ทั้งสองคนตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ
แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็จากไป
ใบเมฆาวายุก็เดินออกมาจากด้านข้าง แล้วเดินไปข้างกายบรรพชนงูเก้าเศียร
“เจรจาสำเร็จแล้วหรือ” ใบเมฆาวายุเอ่ยปาก
“มอบซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศเก้าร่างเป็นของกำนัลก็สำเร็จแล้ว” มุมปากของบรรพชนงูเก้าเศียรกระดกขึ้นเล็กน้อยแล้วเหลือบมองใบเมฆาวายุคราหนึ่ง “เจ้าไม่ได้มอบสิ่งใดเป็นของกำนัลเลยมิใช่หรือ”
ใบเมฆาวายุยังคงสงบนิ่ง “เขาได้อาหารมาง่ายมาก อาศัยตนเองก็สามารถแลกเปลี่ยนเอาซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศมาได้มากมาย ที่เขารับปากเจ้า ก็เพราะ ‘เจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงัน’ เป็นสิ่งที่เขาก็อยากได้เช่นกัน! มิเช่นนั้นแล้ว ของกำนัลเล็กน้อยเท่านี้ เจ้าคิดว่าเขาจะออกไปเสี่ยงชีวิตกับเจ้าจริงๆ น่ะหรือ”
“ข้ารู้นะว่าเจ้าอิจฉา” บรรพชนงูเก้าเศียรกล่าว
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ลึกซึ้งนัก
พวกเขาต่างก็ก้าวขึ้นมาทีละขั้นๆ จากคนธรรมดา หากพูดถึงความสูงส่งของระดับขั้นแล้ว พวกเขาก็คือผู้ที่มีระดับขั้นสูงที่สุดสองคนของเมืองเมฆาแดง
“ตัดสินใจแล้วหรือ” ใบเมฆาวายุถาม “อาศัยสายเลือดขั้นสุดตื่นรู้แล้วสำเร็จขั้นคละถิ่นน่ะหรือ”
“อื้ม ตัดสินใจแล้ว” บรรพชนงูเก้าเศียรพยักหน้า
“เจ้ายอมหรือ” ใบเมฆาวายุถามอีก “ด้วยการสั่งสมพลังของเจ้า ไม่แน่ว่าในภายหน้าอาจจะสามารถรู้แจ้งอย่างฉับพลันจนบรรลุก็ได้ ใช้พลังทำลายกฎแล้วสำเร็จเป็นระดับ ‘เจ้าดินแดน’ ซึ่งมีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้แกร่งกล้าคละถิ่น…ต่อให้ทำถึงขั้นใช้พลังทำลายกฎไม่ได้ หากได้รับการปฏิบัติอีกแบบจากเจ้าดินแดนสักคน ก็อาจจะส่งเจ้าไปยังโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งแล้วช่วยเจ้าให้กลับชาติไปจุติในโลกกำเนิดได้ แม้ปณิธานของโลกกำเนิดจะยังคงกดดันเจ้าดังเดิม แต่เจ้าก็มีหวังที่จะเข้าถึงโลกกำเนิดใบหนึ่งและสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาได้ในที่สุด”
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับเจ้าดินแดนเป็นระดับสูงสุด
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาก็ไม่เลวแล้ว อย่างน้อยภายในโลกกำเนิดที่ตนปกครองก็ไร้ศัตรู!
ส่วนสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง…เมื่อเทียบกันก็ค่อนข้างอ่อนแอแล้ว!
