ภาคที่ 38 เจ้าดินแดนเสวี่ยอิง ตอนที่ 31 เยี่ยมเยียน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

นอกเมืองเมฆาแดง ท่ามกลางดินแดนรกร้าง

ผู้บำเพ็ญสามสิบคนกำลังห้ำหั่นกับ ‘สายฟ้า’ สายแล้วสายเล่าอย่างสุดกำลัง สายฟ้าเหล่านี้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ร้ายกาจเหนือธรรมดา อีกทั้งยังมีจำนวนมากมายยิ่งนัก มี ‘สายฟ้า’ อยู่ถึงสองร้อยกว่าสาย

“เปรี้ยง!”

ร่างกายของจักรพรรดิเป่ยเหอถูกสายฟ้าสายหนึ่งฟาดผ่าน และมีกรงเล็บหนึ่งฉีกทึ้งเลือดเนื้อร่างกายของ จักรพรรดิเป่ยเหอ ทั้งยังฉีกขาข้างหนึ่งขาดไปด้วย!

“ออกไป!” จักรพรรดิเป่ยเหอกลับมีสีหน้าโหดเหี้ยม ประกายกระบี่โจมตีบนตัวสายฟ้าสายนั้นราวกับกระแสน้ำ ทำให้สายฟ้าอันน่าอัศจรรย์นั้นถูกบีบคั้นให้ร่นถอยไป

ร่างกายของจักรพรรดิเป่ยเหองอกกลับมาอย่างรวดเร็ว

“เร็วเข้า สลัดให้หลุดจากพวกมันเร็ว”

“สลัดเร็ว”

“เร็วๆ เร็วเข้าสิ”

บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านี้มีความตื่นตระหนกอยู่บ้าง พวกเขาจำนวนมากพอสมควรต่างก็เผชิญกับภาวะวิกฤติ ในบรรดาพวกเขามีชายชราผมขาวรูปร่างกำยำอยู่คนหนึ่ง ดวงตาแปลกประหลาดของชายชราผมขาวผู้นี้มืดบอด มีประกายกระบี่สายแล้วสายเล่าห้อมล้อมอยู่บริเวณรอบๆ โจมตี ‘สายฟ้า’ ที่อยู่บริเวณรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง ‘สายฟ้า’ เหล่านี้ในความเป็นจริงแล้วคือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นคล้ายงูสี่เท้าที่ตลอดร่างอาบไล้อยู่ท่ามกลางอสนีบาต

ชายชราตาบอดผมขาวก็คือ ‘บรรพชนกระบี่ซินเหยี่ยน’ ผู้จัดตั้งกองกำลังในครั้งนี้ แล้วก็เป็นเพราะเขา กองกำลังในครั้งนี้ยังไม่ปรากฏการลดขนาด ผู้บำเพ็ญจำนวนมากพอสมควรเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติ ต่างก็ส่งประกายกระบี่ลอยไปขับไล่สิ่งมีชีวิตคละถิ่น

ประกายกระบี่สิบสามสายห้อมล้อมอยู่รอบๆ ‘บรรพชนกระบี่ซินเหยี่ยน’ ส่งเสริมเพื่อนร่วมงานอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังอาศัยจังหวะสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางและจักรพรรดิเทพช่วงท้ายจำนวนหนึ่งด้วย

สู้ไปพลาง ถอยไปพลาง!

ยามที่ค่อยๆ ปลีกตัวออกไปนั้น ความเร็วในการล่าถอยของพวกเขาก็รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปลีกตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“พรึ่บ”

กองกำลังผู้บำเพ็ญสามสิบคนแปลงกายเป็นลำแสงจางๆ สายหนึ่งอย่างมิได้ใส่ใจที่เปิดเผยตัวตน แล้วพุ่งตรงไปยังเมืองเมฆาแดงด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่น

เพราะว่าเดิมทีพวกเขาก็อยู่ค่อนข้างใกล้เมืองเมฆาแดงอยู่แล้ว ภายใต้การมุ่งหน้าไปอย่างสุดกำลังนี้ เพียงชั่วครู่ก็กลับไปถึงภายในเมืองแล้ว

“พี่ซินเหยี่ยน”

“พี่ซินเหยี่ยน คราวนี้กลับมาเร็วเหลือเกิน”

ผู้แกร่งกล้าสองคนที่รับผิดชอบรักษาการณ์บนกำแพงเมืองพูดยิ้มๆ

ชายชราตาบอดผมขาวส่ายหน้าเอ่ยว่า “โชคไม่ดีน่ะสิ คิดไม่ถึงว่าออกล่านอกเมืองแค่บริเวณใกล้ๆ ก็เผชิญเข้ากับ ‘อสนีอสรพิษกรงเล็บเทา’ ฝูงหนึ่งเสียแล้ว มีสองร้อยกว่าตน ที่เป็นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ก็มีถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว!”

