เมื่อหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ นั่งลงแล้ว บรรยากาศภายในงานอวยพรฉลองอายุแห่งนี้พลันเกิดความประหลาดขึ้นเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ประมุขกฎสวรรค์ควรเป็นศูนย์รวมสายตาเพียงหนึ่งเดียวของทุกคน ทว่าบัดนี้ผู้ฝึกตนมากกว่าครึ่งต่างพากันจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์ที่อยู่ตรงปล่องภูเขาไฟ

คนที่อยู่ที่นี่ มีทั้งคนที่เคยเข้าร่วมการทดสอบและคนที่ไม่ได้เข้าร่วม สวี่อินหลิงและเฉินหานที่ร่างกายได้รับการฟื้นฟูแล้วก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย เพียงแต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ทั้งสองต่างรับรู้ความจริงอย่างเห็นได้ชัด

“สมกับที่เป็นท่านพ่อ แข็งแรง สุดยอด!” เฉินหานลอบถอนใจอยู่ภายในใจ ทั้งยังรู้สึกว่าการได้รับโอกาสมีชีวิตอีกครั้งในครานี้ ก็เพื่อได้เจอกับบิดา

ทางฝั่งสวี่อินหลิง ร่างกายสั่นเทาไปทั่วทั้งตัว ความรู้สึกเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อระลึกถึงชาติที่สิบอันเปรียบเสมือนแก่นแท้ของโลกพลันผุดขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ลมหายใจหอบถี่โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย…

ยิ่งประหม่า ก็ยิ่งตกใจ นางรู้สึกตื่นเต้นมากอย่างไม่สามารถอธิบายได้…

ผู้ที่มองหวังเป่าเล่อในเวลานี้ ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนที่อยู่บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์รอบปล่องภูเขาไฟเท่านั้น ยังมีเซี่ยไห่หยางและซิงจิงจื่อที่อยู่ในเกาะว่างเปล่าบนภูเขาไฟด้วย

เซี่ยไห่หยางใจสั่นสะท้านเช่นเดียวกัน แต่เขาเข้าใจหวังเป่าเล่อมากกว่าใคร ดังนั้นต่อให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนั้น ก็ยังเป็นดั่งศัตรูตัวฉกาจอยู่ดี ด้านนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ แม้จะไม่ทราบความจริง แต่ก็พอจะเดาคำตอบได้

เหตุผลที่เขาระลึกชาติได้สำเร็จ แม้จะเกี่ยวข้องกับตนเอง แต่ที่มากไปกว่านั้นก็เป็นเพราะระยะทางอันห่างไกลของดินแดนแห่งการทดสอบ ทำให้เขาได้รับผลกระทบไม่มาก ความโชคดีนี้ต่างหากเล่าที่เป็นสิ่งสำคัญ

“แต่เมื่อเทียบกับอาจารย์อาเป่าเล่อแล้ว…ข้าก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี เขาเป็นคนดุร้าย เมื่อครู่ครั้นได้เห็นเขาลงมือ ความแข็งแกร่งจากพลังต่อสู้หากเทียบกับการทดสอบก่อนหน้านี้ ช่างเป็นการเติบโตที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง!” เซี่ยไห่หยางสูดลมหายใจเข้าลึก ภายในใจก็คิดว่าต้องทำดีกับอีกฝ่ายต่อไป หากเป็นเช่นนี้ วิกฤตของบิดาทางฝั่งนั้น ย่อมแก้ไขได้

ส่วนซิงจิงจื่อที่สวมใส่ด้วยชุดคลุมดำ แบกกระบี่เล่มโตไว้ด้านหลังและมีวิญญาณชั่วร้ายที่แข็งแกร่งผู้นั้น หน้าตาของเขาดูเคร่งขรึมยิ่งนัก ขณะที่สายตากวาดมองไปยังหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาก็แอบซ่อนด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ไม่ได้คิดจะเป็นศัตรู เพียงแต่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เท่านั้น

ดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา กระบี่เล่มโตที่อยู่ด้านหลังซึ่งเป็นใบมีดวิเศษที่ถูกเล่าลือสั่นเล็กน้อย ทว่าการสั่นสะเทือนนี้กลับทำให้เกิดความผันผวนขึ้นภายในใจของซิงจิงจื่อ

เป็นเพราะเขามีความรู้สึกต่อจิตวิญญาณของใบมีดวิเศษเล่มนี้ ดังนั้นเขาจึงตระหนักได้โดยพลันว่า การสั่นสะเทือนเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นที่จะถูกดึงออกจากฝัก แต่เป็นเพราะ…สั่นเทาต่างหากเล่า!

