ตอนที่ 635 ที่แท้นางก็คือ?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

พระองค์เองก็ไม่ทรงทราบว่าทำไมอยู่ๆจึงได้เกิดความสนพระทัยขึ้นมา 

 

 

บางทีอาจเป็นเพราะวันเวลาในแดนสวรรค์นั้นน่าเบื่อหน่าย ไม่มีเรื่องใดให้ตื่นเต้นมานานแล้วก็ได้ 

 

 

จิตวิญญาณจากโลกเบื้องล่างดวงหนึ่ง ก็สามารถสิงสถิตย์ในร่างเนื้อของผู้อื่น เล็ดลอดขึ้นมาถึงบนนี้ได้ นี่ยังมิใช่เรื่องที่น่าสนใจอีกหรือ? 

 

 

แถมเหล่าเทพบนแดนสวรรค์ก็ยังไม่มีผู้ใดจับพิรุธของเจ้ามดปลวกตัวนี้ได้อีกต่างหาก 

 

 

พระองค์ทรงสงสัยอยู่ในพระทัยว่า ภายใต้ร่างที่มีเนื้อหนังนั่น แท้จริงแล้วซุกซ่อนจิตวิญญาณแบบใดเอาไว้กันแน่? 

 

 

จึงได้ทรงประทับทอดพระเนตรอยู่เฉยๆ โดยมิได้ลงมือใดๆ 

 

 

ระดับจักรพรรดิสวรรค์ ย่อมไม่ทรงลงมือกับพวกมดปลวกอยู่แล้ว 

 

 

พระองค์ประสงค์จะประทับอยู่ด้านนอก มองดูเจ้านกยักษ์ค่อยๆฉีกกระชากร่างเนื้อนั่นออก ปล่อยให้เลือดสดๆไหลนองลงมา พอเหลือแต่ซากกองอยู่บนพื้น โฉมหน้าที่แท้จริงนั้นมีหรือจะไม่ปรากฏออกมา? 

 

 

………………….. 

 

 

ที่ด้านนอกของเจดีย์กำราบมาร เหล่าเทพที่เฝ้าสังเกตการณ์ดูอยู่แต่ไกล ต่างก็พากันประหลาดใจขึ้นมา 

 

 

พวกเขารู้สึกได้ถึงความอึกทึกครึกโครมที่กำลังเกิดขึ้นภายในเจดีย์ หรือว่าในนั้น….จะมีการต่อสู้กัน? 

 

 

ใครกำลังต่อสู้กันอยู่? 

 

 

และต่อสู้กันเพราะอะไร? 

 

 

นี่จึงเป็นประเด็นหลักที่เหล่าเทพทั้งหลายสนใจ 

 

 

เทียนตี้กับเจ้าสวะจากโลกเบื้องล่างนั้นยังคงอยู่ข้างในนั้นนี่นา 

 

 

“กรรรร ….” ทันใดนั้นเอง เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดของเหล่ามังกรหยกเขียวก็ดังมาแต่ไกล 

 

 

เหล่าเทพต่างก็พากันหันไปมอง พอเห็นว่ามังกรหยกเหล่านั้นกำลังลากพระตำหนัก หลิงเซียวเป่าเตี้ยนมาทางนี้ พวกเขาก็พากันหลีกทางให้ 

 

 

พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน คือที่ประทับของเทียนตี้และเทียนโฮ่ว ทั้งยังมีท้องพระโรงที่เหล่าเทพใช้เป็นสถานที่ประชุมอีกด้วย 

 

 

การประชุมในวันนี้เสร็จสิ้นไปแต่แรกแล้ว อีกทั้งตอนนี้เทียนตี้ก็ทรงประทับอยู่ในเจดีย์กำราบเทพมาร เช่นนั้นผู้ที่ประทับอยู่ในพระตำหนักหลิงเซียนเป่าเตี้ยน ย่อมต้องเป็นเทียนโฮ่วแล้ว! 