“อะไรกัน อสนีอสรพิษกรงเล็บเทามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“พี่ซินเหยี่ยนช่างร้ายกาจเสียจริง ทุกคนล้วนมีชีวิตรอดกลับมาหมดเลย”

ยามรักษาการณ์ผู้แกร่งกล้าทั้งสองคนเอ่ยชม

“พี่ซินเหยี่ยนช่างโชคดีนัก”

“หากไม่มีพี่ซินเหยี่ยน คราวนี้ไม่แน่ว่าข้าอาจต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว ถึงขนาดที่ต้องเผชิญกับอสนีอสรพิษกรงเล็บเทาที่ยากจะต่อกรด้วยที่สุดในแถบนี้” ผู้บำเพ็ญแต่ละคนในกองกำลังพูด

……

ในกองกำลัง จักรพรรดิเป่ยเหอกลับเงียบงัน

ถึงแม้ว่าผู้คนจำนนวนมากพอสมควรของกองกำลังในครั้งนี้จะประสบกับอันตราย แต่ส่วนใหญ่ก็คุ้นชินกันไปเสียแล้ว ในท้ายที่สุดวันเวลาที่จักรพรรดิเป่ยเหอมาถึงยังเมืองเมฆาแดงก็ยังสั้นลงอยู่พอสมควร นี่คือครั้งที่อันตรายที่สุดหลังจากที่เขามาถึงยังเมืองเมฆาแดง

“เกือบตายมาหลายครั้งเลยทีเดียว” จักรพรรดิเป่ยเหอระลึกถึงสภาวการณ์อันตรายหลายครั้งก่อนหน้านี้แล้วก็อดหัวใจสั่นไหวมิได้

“ออกล่าอยู่ข้างนอกก็ต้องขึ้นกับโชคชะตาแล้วจริงๆ หากโชคไม่ดีมีฝูงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่กล้าแกร่งพอโจมตีเข้ามา ก็จะมีอันตรายถึงชีวิตได้” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยพึมพำ “ถึงแม้ว่าข้าจะเลือกออกล่าที่บริเวณใกล้ๆ เมืองเมฆาแดงมาโดยตลอด เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วที่บริเวณใกล้ๆ ด้านนอกเมืองนั้นก็ปลอดภัยกว่า แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบเท่านั้น… สิบครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้ง จำนวนหลายครั้งแล้วก็ยังอาจเผชิญอันตรายอย่างใหญ่หลวง”

นอกเมือง

ก็เพียงแค่ปลอดภัยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกันเท่านั้น ต้องรู้ไว้ว่าแม้กระทั่งนักโทษคละถิ่นที่น่าหวั่นเกรงที่สุดอย่าง ‘เจ้าสมุทรคละถิ่น’ นั้นก็ยังเคยมาที่เมืองเมฆาแดงมาก่อน ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเผ่าพันธุ์ใหม่สักฝูงหนึ่งมาถึงที่นี่ด้วยเช่นกัน

“อันตรายเกินไปเสียแล้ว”

“เป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าหากคราวหน้าเผชิญกับภยันตรายอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้อีก ข้าจะยังมีชีวิตรอดต่อไปได้อีกหรือไม่” จักรพรรดิเป่ยเหอกังวลใจอยู่บ้าง

ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ แต่พลังยุทธ์ระดับเขานี้ที่เมืองเมฆาแดงสามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุด! มีอยู่มากกว่าแปดส่วนเสียอีก!