“สั่นเทา? ใบมีดวิเศษของข้า ดูเหมือนว่ากำลังหวาดกลัว…” บทสรุปนี้ทำให้ซิงจิงจื่อชะงัก และตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด

ไม่เพียงแค่พวกเขาที่กำลังเฝ้าสังเกตหวังเป่าเล่อ แต่ยังมี…เงาภาพที่ดูเหมือนจะไม่มีตัวตนอยู่บนเกาะแห่งนี้ด้วย เงาภาพเหล่านี้ หลังจากที่ประมุขกฎสวรรค์คารวะตอบหวังเป่าเล่อ ต่างก็ค่อยๆ หันหน้ากลับมา สายตาของแต่ละคนจับจ้องไปที่ร่างของหวังเป่าเล่อ

สำหรับเงาภาพเหล่านี้ คราที่หวังเป่าเล่อยังไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ เขารู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้ยากแท้หยั่งถึง ทว่าบัดนี้ความคิดนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว

นอกจากสิ่งนี้ ยังมีผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่ข้างกายประมุขกฎสวรรค์ สายตาที่จ้องมองมายังหวังเป่าเล่อฉายความฉงน บัดนี้การอวยพรวันฉลองอายุกำลังเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้นผู้รับใช้เฒ่าจึงไม่ได้มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก เขาสะบัดแขนเสื้อ เสียงที่ฟังดูผันผวนพลันกระจายทั่วทั้งแปดทิศ

“เริ่มพิธี!”

เสียงเซียนพราวเสน่ห์ ดังลงมาจากเบื้องบน ด้วยท่วงทำนองที่สง่างาม ดวงจิตแห่งความว่างเปล่า ก้องกังวานไปทั่วดาวชะตา ผู้ที่ได้ยินต่างก็รู้สึกถึงความคิดฟุ้งซ่านภายในใจ ก่อนจะค่อยๆ มลายหายไป พวกเขาดื่มด่ำอยู่กับเสียงธรรมชาติ ทั้งยังมีเงาของเทพธิดาที่ดูราวกับกำเนิดขึ้นจากบทเพลงมายาร่างแล้วร่างเล่า พวกนางเดินออกมาจากพิภพเชื่อมสวรรค์ มาพร้อมกับสุราเซียนท้อชั้นดี เมื่อลงมาถึงเกาะ ก็เริ่มยกกาน้ำลงบนโต๊ะน้ำชาแต่ละโต๊ะด้วยความนอบน้อม

ส่วนผู้ฝึกตนที่อยู่บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์เหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกละเลย ขณะที่ลมบางเบาและเสียงเทพธิดาพัดผ่าน พวกเขาต่างได้รับสุราเซียนท้อชั้นดีเช่นเดียวกัน เมื่อภาพมายาปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาได้ไม่นาน บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นความครื้นเครง มีผู้ฝึกตนบินเข้ามาคนแล้วคนเล่า พวกเขายกมือคารวะประมุขกฎสวรรค์พร้อมมอบคำอวยพรและของขวัญ

แต่ละครั้งประมุขกฎสวรรค์จะมอบรอยยิ้มให้ เงาภาพที่อยู่บนเกาะต่างก็ลุกขึ้นยืนเพื่อดื่มอวยพรให้กับประมุขกฎสวรรค์เป็นครั้งคราว หากไม่ทราบตั้งแต่แรก เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะมองออกว่า ผู้ที่ดื่มอวยพรเหล่านี้ล้วนเป็นภาพเงาลวงตาทั้งสิ้น

“แต่ก็อาจจะไม่ใช่ภาพเงาลวงตาจริงๆ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขากวาดตามองรอบด้าน รู้สึกได้ถึงความครึกครื้น ครั้นสายตาเหลือบมองไปยังเงาภาพเหล่านั้น เงาภาพก็หันมาที่เขาพร้อมกับยกแก้วด้วยรอยยิ้ม

