บทที่ 1252 กวาดผ่าน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1252 กวาดผ่าน

หลังจากการต่อสู้ระหว่างเสี่ยหลิงจื่อและมู่เฉิน

ชื่อเสียงของมู่เฉินก็ขจรขจายทั่วสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ทำให้เกิดคลื่นความตื่นตระหนกยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนเสียอีก

เนื่องจากครั้งนี้มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายต้องทิ้งลมหายใจไปนิรันดร์!

ในมหาพันโลกทุกคนรู้ซึ้งถึงพลังชีวิตแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน บางทีถึงแม้พวกเขาจะพ่ายแพ้ แต่การฆ่าพวกเขายากเกินกว่าอะไร เว้นแต่ว่าถูกปราบปรามไว้อย่างสมบูรณ์

ทำไมเทพจอมยุทธ์ทั้งสามของตำหนักซีเทียนจึงมีชื่อเสียง? เหตุผลหลักๆ ก็เพราะพวกเขาประสบความสำเร็จในการฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มไม่ใช่รึ?

แต่ตอนนี้สิ่งนี้กลับทำสำเร็จโดยจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น

ดังนั้นความตกใจครั้งนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าของเทพจอมยุทธ์ทั้งสามเสียอีก

เพราะเหตุนี้ไม่มีใครกล้ามาแหยมมู่เฉิน คำพูดเพื่อปราบปรามคนนอกจากเขาก็หายไปในขณะนี้

ล้อเล่นรึเปล่า? เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินเป็นคนโหดเหี้ยมกระทั่งฆ่าเสี่ยหลิงจื่อโดยไม่ลังเล เขาเป็นคนชำระหนี้แค้นด้วยตัวเองแน่นอน คงต้องทุกข์ทรมานแน่ถ้าไปยั่วยุเขา

ดังนั้นในเวลาสองสามวันต่อมาจึงไม่มีใครไปหาเรื่องมู่เฉินอีก

เวลานี้มู่เฉินจึงสามารถศึกษาค่ายกลรบอย่างสงบ ค่อยๆ เข้าใจในรายละเอียด เพราะความยากลำบากในการสร้างค่ายกลไม่ได้ยากมาก แค่มีข้อกำหนดที่เข้มงวด

หลังจากได้รับการควบคุมขั้นต้นของค่ายกลรบ มู่เฉินก็ก้าวเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ตั้งค่ายกลเพื่อรอเหยื่ออีกแล้ว เขาเลือกที่จะโจมตี

เขานำพากองทัพสังหารวิญญาณและกองทัพดับปีศาจยาตราไปทั่วสนามรบ ทุกที่ที่ก้าวผ่านจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายที่เขาพบจะถูกกวาดล้างจากรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตที่เข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้

ทว่าการต่อสู้ส่วนใหญ่จบลงด้วยมู่เฉินชนะ เพียงแค่กองทัพทั้งสองอย่างเดียวก็ทำให้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายได้แล้ว

ในการต่อสู้เขาได้ใส่คลื่นหลิงผลึกใสลงในร่างศัตรู เมื่อถึงเวลาศัตรูของเขาตอบสนอง พลังงานส่วนหนึ่งจะถูกผนึกไว้ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น

เผชิญหน้ากับคนแพ้ มู่เฉินก็ไม่ได้โหดเหี้ยมมากเหมือนกับตอนที่ทำกับเสี่ยหลิงจื่อ เนื่องจากชายคนนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของลั่วหลี ซ้ำยังพยายามใช้แผนอุบาทว์เพื่อจัดการเขาหลายครั้ง ดังนั้นมู่เฉินจึงไม่ยอมอ่อนข้อให้โดยธรรมชาติ

ทว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ เขาไม่มีความแค้นเคืองกับพวกเขาและก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แม้ว่าเขาจะฆ่าคนเหล่านี้ไป เพราะตำหนักมู่ไม่ได้อยู่ในทวีปซีเทียน แต่ขั้วอำนาจที่อยู่เบื้องหลังจอมยุทธ์เหล่านี้จะมีปัญหากับตระกูลลั่วเสินอย่างแน่นอน เวลานั้นตระกูลลั่วเสินจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่

นี่เป็นสิ่งที่มู่เฉินไม่ต้องการเห็น

ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ มู่เฉินก็แค่ยึดป้ายสัประยุทธ์ปล่อยให้พวกเขาออกจากสนามรบอย่างปลอดภัย