“ไม่อย่างนั้นก็เลือกเข้าร่วมกองล่าสังหารระยะไกลเหล่านั้น ถึงแม้ว่าระยะทางไกล จะยิ่งอันตรายมากกว่าก็จริง! แต่อาหารที่ได้รับครั้งหนึ่งก็สามารถอยู่ได้ถึงร้อยล้านปีหรือนานกว่านั้น” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยพึมพำ

“หรือไม่ก็สวามิภักดิ์ใต้บังคับบัญชาของสุดยอดผู้แกร่งกล้าสักฝ่ายหนึ่ง กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกองกำลังใต้บังคับบัญชาของเขา” จักรพรรดิเป่ยเหอคิดใคร่ครวญ

ภายในเมืองเมฆาแดงมีสุดยอดผู้แกร่งกล้าอยู่ทั้งสิ้นหลายสิบท่าน

กองกำลังใดๆ ที่จัดตั้งขึ้นต่างก็ดึงดูดบรรดาผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่ให้อยากจะมาเข้าร่วมกันอย่างบ้าคลั่ง! เพราะว่ายามที่บุกฝ่าอยู่ข้างนอก สุดยอดผู้แกร่งกล้าโดยทั่วไปก็จะปกป้องกองกำลังของตนอย่างสุดความสามารถก่อน ภายใต้เงื่อนไขของการปกป้องกองกำลังของตน จึงจะสามารถช่วยเหลือผู้บำเพ็ญเอกเทศได้เล็กน้อยสักครั้ง

“แต่พลังยุทธ์ของข้ามิได้มีความพิเศษแต่อย่างใด แล้วใครจะอยากรับข้ากันเล่า” จักรพรรดิเป่ยเหอลอบส่ายศีรษะ

หลายปีมานี้

ก็นับว่าเขาได้ประจักษ์กับพลังยุทธ์ของสุดยอดผู้แกร่งกล้ามาแล้ว

ก็เหมือนกับ ‘บรรพชนกระบี่ซินเหยี่ยน’ ในครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองเมฆาแดง กระบี่เทพสิบสามสายของเขา พลังคุกคามของกระบี่เทพทุกสายต่างก็เทียบเคียงได้กับพลังรบระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ท่านหนึ่ง! กระบี่เทพสิบสามสายผสานรวมกันขึ้นมา พลังรบก็แข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น คราวนี้เขาก็ควบคุมกระบี่เทพสิบสามสาย จึงสามารถปกป้องทุกคนเอาไว้ได้ทั้งหมด

……

ณ เมืองเมฆาแดง ภายในโถงตำหนักเมฆาแดง

กองกำลังของพวกจักรพรรดิเป่ยเหอนี้ก็ทำการแบ่งสรรปันส่วนของกำนัลจากการต่อสู้ที่ได้มา อ้างอิงจากข้อตกลงที่ทำไว้ก่อนหน้า ‘บรรพชนกระบี่ซินเหยี่ยน’ เพียงคนเดียวก็นำไปได้ถึงแปดส่วนแล้ว! บรรดาผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ก็ปันส่วนกันจากอีกสองส่วนที่เหลือโดยอ้างอิงจากการมีส่วนร่วม

ช่วยไม่ได้ บรรพชนกระบี่ซินเหยี่ยนนำไปแปดส่วน… ทุกคนก็ยังอยากจะเข้าร่วม ก็เพราะว่าลูกไม้ที่บรรพชนกระบี่ซินเหยี่ยนเชี่ยวชาญนั้นเหมาะสมที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน การออกล่าที่นอกเมืองสำหรับบรรพชนกระบี่ซินเหยี่ยนแล้วคล้ายว่าจะไม่มีอันตราย คราวนี้โชคมิใคร่จะดีนัก ก็ยังคงพาทุกคนกลับมาได้ทั้งหมดเช่นเดิม นี่ก็คือเหตุผลที่เขานำไปได้ถึงแปดส่วน!

“อาหารสิบสองล้านปี” จักรพรรดิเป่ยเหอรับเอาอาหารที่แบ่งมาถึงมือของตนมา

การแบ่งส่วนสิ่งที่ได้จากการชนะศึกสำเร็จเสร็จสิ้นลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไป

จักรพรรดิเป่ยเหอเดินอยู่บนถนนตามลำพังคนเดียว

“อาหารสิบสองล้านปี เช่นนี้ต่อไป หนึ่งหมื่นล้านปี… ข้าก็จำเป็นต้องออกไปเสี่ยงชีวิตถึงพันครั้งอย่างนั้นหรือ”