 

 

พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องนี้จะถึงกับทำให้เทียนโฮ่วทรงเคลื่อนไหวเช่นกัน 

 

 

เหล่าเทพในแดนสวรรค์ต่างก็ทราบกันดีว่า เทียนตี้ทรงรักถนอมเทียนโฮ่วมาโดยตลอด แม้จะบอกว่าเป็นมุกที่ถนอมเอาไว้บนฝ่าพระหัตถ์ก็ไม่ถือว่าเกินไป 

 

 

แม้ว่าเทียนตี้จะทรงมีฝีมือโหดเ**้ยม จัดการเรื่องราวต่างๆด้วยความเด็ดขาดและรุนแรง แต่กลับทรงดีต่อเทียนโฮ่วอย่างยิ่ง 

 

 

บนแดนสวรรค์นี้ เทียนโฮ่วปรารถนาสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีเรื่องให้หมองพระทัยมาก่อนเลย 

 

 

เพียงแต่ที่ผ่านมาเทียนโฮ่วมักจะเก็บพระองค์ น้อยครั้งนักที่จะเผยพระโฉม 

 

 

อีกอย่างในแดนสวรรค์ก็ยากจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นจนถึงขั้นกระเทือนถึงพระนางด้วยเช่นกัน 

 

 

เหล่ามังกรหยกที่ลากพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนหยุดห่างจากเจดีย์กำราบเทพมารในระยะพันเมตร 

 

 

ครู่ต่อมา ก็มีสิบแปดเทพธิดาที่งดงามเหาะออกมาจากตำหนักกลางของพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน 

 

 

เหล่าเทพธิดายกเกี้ยวนอนสีแดงหลังใหญ่เอาไว้ ทั้งยังมีบันไดหยกหนึ่งร้อยแปดขั้นเหาะตามมาอีกด้วย 

 

 

รอบด้านของเกี้ยวมีม่านโปร่งคลุมอยู่ แม้ผ้าเนื้อบางจะพลิ้วไหวไปตามสายลม แต่ยังก็สามารถมองเห็นเค้าโครงของสตรีที่อยู่ภายในได้ 

 

 

งดงามเกินผู้ใดจะเปรียบ สูงส่งเหนือใดเทียบ  

 

 

ท่วงท่าของนางสง่างาม สมดั่งที่เป็นพระมารดาผู้อยู่เหนือหกภพภูมิ 

 

 

แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจได้ยลพระพักตร์ 

 

 

ยามที่เกี้ยวทรงมาถึง กลิ่นหอมก็ขจรขจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกเบิกบานขึ้นมาในทันที 

 

 

เหนือเกี้ยวทรงหลังนั้น มีนกยูงขาวหลายตัวบินโฉบไปมา พวกมันทางหนึ่งโผบิน ทางหนึ่งก็ส่งเสียงกู่ร้องที่ไพเราะออกมา 

 

 

เผ่านกอมตะนั้น ได้ดับสูญไปตั้งแต่ครั้งบรรพกาลแล้ว  

 

 

สายเลือดที่หลงเหลืออยู่จึงมีแต่นกยูงและเจ้านกยักษ์เท่านั้น 

 

 

นกยูงนับเป็นวิหคที่งดงามเป็นยอด ส่วนนกยักษ์ก็โหดเ**้ยมดุร้ายที่สุด 

 

 

นกยักษ์ที่มีอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล คล้ายจะเหลือแต่เพียงเจ้าตัวที่อยู่ในเจดีย์กำราบเทพมารตัวนี้ตัวเดียวเท่านั้นแล้ว 

 

 

นกยูงขาวก็หาพบได้ยาก นกยูงขาวเหล่านี้เดิมทีเป็นสัตว์ในโลกปัจจุบัน แต่เนื่องเพราะเทียนโฮ่วโปรดปราน เทียนตี้จึงส่งคนลงไปนำขึ้นมา เลี้ยงเอาไว่ในพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน 

 

 

เช่นเดียวกับปลามังกรที่อยู่ในสายธารแห่งดวงดาว 

 

 

มิว่าสิ่งใดที่เทียนโฮ่วทรงโปรดปราน เทียนตี้ก็ทรงนำมามอบให้ถึงพระหัตถ์อย่างไม่มีข้อแม้ 

 

 

