ตอนที่ 634 ในที่สุดเจ้าก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

กระดูกมนุษย์ 

 

 

ขณะที่เจ้านกยักษ์กระโดดโผเข้ามา โครงกระดูกบนพื้นก็ถูกมันกระทืบจนแหลกละเอียด 

 

 

กระโหลกมนุษย์ที่ปนอยู่ในกองกระดูกกระเด็นมาถึงร่างของตู๋กูซิงหลัน จนนางต้องรีบถอยหลบ 

 

 

กระโหลกมนุษย์ชิ้นนั้นร่วงใส่อ้อมแขนของนาง จากนั้นก็กลิ้งจากอ้อมแขนของนางลงไปบนพื้นด้านข้าง 

 

 

บนกระโหลกยังมีเลือดเนื้อติดอยู่ เลือดไหลซึมออกมา ส่วนบนของกระโหลกยังมีเส้นผมติดอยู่ 

 

 

ภาพเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกสยดสยองอย่างที่สุด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบกลั้นลมหายใจเอาไว้ เบื้องหน้าของนางมีแต่ลมจากปีกของนกยักษ์โหมเข้ามา หากไม่ใช้พลังวิญญาณกางกั้นเอาไว้ มีหวังต้องถูกพัดจนลอยออกไป 

 

 

ยังดีที่ด้านหน้าของนางมีตี้เสียประทับอยู่ แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของตี้เสีย ย่อมสามารถสะกดข่มเจ้านกยักษ์เอาไว้จนมันไม่กล้าอาละวาด 

 

 

“เจ้าคงจะสงสัยสินะว่า บนแดนสวรรค์จะไปหามนุษย์จากที่ใดมาให้มันกิน ใช่ไหม?” 

 

 

พระองค์ตรัสต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่ามองเห็นความในใจของตู๋กูซิงหลันอยู่แล้ว 

 

 

“แดนสวรรค์ ที่อยู่สูงสุดเหนือหกภพภูมิ ทวยเทพ ย่อมได้รับการกราบไหว้จากพวกมดปลวกในโลกเบื้องล่าง ศพและเลือดเนื้อของมนุษย์เหล่านี้ ก็เป็นเพียงแค่ของถวายที่มดปลวกเหล่านั้น ใช้เพื่อวอนขอโอกาสในการดำรงชีวิตต่อไป” 

 

 

“อ้อ พวกมดปลวกนั่นยังรู้จักคัดเลือกของถวายที่มีหน้าตาดี คงจะคิดไปว่า เผื่อเทพเจ้าองค์ไหนถูกตาต้องใจเข้า จะได้ถือโอกาสนี้พลิกสถานะกลายเป็นเทพกับเขาบ้างกระมั้ง?” 

 

 

ที่จริงแล้วน้ำเสียงของตี้เสียน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าพอตรัสเรียกผู้อื่นเป็นมดปลวกอยู่ทุกคำ กลับทำให้ไม่น่าฟังเป็นที่สุด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันฟังจนรู้สึกปวดหูแล้ว 

 

 

“ส่วนมดปลวกที่ถูกซือเป่ยเห็นคุณค่าอย่างเจ้า นับว่ามีอยู่น้อยมาก” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” เขาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งแดนสวรรค์ กลับพูดจาอย่างปราศจากน้ำใจไมตรี กีดกันและแบ่งแยกชนชั้นอยู่ตลอด 

 

 

แสดงว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่เบื้องหน้าจื่อเวยซิงจุน ต้องถือว่าตี้เสียทรงให้เกียรติและรักษาหน้ามากแล้ว 

 

 

ตอนนี้เมื่ออยู่ที่เจดีย์กำราบเทพมาร ก็มีแต่เพียงเขากับนางและนกยักษ์ตัวหนึ่งเท่านั้น จะพูดอะไรก็ไม่จำเป็นต้องระวังอีกต่อไป 

 

 

“เทียนตี้ตรัสเช่นไร ก็คือเช่นนั้น” ตู๋กูซิงหลันเงยหน้าขึ้นมามองไปยังกองกระดูกที่อยู่ไม่ไกลออกไป 

 

 

ในกรงใบมหึมา ขาของเจ้านกยักษ์ถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เหล็ก ถึงแม้ว่ามันจะสามารถโผมาถึงเบื้องหน้าของพวกนาง แต่ก็ไม่อาจออกมาจากกรงได้อยู่ดี 

 

 

กรงเล็บของมันคมกริบอย่างที่สุด ราวกับง้าวของยมทูต กรีดลงไปบนพื้นอยู่ตลอดเวลา 

 

 

จนสามารถมองเห็นร่องรอยบนพื้นเต็มไปหมด 

 

 

ตี้เสียทอดพระเนตรมาทางตู๋กูซิงหลันอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “มดปลวกที่มาจากโลกเบื้องล่างตัวหนึ่ง กลับมีความสงบนิ่งกว่าที่เราคาดคิดเอาไว้เสียอีก” 