“ข้ามาที่เมืองเมฆาแดงสั้นเกินไปแล้ว ที่นี่มีผู้แกร่งกล้ามากมายเกินไป มาจากโลกที่แตกต่างกัน ระบบการบำเพ็ญของพวกเขาก็ไม่เหมือนกัน วันเวลาที่ได้แลกเปลี่ยนกับพวกเขาทำให้ข้าได้รับอะไรมามากมายนัก มีเวลามากพอก็ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมีความก้าวหน้ามากขึ้นไปอีก ไปถึงระดับสุดยอดผู้แกร่งกล้า ไปถึงระดับเดียวกันกับเจ้าเมืองหงส์เมฆาก็เป็นได้”

“ข้าต้องการเวลา ต้องการเวลาบำเพ็ญให้ดีๆ”

จักรพรรดิเป่ยเหอเดินไปถึงนอกประตูคูหาแห่งหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เขาหันหน้าไปมองประตูหลักของคูหาแห่งนี้

นี่คือคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิง!

“อิงซานเสวี่ยอิง! ก็ยังต้องขอร้องเขาอยู่ดีสินะ” จักรพรรดิเป่ยเหอขบกราม “ข้ารอคอยอยู่ตลอด รอให้เขาเริ่มไปขอร้องข้าก่อน ข้าก็จะอาศัยโอกาสขายหยาดน้ำพันเนตรในราคาสูงลิบลิ่ว แต่ตลอดมาเขาก็ไม่เคยมาเลย… ข้าก็ได้แต่มาถึงที่ก่อนแล้วล่ะ”

เขาก็เข้าใจกระจ่างดี

ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มต้นไปขอร้องก่อน เขาก็สามารถฉวยโอกาสขายในราคาสูงได้

เขา เป่ยเหอ มาขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงซื้อหยาดน้ำพันเนตร ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะต้องกดราคาอย่างแน่นอน

“ข้ารอไม่ไหวแล้ว”

จักรพรรดิเป่ยเหอเดินตรงเข้าไปทางประตูหลัก

ที่ประตูคูหามียามรักษาการณ์หุ่นเชิดอยู่ตนหนึ่ง ยามรักษาการณ์หุ่นเชิดตะโกนว่า “หยุดนะ”

“ไปบอกเจ้านายบ้านเจ้าว่าข้า เป่ยเหอ มาพบเขา” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด

ยามรักษาการณ์หุ่นเชิดเงียบงันไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าถ่ายเสียงให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง เพียงไม่นาน ยามรักษาการณ์หุ่นเชิดก็พูดว่า “จ้าวเป่ยเหอ เชิญเข้ามาก่อน เจ้านายบ้านข้ากำลังรอท่านอยู่ในบ้าน”

จักรพรรดิเป่ยเหอจึงได้ตรงเข้าไปข้างใน

มีสาวใช้หุ่นเชิดตนหนึ่งมานำทางโดยเฉพาะ นำเดินไปตามทางเดิน เพียงไม่นานก็มาถึงภายในสวนแห่งหนึ่ง

ภายในสวน

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในศาลา กำยานอันหนึ่งกำลังเผาไหม้ กลิ่นหอมแผ่กำจาย ด้านข้างก็มีสาวใช้คอยรับใช้อยู่ มีอาหารและผลไม้รสโอชะวางเรียงราย กาสุราก็อุ่นร้อนเอาไว้

ตงป๋อเสวี่ยอิงสองตาปิดสนิท เห็นได้ชัดว่ากำลังบำเพ็ญอย่างเงียบๆ

“วันนี้ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ข้าเสี่ยงชีวิตก็เพื่ออาหารเล็กๆ น้อยๆ แต่อาหารสำหรับอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ เพียงแค่กระดิกนิ้วก็ได้มาแล้ว” ระดับจิตใจเช่นจักรพรรดิเป่ยเหอนี้ เพิ่งจะประสบกับภยันตรายใหญ่หลวงมาหมาดๆ เมื่อดูวารวันของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็อดที่จะเกิดความคิดอิจฉาริษยาขึ้นมามิได้

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดการบำเพ็ญแล้วลืมตาขึ้น เหลือบมองจักรพรรดิเป่ยเหอที่เดินเข้ามาบนทางเดินไกลออกไปปราดหนึ่ง “เป่ยเหอหรือ เจ้าถึงกับมาหาข้าก่อน ช่างหาได้ยากจริงๆ”

………………………