บทที่ 1091 ไม่เป็นเทพเจ้า!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ!”

ในตอนที่สวี่อินหลิงคารวะกล่าวขอบคุณ ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่บนอสูรดึกดำบรรพ์ทั้งสามสิบเก้าตัวที่อยู่รอบๆ ต่างพากันหน้าถอดสี ขณะมองมาทางหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว

ความแปลกใจพลันฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเขา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถึงขั้นตกอยู่ในภวังค์ ความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เสียงที่หวังเป่าเล่อเคาะลงบนโต๊ะเปี่ยมล้นด้วยพลังที่ไม่อาจบรรยายได้ ราวกับส่งผลกระทบต่อกฎ จึงมีพลังที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนสั่นสะท้าน

ดังนั้นดวงวิญญาณเทพของผู้ที่ได้ยินต่างพากันสั่นคลอน กอปรกับดวงตาที่จ้องมองไปยังผู้อยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำที่แสนลึกลับผู้นั้น ภายใต้เสียงนี้ ร่างนั้นได้มลายหายไป ฉากนี้ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัวภายในก้นบึ้งของหัวใจ ในเวลาเดียวกันความสงสัยอันแรงกล้าก็ลอยขึ้นมาในหัวอย่างไม่อาจควบคุมได้

“หวังเป่าเล่อผู้นี้…มีบางอย่างผิดปกติ!”

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกได้ว่า หลังจากที่เขาออกมาจากการทดสอบครานี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับเขาโดยที่ไม่อาจบรรยายได้ บนร่างของเขามีบุคลิกที่แปลกประหลาดบางอย่าง”

“แม้ว่าก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อจะมีความแข็งแกร่ง แต่ก็เหนือกว่าข้าไม่มาก แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่า…ยามที่มองไปที่เขา ราวกับเห็นภาพลวงตาที่ดูเหมือนผู้เยี่ยมยุทธ์อาวุโสประตูบรรพชน แต่เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะของเขายังไปไม่ถึง!”

“ไม่ว่าจะเป็นหมัดเพียงหมัดเดียวเมื่อครู่ที่ทำให้นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าได้รับบาดเจ็บสาหัส  ทำให้ผู้ฝึกตนลำดับสิบเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐยอมก้มหัวให้ ทำให้ประมุขกฎสวรรค์ลุกขึ้นคารวะตอบ และทำให้เกิดเสียงประหลาดใจ แต่ก็มีเพียงคำตอบเดียว…ในการระลึกชาติของหวังเป่าเล่อผู้นี้ ย่อมได้รับสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน!”

ขณะสัมผัสสวรรค์ของทุกคนเกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถม ราวกับสัมผัสสวรรค์ถูกกระทบจากเสียงนั้น หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองมือที่เคาะโต๊ะ อดีตชาติที่อยู่ในสมองของเขาได้เปลี่ยนภาพแบบฉากต่อฉาก

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

ตนในตอนนี้ คาดว่าคงอยู่ในสถานะพิเศษเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ระลึกถึงอดีตชาติที่ห้าแล้ว ก็สามารถได้ว่าวิญญาณได้กลับไปอย่างสมบูรณ์ครั้งหนึ่งแล้ว หากใช้คำว่าเป็นอมตะก็คงไม่ใช่คำพูดเกินกว่าเหตุ

เป็นเพราะการตาย ไม่ใช่จุดจบของเขา ในชาติหน้าก็ยังมีชีวิตต่อไป เพียงแต่ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวจะเปลี่ยนบทบาททั้งหมดก็เท่านั้น โลกทั้งใบคล้ายกับสวรรค์ที่เป็นตัวต่อไม้ทับซ้อนกัน แต่ละชาติก็แค่เป็นการถล่มของตัวต่อไม้ ตัวต่อไม้ที่แตกต่างกัน วางในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน และทับซ้อนในรูปทรงที่แตกต่างกัน

ต่อให้การบ่มเพาะไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุด แต่ภายในชาตินี้ ตราบใดที่เขาเลือกที่จะไม่แปดเปื้อนกับเหตุต้นผลกรรม ก็ไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ เพียงแต่ข้อแลกเปลี่ยนก็คือการเฉยเมยต่อทุกสิ่ง มองดูสวรรค์และพิภพขึ้นสูงลงต่ำ มองจักรวาลที่สลัว มองโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลง

มองดูจุดจบของชาตินี้อย่างเงียบๆ มองดูผู้คนหายไป ราวกับดวงจิตของเทพที่มองจากเบื้องบน!