 

 

เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงของตี้เสียตรัสต่อไปว่า “เจ้าช่างเสแสร้งได้ยอดเยี่ยมนัก” 

 

 

ขณะที่ตรัสคำว่าเสแสร้งสองคำนั้น กรงเล็บของเจ้านกยักษ์ก็กรีดไล่ขึ้นมาถึงพื้นตรงหน้าพอดี 

 

 

พื้นเบื้องหน้าเกิดประกายไฟลุกพริบขึ้นมา เมื่อมองผ่านประกายไฟไปยังสามารถมองเห็นดวงตากลมโตราวลูกเหล็กที่อยู่ด้านหลัง ดวงตาของมันเบิกกว้างจนมองเห็นเส้นเลือดสีแดงและความกระหายเลือดได้อย่างชัดเจน 

 

 

หัวใจของตู๋กูซิงหลันกระตุกวาบขึ้นมา นางเข้าใจว่าตนเองสามารถแสดงดีจนไม่มีพิรุธให้จับได้เสียอีก 

 

 

แต่ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ คือผู้ที่มีอำนาจสูงส่งที่สุดในแดนสวรรค์ ความสามารถของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงไหน ตู๋กูซิงหลันก็ไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ 

 

 

หากจะบอกว่าเขาสามารถตรวจสอบเจอว่าภายใต้เนื้อหนังของเยี่ยเฉินนี้มีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งซุกซ่อนอยู่ นางก็คงไม่ได้รู้สึกว่ามันจะแปลกอะไร 

 

 

ในเมื่อหมื่นปีก่อน ตอนที่อาจารย์ซื่อมั่วยังเป็นราชาแห่งยมโลก ตี้เสียผู้นี้ก็เคยทำสงครามกับอาจารย์มาแล้ว 

 

 

อาจารย์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน ตู๋กูซิงหลันก็ยังนึกไม่ออก 

 

 

นางกระพริบตาปริบๆ แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นยืน “ผู้น้อยไม่เข้าใจว่าเทียนตี้ทรงหมายความเช่นไร” 

 

 

“อ้อ?” ตี้เสียทรงพระสรวลเสียงเย็นชา พอดัชนีของเขาขยับงอเล็กน้อย ตู๋กูซิงหลันก็ถูกหิ้วขึ้นมาจากบนพื้น 

 

 

ขนาดเยี่ยเฉินที่มีร่างกายแข็งแรง แต่พอถูกเขาหิ้วขึ้นมายังมีสภาพเหมือนลูกเจี้ยบที่ถูกหิ้วเอาไว้ตัวหนึ่ง 

 

 

ตี้เสียทรงไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิด พระหัตถ์ใหญ่โตโบกขึ้นครั้งหนึ่ง ประตูกรงของนกยักษ์ก็เปิดออก จากนั้นก็เขวี้ยงตู๋กูซิงหลันเข้าไปข้างใน 

 

 

พอพระหัตถ์นั้นโบกอีกครั้ง ประตูกรงก็ปิดลงมา 

 

 

“บางทีเจ้านกยักษ์อาจจะช่วยให้เจ้าจำอะไรได้บ้างกระมั้ง?” ตี้เสียทรงประทับอยู่ที่นอกกรง ทั่วพระองค์ล้อมด้วยรัศมีสีทองเรืองอร่าม แม้แต่ผิวพรรณก็เปล่งประกายออกมาจากภายใน 

 

 

แม้จะดูเหมือนพระโพธิ์สัตว์เสด็จลงมาบนโลกแต่ที่จริงแล้วกลับแสบตาจนร้อนผ่าว 

 

 

นับตั้งแต่แวบแรกที่ทอดพระเนตรเห็นตู๋กูซิงหลัน พระองค์ก็ไม่คิดจะปล่อยนางไปอยู่แล้ว 

 

 

แต่กลับทรงทำเป็นสงบนิ่งแสร้งทำพระองค์เป็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้สูงส่งและพระทัยกว้าง การแสดงนี้แนบเนียนเสียจนตู๋กูซิงหลันต้องยอมรับนับถือ 

 

 

ทันทีที่ประตูกรงปิดลงอย่างแน่นหนา เจ้านกยักษ์ที่มีท่าทางกระตือรือล้นอยู่ก่อนก็เปิดฉากโจมตีใส่ตู๋กูซิงหลันอย่างดุร้าย 

 

 

แววตาของมันบ่งบอกความกระหายเลือด กรงเล็บที่คมกริบดุจง้าวของยมทูตพุ่งเข้าหาทรวงอกของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงเดิมพันจนถึงขั้นสุดท้าย นางไม่ยอมหลบหลีก ปล่อยให้ร่างกายของเยี่ยเฉินโดนข่วนไปหนึ่งกรงเล็บเต็มๆ 

 

 