หวังเป่าเล่อยกแก้วตอบกลับไปอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงค่อยๆ ชิมสุรา จนกระทั่งสายตามองมายังประมุขกฎสวรรค์ ราวกับตระหนักได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อ ประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นพลันหันหน้ากลับมามองหวังเป่าเล่อเช่นเดียวกัน

เมื่อทั้งคู่สบตากัน ต่างก็มองเห็นถึงปรีชาญาณผ่านนัยน์ตาคู่นั้น หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์กับภาพที่อยู่ตรงหน้า ราวกับเดินทางกลับไปยังโลกของกวางขาวตัวน้อย ภายในลานด้านหลังของเจ้าเมืองนั้น วานรเฒ่านั่งอยู่ด้านบนภูเขาเทียม และมีฉากที่อสูรกลายพันธุ์จำนวนมากกำลังกราบอวยพรทั่วทั้งจตุรทิศ

“ไม่เจอกันนานเลยนะ” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ความมึนงงที่อยู่ตรงหน้าได้หายไปแล้ว เขาจึงเปล่งเสียงพูดออกมาเบาๆ เสียงนั้นแผ่วเบาเสียจนคนข้างๆ ไม่อาจได้ยิน แต่ประมุขกฎสวรรค์กลับได้ยินอย่างแจ่มชัด ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ขณะเปล่งเสียงผันผวนที่มีเพียงหวังเล่อเป่าได้ยิน

“ยินดีต้อนรับกลับ”

หวังเป่าเล่อยิ้มตอบโดยไม่ได้กล่าวคำใดออกไป ส่วนประมุขกฎสวรรค์ก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะดึงสายตากลับไปที่งานต่อ…จนกระทั่งงานวันอวยพรฉลองอายุที่ถูกจัดตลอดทั้งวันได้เดินทางมาจนเกือบถึงช่วงสุดท้าย ครั้นอาทิตย์อัสดงท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีแดงจากจุดที่อยู่ห่างไกลออกไป จู่ๆ…เงาหนึ่งที่คุ้นตาก็ลอยขึ้นจากร่างของงูยักษ์ตัวนั้นที่นำหวังเป่าเล่อมา

“หลี่หว่านเอ๋อร์ศิษย์สำนักดาราจันทร์ ข้าเป็นตัวแทนของปรมาจารย์สำนักขอกล่าวคำอวยพรให้กับท่านประมุข วสันตฤดูและสารทฤดูหมุนเปลี่ยน เดือนปีวนมาบรรจบ ขอให้ประมุขนิรันดร์ดุจดั่งจันทรา รุ่งโรจน์ดุจดั่งสุริยน อายุยืนดุจดั่งจักรวาลไม่มีวันเสื่อมคลาย เป็นดั่งหน้ากระดาษสมุดแห่งโชคชะตา เป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีข้อยกเว้น!”

ผู้ที่กล่าวคือหลี่หว่านเอ๋อร์ นางสวมชุดกระโปรงพลิ้วสีฟ้า แม้จะสวมใส่หน้ากาก และไม่มีใครมองเห็นใบหน้าของนางได้ แต่น้ำเสียงที่ฟังดูกระฉับกระเฉงก็ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความงดงาม โดยเฉพาะเส้นผมยาวสลวยที่กำลังพลิ้วไหวนั้น ความสง่างามบนเรือนร่างทำให้ผู้ที่พบเห็นยากจะลืมเลือน

คำพูดของนางไม่ธรรมดาเช่นกัน น้ำเสียงแฝงด้วยนัยยะสุดลึกล้ำ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย หลังจากหวังเป่าเล่อได้ยิน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน

หน้ากระดาษสมุดแห่งโชคชะตา สมุดที่กล่าวคือหนึ่งชาติมีหนึ่งหน้า ส่วนเป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีข้อยกเว้น ก็คือการสืบทอด

ประโยคนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาแอบแฝงด้วยความประหลาดใจ หลังจากชำเลืองมองไปยังร่างของหลี่หว่านเอ๋อร์ เขาก็หันไปมองประมุขกฎสวรรค์อีกครั้ง จึงได้พบว่าทางฝั่งประมุขกฎสวรรค์กำลังส่งมอบรอยยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้

