น คนพวกนั้นก็จะกลุ้มรุมเข้ามาเหมือนฝูงหมาป่าหิวโซ

เผชิญหน้ากับพวกเหล่านี้ เขาต้องแสดงความโหดเหี้ยมที่มีเพื่อข่มขู่ไว้ก่อน

เมื่อเห็นคนจากไป มู่เฉินก็เรียกกองทัพทั้งสองกลับคืนมา ก่อนที่จะกลายเป็นร่างแสงพุ่งออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเช่นกัน

หลังจากที่ออกมาได้พักใหญ่และรู้สึกว่าไม่มีใครตามมา เขาก็พลิ้วตัวลงมาป้ายสัประยุทธ์ของตัวเขาปรากฏขึ้นในมือ

เขาเร้าป้ายสัประยุทธ์ รายชื่อสมบัติในคลังสัประยุทธ์ก็วิ่งเร็วจี๋ที่เบื้องหน้า เนื่องจากมีสิ่งที่สนใจไว้แล้ว ดังนั้นด้วยการตวัดมือครั้งเดียวป้ายสี่ป้ายที่มีในการครอบครองก็หายไป ลูกแสงหนึ่งบินออกมาลอยอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน

นี่เป็นม้วนทองสัมฤทธิ์โบราณที่เปล่งความมันวาวออกมาก่อตัวเป็นเงาร่างสามร่าง

เมื่อมองดูม้วนภาพนี้ดวงตามู่เฉินก็ลุกโชน นี่คือค่ายกลรบที่เขาโหยหา!

หากเขาสามารถฝึกฝนสำเร็จก็จะเท่ากับติดปีกพยัคฆ์ให้วิชาสามพิสุทธิ์ของเขา!

“ในที่สุดข้าก็รับได้มา”

มู่เฉินยิ้มกริ่มคว้าม้วนทองสัมฤทธิ์ เทคลื่นหลิงเข้าไปภายใน ทันใดนั้นข้อมูลมหาศาลก็ปลดปล่อยอยู่ในห้วงแห่งจิตของเขา

เขาหลับตาเพื่ออ่านข้อมูลเป็นเวลานานก่อนที่จะลืมตาขึ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ

“ค่ายกลรบสามกำลังเป็นทักษะพิเศษอย่างแท้จริง”

มู่เฉินเอ่ยชื่นชม แม้ว่าจะไม่ใช่ค่ายกลรบชั้นสูงที่มีประสิทธิภาพรุนแรง แต่เงื่อนไขในการฝึกฝนและความลึกซึ้งนั้นก็น่าตกตะลึงอย่างแท้จริง

“มิน่าล่ะผู้อาวุโสที่คิดค้นวิชานี้ถึงสามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้” หลังจากถอนหายใจลึกซึ้ง เขาก็เก็บม้วนภาพไว้ วิธีการฝึกฝนสำหรับค่ายกลรบสามกำลังไม่ยากนัก แค่ว่ามีข้อกำหนดที่เข้มงวดซึ่งต้องการให้คนสามคนเชื่อมโยงจิตใจกัน ซึ่งจุดนี้มู่เฉินบรรลุได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เพราะร่างรองจากวิชาสามพิสุทธิ์เป็นตัวเขาเอง การเชื่องโยงจิตใจเหนี่ยวแน่นยิ่งกว่าฝาแฝด

ค่ายกลนี้มู่เฉินน่าจะใช้งานได้อย่างสมบูรณ์หลังจากฝึกฝนไประยะหนึ่ง

เมื่อคิดได้ขนาดคนสงบนิ่งแบบมู่เฉินยังอดไม่ได้ที่จะกลั้นรอยยิ้ม พูดพึมพำว่า “ในเมื่อได้รับค่ายกลรบสามกำลังมาแล้ว เป้าหมายต่อไปคือตำแหน่ง”

ในสมรภูมิตำแหน่งนักรบทวีปเป็นอะไรที่ทำให้มู่เฉินน้ำลายสอนัก