“เมื่อบำเพ็ญถึงระดับอย่างข้าแล้ว จะให้ข้ากลับชาติไปจุติในโลกกำเนิดสักแห่งก็ต้องทุ่มเทมากมายเกินไป! ยากกว่าการส่งผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอเข้าไปในโลกกำเนิดมากนัก” บรรพชนงูเก้าเศียรส่ายหน้า “ข้าอยู่ในโลกทิพย์มานานแสนนานแล้ว ก็ไม่เคยมีเจ้าดินแดนคนไหนมาพูดด้วยเช่นนี้มาก่อนเลย”
เขาสิ้นหวังไปนานแล้ว
เขาก็เข้าใจดี
โลกกำเนิด…แม้จะกดดันผู้แกร่งกล้าภายในโลกของตนอยู่บ้าง แต่อย่าง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘เจ้าศิลา’ ซึ่งทนผ่านการแตกสลายครั้งใหญ่ไปได้แล้วเข้าไปในยุคใหม่ ก็ล้วนถูกบีบบังคับให้เข้าสู่ห้วงนิทรา! นี่ก็คือปณิธานของโลกกำเนิดซึ่งกดดันสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทำให้สิ่งมีชีวิตยุคใหม่มีเวลามากพอที่จะเติบโตขึ้นมา
ส่วนระดับอย่างบรรพชนงูเก้าเศียร พลังแข็งแกร่งและน่าหวาดหวั่นเกินไป! เมื่อกลับชาติมาจุติ เดิมทีปณิธานของโลกกำเนิดก็กดดันอย่างหนักหน่วงอยู่แล้ว จะกลับชาติมาจุติให้สำเร็จ ก็ต้องแลกมาด้วยมูลค่าสูงอย่างยิ่งจนน่าหวาดหวั่น
ต่อให้สำเร็จแล้ว!
ก็จะถูกบีบบังคับให้เข้าสู่ห้วงนิทราเช่นเดียวกัน! หรือไม่ก็ถูกกดดันอยู่ที่แหล่งต้นกำเนิดของโลกกำเนิด…โดยสรุปแล้วก็คือมีพันธนาการชนิดต่างๆ ยิ่งมีพลังแข็งแกร่งเท่าไหร่ พันธนาการและขีดจำกัดก็จะยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นเท่านั้น โลกกำเนิดแข็งแกร่งเพียงใด แค่กดดันร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนหนึ่งก็ย่อมสบายมากเป็นธรรมดา
“ต่อให้สายเลือดตื่นรู้และสำเร็จขั้นคละถิ่น แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูง แต่ข้าเชื่อว่า ด้วยการสั่งสมของข้า…ก็สามารถบำเพ็ญจนถึงขั้น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกา’ ได้เช่นกัน ในภายหน้าถึงขั้นมีหวังบรรลุถึง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับเจ้าดินแดน’ ได้” บรรพชนงูเก้าเศียรพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
ใบเมฆาวายุมิได้เอ่ยอะไร
อันที่จริงแล้วสายเลือดตื่นรู้ก็คือเปลี่ยนแปลงร่างกายเป็นเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด! เส้นทางที่เติบโต ก็คือเส้นทางที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเติบโตขึ้นมา เมื่อเทียบกันแล้ว ทางเส้นนี้มีพลังที่ซ่อนอยู่ต่ำกว่ามากทีเดียว
เช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่บรรลุถึงระดับยาดสุดเช่นเดียวกัน อย่าง ‘สิ่งมีชีวิตพันเนตร’ และ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ ถึงขั้นสามารถทำให้เจ้าดินแดนอย่างหยวนได้รับบาดเจ็บได้ แต่พวกมันก็ยังคงสิ้นใจไปอยู่ดี
ส่วนเจ้าดินแดน…
แม้จะมีจำนวนน้อยมาก แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีผู้ที่สิ้นใจเลยแม้แต่คนเดียว!