แม้ว่ากรงเล็บนั้นจะพลาดเป้าไปเล็กน้อย แต่ต้นขาของเยี่ยเฉินก็ยังเลือดทะลักจนเห็นกระดูก 

 

 

จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันผสานเข้ากับร่างเนื้อของเยี่ยเฉินในระดับสูง ดังนั้นทุกอาการบาดเจ็บของเยี่ยเฉิน นางย่อมรู้สึกได้อย่างชัดเจน 

 

 

ขณะที่รับการโจมตีครั้งนี้ ตู๋กูซิงหลันยังแอบเหลือบตามองดูตี้เสียที่ยืนอยู่นอกกรงแวบหนึ่ง 

 

 

อีกฝ่ายยืนอยู่ในที่เดิม รัศมีสีทองรอบกายเปล่งประกายอยู่ตลอดเวลา และไม่มีทีท่าว่าจะให้เจ้านกยักษ์หยุดการโจมตีเลยสักนิด 

 

 

คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงได้เข้าใจแล้วจริงๆว่า อีกฝ่ายดูนางออกหมดแล้ว 

 

 

“เอาอีก” ตี้เสียมองดูนางที่หลั่งเลือดท่วมไปทั้งขา แววพระเนตรที่อยู่เบื้องหลังรัศมีสีทองยังคงเย็นชา “นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นมดปลวกที่มีความอดทนเช่นนี้ หากว่าร่างนั้นย่อยยับไป ดูสิว่าเจ้ายังไม่ยอมออกมาอีกหรือเปล่า” 

 

 

ใช่แล้ว ตั้งแต่ยามอยู่ที่ตำหนักจื่อเวยกง พระองค์ก็เหลือบพระเนตรมามองดู ‘เยี่ยเฉิน’ อยู่หลายครั้ง ยิ่งพอได้อยู่ใกล้ๆ ก็ทรงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากคนผู้นี้ 

 

 

สิ่งที่อยู่ในร่างของเขา มิใช่จิตวิญญาณของแดนสวรรค์ 

 

 

หากมิใช่ว่าพระองค์บังเอิญได้พบเจอกับเขา ก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าแดนสวรรค์มีเภทภัยเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ 

 

 

เดิมทีความเคลื่อนไหวของวิถีดวงดาวในช่วงนี้ และดวงดาวจักรพรรดิที่หม่นแสงลงไปก็กระตุ้นความระแวงของตี้เสียอยู่แล้ว 

 

 

ยามนี้เมื่อตู๋กูซิงหลันมาเจอกับเขา จึงยิ่งเหมือนมีหนามแทงตา 

 

 

ขณะที่นางยังไม่ทันได้รู้ตัว ตี้เสียก็ทรงใช้พลังวิญญาณสำรวจดูนางอย่างเงียบๆแล้ว 

 

 

สิ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนก็คือ ในร่างกายนี้มีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่ง 

 

 

และผู้ที่ควบคุมร่างอยู่ถึงกับมีฝีมือปิดบังที่สูงส่ง ทำให้พระองค์ไม่อาจเห็นว่าเขามีรูปร่างเช่นไรกันแน่ 

 

 

ที่ทรงโยนนางเข้าไปในกรงของนกยักษ์ก็เพื่อที่จะได้ทำลายร่างเนื้อนั่นทิ้งไป 

 

 

ทีนี้จิตวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ภายในย่อมต้องหลบหนีออกมา 

 

 

พระองค์แย้มสรวลอย่างเย็นชาที่มุมพระโอษฐ์ สายพระเนตรปรากฏแววสังหาร 

 

 

ภายในกรง พอตู๋กูซิงหลันขยับ เจ้านกยักษ์ก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง  

 

 

แต่ว่าครั้งนี้ นางมิได้รอความตายอยู่เฉยๆอีกแล้ว 

 

 

นางลุกขึ้นมาจากบนพื้น ร่างเหยียดตรงดุจพู่กัน ทันทีที่กรงเล็บของนกยักษ์ตะครุบลงมา ร่างก็ขยับวูบ เหาะขึ้นไปอยู่เหนือหัวของมัน 

 

 

เจ้านกยักษ์โกรธเกรี้ยว สองปีกโบกไปมาอยู่เหนือศีรษะอย่างวุ่นวาย คิดจะขับไล่นางออกไปจากหัวของมัน 

 

 

มันเกลียดยามที่มีพวกแมลงมาวนเวียนอยู่เหนือหัวของมันที่สุด นี่ทำให้มันหงุดหงิดจนจะคลั่ง! 

 

 

ที่ด้านนอกกรง ตี้เสียทรงแย้มสรวลอย่างเย็นชา พระองค์ทรงนับเม็ดประคำอย่างเนิบนาบต่อไป พลางตรัสว่า “ในที่สุดเจ้าก็ยอมเผยโฉมออกมาแล้ว” 

 

 

………………….