นี่คือถนนสายหนึ่ง และเป็นทางเลือกของชีวิต หลังจากเสียงก้องกังวานจากการเคาะได้ปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาเข้าใจถึงทุกสิ่ง

“ถนนเส้นนี้…เหมาะสมกับข้าหรือเปล่านะ?” หวังเป่าเล่อหลับตาลง

ในเวลานี้ทุกคนที่อยู่รอบด้านต่างมองมาทางหวังเป่าเล่อ ทั้งยังมีเงาภาพเหล่านั้นที่อยู่กลางเกาะบนภูเขาไฟ และ…ประมุขกฎสวรรค์

ทั้งแปดสิบเก้าคนล้วนดวงตาเป็นประกายด้วยความฉงน เมื่อครู่ร่างกายของพวกเขาพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ดังนั้นคนนอกจึงไม่ทันได้สังเกตเห็น

ทว่าประมุขกฎสวรรค์กลับสังเกตเห็น เขาหรี่ตาลง ความฉงนแอบซ่อนอยู่ในแววตาของเขา ครั้นพินิจหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วนแล้ว ริมฝีปากของเขาไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่กลับมีดวงจิตเทพที่ส่งเสียงผันผวนดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของหวังเป่าเล่อ

“เจ้ารู้หรือไม่ หลังจากที่เจ้ากลับมา การเรียกเจ้าว่าเทพเจ้าก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง เพราะเจ้าแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง”

“ข้าทราบ วิญญาณเป็นอมตะ เทพเจ้ากลับชาติมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า” หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น และตอบกลับด้วยท่าทางนิ่งสงบ

“ในเมื่อเจ้าทราบแล้ว ก็คงจะรู้คำตอบบางส่วนด้วย เหตุใดเจ้าจึงอยากปนเปื้อนเหตุต้นผลกรรม? ไม่แยแสต่อโลกเช่นข้า ไม่แปดเปื้อนเหตุต้นผลกรรม มองดูโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากผ่านไปหกสิบแปดปี ชาตินี้ก็จะเข้าสู่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นี่เป็นตัวเลือกที่ดีและสมควรที่สุดไม่ใช่หรอกรึ?”

หวังเป่าเล่อเข้าสู่ความเงียบเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ประโยคนี้ หากพูดให้ผู้อื่นฟัง คงไม่มีใครเข้าใจความหมาย มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร

ทว่าเขาไม่เต็มใจให้เป็นเช่นนี้ เช่นเดียวกับตอนที่เขาอยู่ในชาติที่หก ชาติที่เจ็ด ชาติที่แปด และชาติที่เก้า การระลึกชาติของคนอื่นๆ ที่คิดอยากจะออกไปดูนอกโลก แท้จริงแล้วเป็นความคิดอย่างไรกันแน่

เขาไม่อยากวุ่นวายแบบนี้ไปทุกชาติ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในขอบเขตตลอด อดีตชาติผ่านพ้นไปแล้ว เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ แต่ในชาตินี้…เขาสามารถไขว่คว้าได้

แม้ว่า…มันจะเป็นลางสังหรณ์ของเขา หากไม่เลือกเส้นทางที่เฉยเมยต่อทุกสิ่ง เปลี่ยนจากเทพกลับสู่มนุษย์ เดินอยู่บนเส้นทางอื่น เขาก็ต้องแลกกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก

“วานรเฒ่า ท่านใช้ชีวิตมาคราแล้วคราเล่า เพื่อพิสูจน์การมีอยู่ที่แท้จริงของท่าน หรือการมีอยู่ที่ผ่านมา?” หวังเป่าเล่อมองไปยังประมุขกฎสวรรค์ และส่งดวงจิตเทพออกไปเช่นเดียวกัน

ประมุขกฎสวรรค์เงียบขรึม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“เจ้าเองก็น่าจะทราบดี ชาตินี้ไม่เหมือนกับแปดสิบเก้าชาติก่อนหน้านี้…ข้ามีลางสังหรณ์ว่า หากชาตินี้ดับสิ้นลง มันก็จะ…หายวับไปกับตาและไม่มีอีกต่อไป หากไม่แปดเปื้อนกับเหตุต้นผลกรรม เจ้าก็จะมีชาติหน้าอีก”

“เมื่อเทียบกับการมีตัวตนด้วยการเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ข้าอยากอยู่อย่างมีความสุขโดยไม่รู้สึกเสียใจมากกว่า!” หลังจากหวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาจึงแสดงความคิดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว

“ข้าไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับที่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดชาตินั้นเจ้าจึงคิดอยากจะชนจักรวาลให้แตก…เจ้ามีอิทธิพลต่อเสือน้อย และจิ้งจอกน้อย พวกมันต่างก็เหมือนกับเจ้า เลือกที่จะออกไป แต่ข้าจะไม่ห้ามเจ้า” ประมุขกฎสวรรค์ทอดถอนใจเบาๆ

“ขอบคุณ” หลังจากหวังเป่าเล่อพยักหน้าส่งสัญญาณ ประมุขกฎสวรรค์พลันดึงสายตากลับไป

นอกจากตอบกลับประมุขกฎสวรรค์แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ เขาหยิบแก้วสุราขึ้นมาด้วยท่าทางปกติ ยกแก้วแตะริมฝีปากเพื่อดื่มลงคอ จากนั้นจึงเอ่ยกับสวี่อินหลิงที่เข้ามาหาเขาอีกครั้งว่า