เส้นทางทั้งสองสายนั้น เส้นทางใดสูง เส้นทางใดต่ำ ก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว
เพียงแต่การสำเร็จเป็น ‘เจ้าดินแดน’ นั้นยากกว่ามากนัก
“เส้นทางต้องเกิดจากการเดินทาง” บรรพชนงูเก้าเศียรเอ่ย “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เหมือนเจ้าที่ได้รับความสนใจจากผู้แกร่งกล้าคละถิ่นมากมายอยู่ก่อนแล้ว ถึงขั้นมีเจ้าดินแดนมาสัญญากับเจ้า ว่ายินดีช่วยให้เจ้ากลับชาติมาจุติยังโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง”
ใบเมฆาวายุส่ายหน้า “ใช้พลังทำลายกฎ นี่คือเส้นทางของข้า”
ทำวิถีสองสายให้บรรลุถึงระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น น่าหวาดหวั่นเพียงใด โลกทิพย์มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
“เส้นทางของเจ้าเดินได้ยากกว่าเสียอีก” บรรพชนงูเก้าเศียรหมุนกายจากไป ในใจของเขารู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้าง ด้วยพลังของเขา กลับไม่มีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคนไหนบ่มเพาะเขาอย่างเต็มกำลัง ทำได้เพียงสู้สุดชีวิตโดยพึ่งตนเองเท่านั้น
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมาถึงจวนของตน แล้วก็ตรวจดูซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ทางสายอากาศทั้งสิบห้าชนิดที่เก็บรวบรวมมาได้ แล้วก็อารมณ์ดียิ่งอย่างมิอาจควบคุม
“ยังเหลืออีกหกชนิด”
“หกชนิดนี้ล้วนหาได้ยากนัก ทว่าเจ้าเมืองเก้าเศียรก็มิได้ออกเก็บรวบรวมอย่างเปิดเผย คงจะแค่เก็บรวบรวมจากเหล่าสหายรักทั้งหลายกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เนื่องจากในประวัติศาสตร์ เมืองเมฆาแดงและเมืองอื่นอีกสี่เมืองก็มีการติดต่อกันบ้าง ถึงขั้นส่งกองกำลังมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่ากันเลยทีเดียว
สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่พบเห็นได้ยากยิ่งทางฝั่งตน ทางเมืองอีกฝั่งหนึ่งกลับมีให้เห็น
และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ใบเมฆาวายุกล้าพูดว่าสามารถช่วยเก็บรวบรวมได้ครบ
“ข้า หิมะเหิน อยากจะเก็บรวบรวมซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ทางสายอากาศหกชนิด ซึ่งก็คือหกชนิดนี้ ชนิดละตัว! ซากหนึ่งสามารถแลกเปลี่ยนอาหารได้สามเท่า” เขาอธิบายทั้งหกชนิดโดยละเอียด ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารให้ผู้บำเพ็ญทั้งหมดในเมืองเมฆาแดงผ่านวัตถุส่งสาร
อาหารสามเท่า!
โดยทั่วไปแล้ว ประเภทที่หาได้ยากระดับนี้ แลกอาหารได้สองเท่าก็ไม่เลวแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่งคั่งมาก จึงย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว
“พี่หิมะเหิน”
“จ้าวหิมะเหิน”
“หิมะเหิน…”
ข้อมูลต่างๆ ถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง
ก็เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนอาหารทั้งสิ้น!
เพราะถึงอย่างไรในเมืองเมฆาแดงก็มีผู้แกร่งกล้าสามพันกว่าคน ผู้ที่มีหนึ่งในหกชนิด ก็มีมากเกินร้อยคนเลยทีเดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงติดต่อผู้บำเพ็ญทีละคนๆ ตามลำดับก่อนหลังทันที เพื่อที่จะตกลงเรื่องการแลกเปลี่ยนอาหารอาหาร
“การจัดซื้อยุติแล้ว” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งสารให้ผู้บำเพ็ญทั้งหมด
……
เรื่องอย่างการแลกเปลี่ยนสามเท่านี้ ได้พบ แต่ก็มิอาจได้มา
เพราะทันทีที่ปรากฏขึ้นมา แต่ละฝ่ายก็ย่อมรีบไปแลกเปลี่ยนมาเป็นธรรมดา น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการเพียงชนิดละตนเดียวเท่านั้น! อาหารสามเท่า ในหกชนิดนี้ มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบางพวกที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง ตนหนึ่งก็สามารถเทียบได้กับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นสองตน ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้เสียซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ไปทั้งหมดยี่สิบห้าตน เพื่อแลกเอาหกชนิดที่ตนต้องการมาไว้ในมือจนครบ
“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นครบสมบูรณ์ทางสายอากาศทั้งยี่สิบเอ็ดชนิดของโลกทิพย์ เก็บรวบรวมครบหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดียิ่งนัก ภายในโถงตำหนักใต้ดิน สายตาอันร้อนรุ่มมองดูซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศแต่ละตนที่ถูกนำออกมา
เขาเริ่มค้นคว้าและรับรู้ทีละตนๆ โดยละเอียดอย่างอดใจไม่ไหว
******
จักรพรรดิเป่ยเหอก็ได้รับสารที่ตงป๋อเสวี่ยอิงประกาศอย่างเปิดเผยเช่นกัน
ประกาศว่าจะรับซื้อก่อน หลังจากนั้นก็ประกาศตามมาติดๆ ว่าการจัดซื้อยุติ!