รอยยิ้มแตกต่างจากก่อนหน้า เพราะเป็นเสียงหัวเราะดังก้อง ไม่ทราบแน่ชัดว่าแท้จริงแล้วเขามีความสุขกับคำอวยพร หรือมีความสุขเพราะหลี่หว่านเอ๋อร์เป็นผู้กล่าวคำอวยพรกันแน่

“เหตุใดปรมาจารย์ของเจ้าจึงไม่มา?” หลังจากส่งเสียงหัวเราะ ประมุขกฎสวรรค์จึงเอ่ยถาม

“ปรมาจารย์กำลังเก็บตัว หลังจากหกสิบแปดปีจึงจะออกจากการเก็บตัว” หลี่หว่านเอ๋อร์ก้มหน้า ขณะกล่าวอย่างนอบน้อม

“เหตุใดต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วย” ประมุขกฎสวรรค์ส่ายหน้า เขายกแก้วสุราขึ้นมาพร้อมกับดื่มอึกใหญ่ ส่วนหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศเพื่อทำความเคารพอีกครั้ง นางเงยหน้ากวาดตามองมาทางฝั่งหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกลับไปนั่งลงบนร่างของอสูรดึกดำบรรพ์

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เมื่อได้สัมผัสถึงความหมายของบทสนทนานี้ ห่างออกไปบนร่างของอสูรดึกดำบรรพ์อีกตัวหนึ่ง ก็ปรากฏร่างของใครอีกคนหนึ่งลอยออกมา บุคคลผู้นี้ถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำจึงไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ดังออกมา หวังเป่าเล่อพลันหันไปมอง ทางฝั่งสวี่อินหลิงเองก็ร่างสั่นเทิ้ม

“ทาสนิรนาม เป็นตัวแทนของผู้นำตระกูลจันทรากล้วยไม้ เดินทางมาอวยพรให้กับประมุข เนื่องจากผู้นำตระกูลไม่อาจเดินทางมาด้วยตนเองได้ จึงได้ฝากคำอวยพรมามอบให้กับท่าน…”

“ผู้นำตระกูลกล่าวว่า ความทรงจำของนางได้รับการฟื้นฟูมาส่วนหนึ่งเมื่อไม่นานนี้ จึงอยากถามไถ่ท่านว่า เมื่อใดจะคืนความทรงจำส่วนอื่นๆ กลับคืนมา!”

“หลังจากนี้อีกหกสิบแปดปี!” ประมุขกฎสวรรค์กล่าวเสียงเรียบด้วยใบหน้าปกติ

“ขอบคุณท่านประมุข นอกจากนี้ผู้นำตระกูลยังสั่งให้ข้า นำคนผู้หนึ่งกลับไปด้วย” หลังจากคนที่สวมใส่เสื้อคลุมพยักหน้า เขาจึงหมุนตัวหันไปมองสวี่อินหลิงที่อยู่ในกลุ่มฝูงชน

สวี่อินหลิงหายใจผิดปกติ ร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งยังลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้ตั้งใจ นางเดินเข้าไปหาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้ สายตาเต็มไปด้วยความดิ้นรน พยายามมองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่บนเกาะ ด้วยสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ

สิ่งนี้ทำให้คนที่พบเห็นขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจหยุดยั้งได้

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากหยุดครุ่นคิด เขาจึงหยิบแก้วสุราและวางเบาๆ ลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า ในตอนที่แก้วถูกวางลง มือขวาของเขาพลันปรากฏแผ่นไม้สีดำคล้ายกับภาพลวงตาเข้ามาแทนที่ แม้ภาพลวงตาจะเกิดขึ้นเพียงแค่พริบตาเดียว แต่ตอนที่มันถูกวางลงบนโต๊ะ กลับเกิดเสียงดังฟังชัดท่ามกลางความว่างเปล่า

แปะ!

ร่างของผู้สวมชุดคลุมสีดำสั่นสะท้าน ร่างกายเกิดเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นก่อนจะกลายเป็นหมอก กระจายหายเข้าไปในพิภพเชื่อมสวรรค์ ส่วนสวี่อินหลิงที่ลอยอยู่กลางอากาศกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำพร้อมกับร่างสั่นเทา นางกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง ขณะหันมายกมือคารวะเพื่อกล่าวขอบคุณหวังเป่าเล่อ

……………………………..