“ถอยออกไปเถอะ”

คำพูดเบาๆ ลอยออกไป ทว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของหวังเป่าเล่อ ประกอบกับพลังเทพของเขาก่อนหน้านี้ หลังจากที่ได้ยินเขาเอ่ย สวี่อินหลิงที่ค้อมคำนับอีกครั้งด้วยความเคารพ ก็รู้สึกได้ถึงความลึกลับบนตัวของหวังเป่าเล่อที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เขานั่งอยู่ตรงหน้า แม้ว่าการบ่มเพาะจะไม่ได้มากมายอะไรเมื่อเทียบกับเงาภาพอื่นๆ แม้แต่ดารานิรันดร์ก็ไม่ใช่ เพียงแต่…ท่ามกลางสายตาของทุกคน แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อความรู้สึกแปลกประหลาดถูกส่งออกมา ภายในใจของทุกคนที่อยู่รอบตัวต่างเกิดเป็นความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้

หวังเป่าเล่อไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ หลังจากระลึกถึงประสบการณ์ของทั้งสิบชาติแล้ว เขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมามากมาย ด้านหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงคือการบ่มเพาะที่สูงขึ้น แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือความแตกต่างของความรู้ความเข้าใจ!

ไม่ว่าเผ่าเทพจะพิชิตจักรวาลอย่างบ้าคลั่ง หรือจะเป็นความริษยาร้ายแรงของทหารที่คับแค้นใจ ทั้งหมดต่างก็ทำให้อารมณ์ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น โดยเฉพาะชีวิตนั้นของกวางขาวน้อย และการกระโดดออกนอกโลก จนได้ไปเห็นผลกระทบการรับรู้ที่มาพร้อมกับโลง สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อเขาเป็นอย่างมาก

แต่ผลกระทบทั้งหมดนี้ ก็ยังสู้ตอนที่เขาอยู่ในมือของซุนเต๋อเศษวิญญาณแห่งกู่ไม่ได้ ทั้งหมดที่เห็นรวมถึงประสบการณ์ต่างก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้…หลังจากที่ได้พูดคุยกับประมุขกฎสวรรค์เกี่ยวกับการเลือกของหวังเป่าเล่อ

ไม่เป็นเทพเจ้าจอมปลอมที่กลับชาติมาเกิด ก็ต้องเป็นความรุ่งโรจน์ของโลกนี้!

ส่วนสาเหตุที่สังหารคนสวมเสื้อคลุมดำ เพื่อช่วยสวี่อินหลิงก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ คือการตามหาจื่อเยว่ หรือไม่ก็ให้จื่อเยว่มาหาเขา!

“ข้าไม่เชื่อ ในชาติที่เก้าที่สวี่อินหลิงกลายเป็นปลาน้อย ท้ายที่สุดก็ถูกจื่อเยว่บีบคอจนตาย ทำให้ข้าไม่ได้รับฟังคำตอบ เป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นเกี่ยวกับเบาะแสเดียวของตะขาบสีโลหิตในตอนนี้ บางทีอาจจะเป็น…จื่อเยว่!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเกิดแสงสว่างวาบ การระลึกถึงอดีตชาติ สิ่งที่ทำให้เขาระมัดระวังมากที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบก็คือตะขาบสีโลหิต!

ตะขาบตัวนี้อาจเป็นตัวแทนของวัตถุ แต่มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นมนุษย์ หวังเป่าเล่อไม่มีเบาะแส แม่นางน้อยที่อยู่หลังหน้ากากก็เงียบขรึมตลอดเวลา ดังนั้นหากอยากเข้าใจถึงตัวตนของตะขาบยักษ์สีโลหิต หวังเป่าเล่อคิดว่า…จื่อเยว่อาจแก้ปัญหานี้ได้

ส่วนการบ่มเพาะของจื่อเยว่ รวมถึงวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นจากฝีมือของนาง หวังเป่าเล่อก็พอจะคาดเดาได้ แม้ว่าจะอันตราย แต่หากพลาดโอกาสนี้ไป เขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะตามหาจื่อเยว่ได้จริงๆ เสียที

เมื่อเทียบกับอนาคตที่ไม่อาจควบคุมได้ อย่างน้อยเส้นสาย การบ่มเพาะ และภูมิหลังที่เขามีในตอนนี้ ก็สามารถทำให้วิกฤตลดน้อยลงได้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว

“จื่อเยว่ เจ้า…จะปรากฏตัวออกมาหรือไม่!” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ จากนั้นจึงก้มมองหน้าอกตนเอง ด้านในเสื้อมีชิ้นส่วนหน้ากากเสียบอยู่

“อีอี เจ้าคิดว่าไง”

…………………………………