ภายใต้การกวาดล้างนี้ชื่อเสียงดุร้ายของมู่เฉินก็ทวีความรุนแรงขึ้นไปจนถึงจุดที่คนอื่นๆ จะแตกฮือทันทีเมื่อพวกเขาได้เห็นรัศมีจั้นยี่จากระยะไกล

ขณะนี้ทุกคนบอกได้เลยว่ามู่เฉินคือม้ามืดแห่งสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย ซึ่งจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้

ตู้ม**!**

รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตกวาดปกคลุมทั่วท้องฟ้าทำให้ทั่วบริเวณสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยคลื่นจากรัศมีจั้นยี่

เป้าหมายของรัศมีจั้นยี่คือชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียว เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะโชคร้าย ครึ่งวันก่อนเขาปะหน้ากับหลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาว เขากลัวจนต้องรีบเผ่นหนี ท้ายที่สุดก็หนีมาได้ แต่ดันต้องมาเผชิญหน้ากับยมทูตตัวนี้ต่อ

ในสนามรบระดับตี้จื้อจุนนั้นปลายยามนี้ ทุกคนรู้ว่ามู่เฉินควบคุมกองทัพสองกองทัพที่จัดการจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการแข่งขันไปไม่น้อยกว่าสิบคน ความสำเร็จน่าอัศจรรย์ใจนัก

ชายชุดฟ้าอมเขียวนี้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียนอยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีจั้นยี่ที่ไร้ขอบเขต เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสมากนัก

นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ว่ามีคลื่นผันผวนที่อันตรายยิ่งกว่าซ่อนอยู่ในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ นั่นไม่ใช่รัศมีจั้นยี่ แต่เป็นพลังที่ครอบงำยิ่งกว่า

ดังนั้นหลังจากความพยายามซัดกระบวนท่าออกไปสองสามครั้ง เขาก็รู้ตัวว่าไม่สามารถหลุดพ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไปได้ จึงยกมือขึ้นยอมแพ้ประกาศว่า “ข้ายอมแพ้!”

เมื่อเสียงสิ้นสุดลง มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ก็แยกออกจากกัน ร่างเงาสูงโปร่งเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

ชายชุดฟ้าอมเขียวยิ้มขมขื่นก่อนจะส่ายหัว เขาไม่คิดพูดมากโยนป้ายสัประยุทธ์ทั้งสี่ให้มู่เฉินไป

พอได้รับป้ายมามู่เฉินก็ประสานมือให้อีกฝ่าย “ขอบคุณสำหรับชัยชนะ”

“เจ้าแข็งแกร่งนัก ไม่ใช่ความอยุติธรรมที่ข้าแพ้ แต่แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องไปเปรียบกับเทพจอมยุทธ์ทั้งสามแห่งตำหนักซีเทียน รวมทั้งหลิ่วซิงเฉิน ซูมู่และฉู่เหมิน… เจ้าจะต้องต่อสู้กับพวกเขาแน่นอน ข้าจะรอดูการดวลนี้อยู่ข้างนอก” ชายชุดฟ้าอมเขียวไม่ได้ยึดติดกับเรื่องนี้มากนัก เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสในการชิงตำแหน่งก็เอ่ยยิ้มๆ

หลังจากที่พูดจบเงาร่างของเขาก็เริ่มจางหายไปอย่างรวดเร็ว

มู่เฉินหรี่ตาลง ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปจำนวนผู้แข่งขันในสนามรบก็ลดลง ทุกคนที่เหลืออยู่ที่นี่เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงทั้งสิ้น

จอมยุทธ์หกคนที่ถูกกล่าวถึงโดยชายชุดฟ้าอมเขียวเป็นตัวเกร็งในการแข่งขันศึกนักรบทวีปครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่มู่เฉินยังยำเกรง

ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่ง่ายที่เขาจะคว้าตำแหน่งจากมือพวกเขา

ด้วยความคิดที่แล่นพล่านอยู่ในใจ มู่เฉินก็ส่ายหัวสงบใจลงก่อนที่จะโบกมือหน้าจอสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า

มีตารางการจัดอันดับปรากฏบนหน้าจอ อันดับหนึ่งหลิงจั้นจื่อตำหนักซีเทียนจำนวนป้ายสัประยุทธ์สามสิบป้าย!