“อาหารสามเท่า”
จักรพรรดิเป่ยเหออยู่ภายในคูหาของตน พลางตรวจดูข้อมูลข่าวสาร “สำหรับอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ สามารถได้อาหารมาง่ายดายถึงเพียงนี้ ก็ดี แม้ข้าจะได้อาหารมายากมาก แต่ระหว่างนั้น ก็ถือเป็นการเคี่ยวกรำตนเอง”
ใช่แล้ว
นี่คือการเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตายอย่างแท้จริง! บรรดาผู้บำเพ็ญต่างก็เข้าใจ แต่เมื่อถูกบีบบังคับให้ไปออกล่าครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็ไม่ชอบใจนัก
“หยาดน้ำพันเนตร”
จักรพรรดิเป่ยเหอพลิกมือคราหนึ่ง ‘หยาดน้ำ’ ซึ่งดูราวกับหยาดน้ำค้างหยดหนึ่งอยู่กลางฝ่ามือ จักรพรรดิเป่ยเหอมองดู “อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ อยากจะได้หยาดน้ำพันเนตรนี่มาตลอด เฮอะๆ…นี่คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นระดับที่สามารถแปลงกายเป็นหุบเขาเขี้ยวหักได้ทิ้งเอาไว้ จะให้อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ได้ไปง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด”
จักรพรรดิเป่ยเหอก็รู้ดีว่า หยาดน้ำพันเนตรไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลย! มีแต่ในสถานที่ต้องห้ามอย่าง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ เท่านั้นที่สามารถทำให้หยาดน้ำพันเนตรเกิดประโยชน์ขึ้นมาได้ บัดนี้ก็ไม่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญของตัวเขาเองเลย
แต่นี่คือสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดทั้งเนื้อทั้งตัวของเขา จักรพรรดิเป่ยเหอก็เข้าใจว่าเหตุใดตงป๋อเสวี่ยอิงจึงกระหายอยากได้นัก
“จะเป็นฝ่ายไปขอร้องเขาเองมิได้ รอให้เขามาขอข้าเองก่อน ถึงตอนนั้นจะต้องให้เขาทุ่มเทอย่างสาสม” จักรพรรดิเป่ยเหอลอบคิด
เดิมทีของชิ้นนี้ก็เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ได้มา
แต่ก็ถูกเขา จักรพรรดิเป่ยเหอฝ่าฝืนคำสาบาน แปรพักตร์และแย่งชิงเอาไป บัดนี้จักรพรรดิเป่ยเหอคิดจะอาศัย ‘หยาดน้ำพันเนตร’ ขูดรีดเอากำไรสักตั้ง
แต่กระนั้น…
เวลาล่วงเลยไป
หมื่นปี ล้านปี สิบล้านปี กว่าร้อยล้านปี…
จักรพรรดิเป่ยเหอก็ถูกบีบบังคับให้ออกล่าเสียแล้ว โดยที่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มาหาเขาเลย
………………