แต่ว่าเหตุใดเทียนตี้จึงได้ทรงรักใคร่และโปรดปรานเทียนโฮ่วถึงเพียงนี้ กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดในแดนสวรรค์กล้าวิพากย์วิจารณ์ 

 

 

ผู้ที่รู้เรื่องอยู่บ้างก็บอกว่า เทียนโฮ่วทรงถูกเทียนตี้รับพระองค์ขึ้นมา คล้ายจะเป็นรักแรกพบ 

 

 

……………… 

 

 

ในเจดีย์กำราบเทพมาร ตู๋กูซิงหลันกำลังขี่คอของนกยักษ์อยู่ 

 

 

เจ้าตัวร้ายนี้แม้ว่าจะเป็นลูกหลานของนกอมตะ แต่คงจะเป็นเพราะผ่านการเข่นฆ่าสังหารมาอย่างโชกโชนตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ทั้งยังชมชอบเนื้อมนุษย์ ดังนั้นบนร่างจึงเปี่ยมไปด้วยไอสังหารที่น่าตื่นตระหนก 

 

 

เพียงแค่ไอสังหารของมันก็รุนแรงพอบีบเค้นคนให้ขาดใจตายได้แล้ว 

 

 

ที่ด้านนอกกรงยังมีตี้เสียประทับยืนทอดพระเนตรอยู่ ต่อให้ตู๋กูซิงหลันสามารถเอาชนะเจ้านกยักษ์ได้ เกรงว่าพอออกไปก็ต้องถูกฝ่าพระหัตถ์ของเทียนตี้อัดติดกำแพงจนแซะก็แซะไม่ออกเป็นแน่ 

 

 

และถึงแม้ว่านางจะมาด้วยร่างจริงก็คงไม่อาจเอาชนะตี้เสียได้อยู่ดี 

 

 

คนอย่างตู๋กูซิงหลันย่อมรู้จักการประมาณตนอยู่แล้ว 

 

 

ที่ด้านนอกกรง ตี้เสียทอดพระเนตรมองดูนางเกาะติดหนึบอยู่บนคอของนกยักษ์อย่างไม่ยอมปล่อยอย่างเงียบๆ ไม่มีท่าทีจะลงมือแต่อย่างใด 

 

 

ในขณะที่เจ้านกยักษ์ก็ทั้งกู่ร้อง ทั้งกระพือปีก และหมุนไปมาอยู่บนพื้น พยายามจะเหวี่ยงนางลงมาอยู่ตลอด 

 

 

แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับติดอยู่กับมันอย่างแน่นหนา เหมือนกับผ้าปิดปากแผลแผ่นหนึ่ง 

 

 

จิตมังกรของเยี่ยเฉินได้แต่ร่ำร้องอย่างโหยหวน พูดจริงๆนะ ตอนนี้เขาอยากจะตายๆให้สิ้นเรื่องไปเสียมากกว่า 

 

 

ยังดีกว่าต้องมาถูกทรมานอยู่เช่นนี้ 

 

 

สตรีผู้นี้เป็นตัวประหลาด ที่ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถกระทำออกมาได้ทั้งสิ้น! 

 

 

เขามีลางสังหรณ์ว่า อีกสักครู่นางจะต้องจิตวิญญาณแตกสลาย ส่วนจิตมังกรของเขาก็ต้องติดอยู่ในวังวนไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิดเป็นแน่ 

 

 

เพราะหากว่ากันตามสายเลือดแล้ว พวกเขาก็เท่ากับว่าเป็นพี่ชายน้องสาวกัน 

 

 

หากจะจะเถียงว่าตนกับนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น ผู้ใดในแดนสวรรค์จะยอมเชื่อถือกัน? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจเสียงกรีดร้องอันโหยหวนจากจิตมังกรของเยี่ยเฉิน นางอาศัยมุมอับที่ตี้เสียไม่อาจทอดพระเนตรเห็น ล้วงเอายันต์โลหิตสองผืนออกมาซัดใส่ร่างของเจ้านกยักษ์ 

 

 

ก่อนที่จะขึ้นมาบนแดนสวรรค์ นางได้ตระเตรียมยันต์โลหิตเอาไว้มากพอสมควร เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ 