รองลงมาก็คือหลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาวจำนวนป้ายสัประยุทธ์ยี่สิบห้าป้าย

จากนั้นก็เป็นเทพจอมยุทธ์สองคนของตำหนักซีเทียน ซูมู่และฉู่เหมิน จำนวนป้ายสัประยุทธ์ไม่แตกต่างกันเท่าไร

ส่วนมู่เฉินอยู่อันดับสิบเจ็ดจำนวนป้ายสัประยุทธ์สิบแปดป้าย

“คนพวกนั้นไล่ตามยากจริง”

มู่เฉินมองหน้าจอ เหลือเพียงสิบคนเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากการกำจัดยังคงดำเนินต่อไป ในไม่ช้าเขาจะเผชิญหน้ากับทั้งหกคน

นั่นจะเป็นการต่อสู้ดุเดือดเลือดพล่านแน่

ทว่ามู่เฉินไม่มีความกลัวในดวงตาสักริ้ว ตรงกันข้ามดวงตาของเขากลับสว่างไสวด้วยไฟการต่อสู้ บางทีพวกเขาทั้งหกอาจมีชื่อเสียงในทวีปซีเทียน แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมู่เฉินจะยอมแพ้

นั่นเพราะเขายังมีไพ่ตายที่ยังไม่เปิดเช่นกัน

ทันทีที่เขาเปิดเผยวิชาสามพิสุทธิ์ มู่เฉินมั่นใจว่าต่อให้ไม่ได้ใช้กองทัพหรือค่ายกล เขาก็ยังมีความแข็งแกร่งที่จะก้าวข้ามขอบเขตการต่อสู้กับบางคนที่มีขุมพลังสูงกว่า

“หืม?”

ขณะที่ความคิดแล่นอยู่ในหัว จู่ๆ มู่เฉินก็รู้สึกถึงบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นเห็นร่างแสงพุ่งออกมาจากระยะไกล ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้า

นี่เป็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีดำปักภาพดวงดาว ผมของเขาเป็นสีขาว รูปลักษณ์เหมือนบัณฑิตทรงภูมิที่เปล่งรัศมีอบอุ่น

เมื่อจ้องมองไปที่ชายคนนั้น มู่เฉินก็หดตาลงรัศมีจั้นยี่รอบตัวคำราม เนื่องจากชายวัยกลางคนนี้ก็คืออันดับสองของตารางยอดนิยม—หลิ่วซิงเฉินเจ้าตำหนักแสงดาว

ทว่าขณะที่มู่เฉินเข้าสู่สภาพพร้อมรบ หลิ่วซิงเฉินก็ก้มศีรษะลงมองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต รอบตัวมู่เฉินด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

สัมผัสถึงความตั้งใจเป็นมิตรที่มาจากหลิ่วซิงเฉิน มู่เฉินก็อึ้งไปก่อนที่จะเก็บรัศมีจั้นยี่เข้าไปเล็กน้อย

หลิ่วซิงเฉินไม่พูดอะไร เขาประสานมือให้มู่เฉินก่อนที่จะมองไปอีกทิศทางหนึ่ง จากนั้นร่างก็ขยับกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในระยะทาง

มองร่างที่กำลังจากไป มู่เฉินก็ขมวดคิ้ว

วาบ!

ทว่าก่อนที่เขาจะไขปริศนาจากการกระทำของหลิ่วซิงเฉินได้ ความผันผวนกวาดมาจากระยะไกล มู่เฉินก็เห็นภาพเงาพุ่งเข้ามา อึดใจเดียวก็มาปรากฏที่เบื้องบน ชายคนนี้มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีรัศมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากร่างกาย

เมื่อเห็นอีกฝ่าย ดวงตามู่เฉินก็หดลง

เพราะนั่นคือหลิงจั้นจื่อเทพจอมยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน!

เมื่อหลิงจั้นจื่อปรากฏตัวขึ้นก็มองไปที่มู่เฉิน แต่เขาไม่ได้กระโจนเข้าใส่ ร่างทะยานออกไปทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลัง ไล่ตามหลิ่วซิงเฉินไป

เมื่อเห็นปฏิกิริยาจากทั้งสองใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

งานนี้เห็นชัดว่าหลิงจั้นจื่อกำลังไล่บี้หลิ่วซิงเฉิน

การต่อสู้ของอันดับหนึ่งและสองกำลังเริ่มขึ้นในไม่ช้า

นั่นก็หมายความว่าศึกนักรบทวีปกำลังดำเนินถึงขั้นคัดออกช่วงสุดท้ายแล้ว

เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้ายระหว่างหลิงจั้นจื่อกับหลิ่วซิงเฉิน