 

 

นางแค่คิดไม่ถึงว่า จะได้ใช้เร็วถึงเพียงนี้ 

 

 

สิ่งที่ผนึกอยู่ในยันต์โลหิตเหล่านี้คือพลังหยินสุดขั้ว พอเข้าสู่ร่างของนกยักษ์จึงให้ผลเหมือนใช้พิษสะกดข่มพิษ 

 

 

หลังจากที่อาจารย์จากไป ตู๋กูซิงหลันก็ศึกษาและค้นคว้าอยู่เนิ่นนาน ถึงได้คิดวิธีพิษสะกดพิษเช่นนี้ขึ้นมา แต่ก็ไม่เคยได้ทดลองมาก่อน จึงไม่ได้มีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นว่ายันต์โลหิตนี้จะสามารถควบคุมเจ้านกยักษ์เอาไว้ได้ 

 

 

จิตมังกรของเยี่ยเฉินร้องคร่ำครวญออกมา เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องมีวันเช่นนี้มาก่อนเลย วันที่ได้แต่หวังว่าวิธีการขอตู๋กูซิงหลันจะได้ผล 

 

 

ร่างกายของเขาจะตายก็ได้ แต่เขาไม่อยากจิตวิญญาณแตกดับ 

 

 

พวกสวรรค์ล้วนชั่วร้าย ……แค่ลองคิดๆดูก็น่าหวาดผวามากแล้ว 

 

 

พอยันต์โลหิตสองแผ่นถูกผนึกลงไป เจ้านกยักษ์ก็เพลากำลังลงไปบ้าง 

 

 

ไอหยินที่วิ่งพล่านอยู่ภายในร่างของมัน ทำให้มันรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว 

 

 

อีกทั้งกรงเล็บก็ยังถูกล่ามเอาไว้ มันจึงไม่อาจวาดลวดลายได้อย่างเต็มที่ พอไม่อาจกำจัดตู๋กูซิงหลันได้อย่างรวดเร็ว ก็เท่ากับว่าตกบ่วงของนางเข้าแล้ว 

 

 

สีพระพักตร์ของตี้เสียที่ทอดพระเนตรอยู่ด้านนอก ก็ชักจะแข็งกระด้างขึ้นมาอีกหลายส่วน 

 

 

พระองค์ไม่ทรงคาดคิดมาก่อนเลยว่า เจ้านกยักษ์ตัวนี้จะยอมสงบอยู่ภายใต้พวกมดปลวก 

 

 

สายพระเนตรของพระองค์ยังคงจับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันแขวนตัวอยู่บนลำคอเจ้านกยักษ์ พระองค์โบกพระหัตถ์ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ประตูกรงก็เปิดออก พระวรกายกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าไปในกรงของนกยักษ์ 

 

 

ฝ่าพระหัตถ์ข้างหนึ่งซัดลงบนลำคอของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว ทำให้นางตกลงมาจากบนลำคอของนกยักษ์ในทันที 

 

 

จากนั้นก็โบกพระหัตถ์ขึ้นเขวี้ยงนางลอยสูงขึ้นไปในอากาศ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วขึ้นมา ริมฝีปากของนางท่องคาถา นิ้วมือก็ขยับเป็นปางมือต่างๆ 

 

 

ขณะที่นางเหลือบตามองไปทางปากประตูกรง ร่างก็พุ่งไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด 

 

 

แต่ว่าตี้เสียคือผู้ใดกัน? 

 

 

ไหนเลยจะยินยอมให้นางหลบหนีไปโดยง่าย? 

 

 

พระหัตถ์ข้างหนึ่งพุ่งตรงออกมา ประทับลงบนใจกลางแผ่นหลังของตู๋กูซิงหลัน ฝ่ามือนั้น ใช้ออกด้วยพลังของเทียนตี้ผู้ไร้ที่เปรียบ ย่อมสามารถบีบให้วิญญาณของนางที่สถิตย์อยู่ในร่างของเยี่ยเฉินหลุดออกมากว่าครึ่ง 

 

 

…………………