ตอนที่ 633 เรื่องที่เหล่าทวยเทพคิดไม่ถึง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ในดวงดาวที่มืดมิดใบหนึ่ง 

 

 

บุรุษในชุดสีดำลายทองนอนทอดกายอยู่ในศูนย์กลางของดวงดาวที่ว่างเปล่าอย่างเงียบๆ 

 

 

บนดวงดาวนั้นมีแต่ความว่างเปล่าปราศจากผู้คน ราวกับลูกบอลสีดำลูกใหญ่ที่ห่อหุ้มเขาเอาไว้ 

 

 

เขานอนอยู่ในใจของดาวดวงนี้อย่างสงบนิ่ง 

 

 

ทั้งๆที่ภายในลูกบอลสีดำนี้ไม่มีสายลม แต่ว่าเสื้อผ้าและเส้นผมของเขากลับพลิ้วอยู่ตลอด ดวงหน้าของบุรุษผู้นั้นเป็นใบหน้าที่คมสันและงดงามดุจเทพสร้าง 

 

 

ในตอนนี้ แสงสว่างจากภายนอกของลูกบอลสีดำถูกส่งเข้ามาภายในนี้อย่างไม่ขาดสาย 

 

 

แสงสว่างเหล่านั้นวนอยู่รอบกายเขา และฟาดลงมาบนร่างดุจสายฟ้าที่คมกริบ 

 

 

ภายในดวงดาวที่เหมือนลูกบอลสีดำนี้ ยังเต็มไปด้วยสีสันที่สดใส มันมีสีสันต่างๆมากมายจนคนคิดไม่ถึง 

 

 

แต่ว่า มิว่าจะมีสีสันจนงามเพียงไรก็ยังไม่อาจจะงดงามไปกว่าบุรุษผู้นี้ได้ 

 

 

เขานอนสงบนิ่งอยู่ในลูกบอลสีดำใบนี้มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว 

 

 

ตอนที่พึ่งจะปรากฏตัวขึ้นมานั้น ร่างกายนี้มีแต่ความบอบช้ำทุกส่วนแตกหัก จึงต้องประสานกันราวกับสร้างขึ้นมาใหม่ 

 

 

หลังใช้ลมหายใจแห่งปรโลกไปเผาผลาญและหล่อหลอมพลังจิตวิญญาณจำนวนมหาศาลตลอดเวลา เรือนร่างที่แตกหักและบอบช้ำนั้นค่อยๆประสานเข้าหากันจนสมบูรณ์ เมื่อดูจากภายนอกก็งดงามปราศจากตำหนิใดๆทั้งสิ้น 

 

 

แสงสว่างที่ระยิบระยับอยู่ภายในลูกบอลนั้นยังคงถูกดูดซับผ่านเข้ามาจากดวงดาวที่อยู่ใกล้ๆ 

 

 

และดวงดาวที่ถูกดูดซับไปมากที่สุดก็คือดาวจักรพรรดินั่นเอง 

 

 

ในจักรวาลนี้ ทั่วทั้งหกภพภูมิกลับไม่มีผู้ใดเชื่อว่า ภายในลูกบอลสีดำใบนี้จะมีบุรุษอยู่ผู้หนึ่ง 

 

 

เหล่าทวยเทพในแดนสวรรค์ยิ่งคิดไม่ถึงว่า สักวันหนึ่งจะมีผู้ครองฟ้าและกำราบดินแดนมาจากเจ้าลูกบอลสีดำที่พวกเขาดูไม่ออกลูกนี้ 

 

 

………………… 

 

 

แดนสวรรค์ เจดีย์กำราบเทพมาร 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ตามเสด็จตี้เสียมายังที่นี่ ข่าวลือในแดนสวรรค์ก็กระจายไปทั่วแล้ว 

 

 

ถึงแม้ว่ายามปกติพวกเทพจะรักษาทีท่าว่าข้านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์วางตนสูงส่งอยู่เสมอ  

 

 

แต่ว่าพอมีเรื่องข่าวลือแพร่ออกมา ก็ไม่เคยมีผู้ใดยอมพลาด 

 

 

ต่างก็พูดกันไปว่าเจ้าสวะจากเผ่ามังกรทมิฬผู้นั้นช่างมีเคล็ดลับยอดเยี่ยม สามารถเสาะหาวิธีดึงดูดความสนพระทัยของเทียนตี้ได้อย่างรวดเร็ว 

 

 

เทียนตี้คือผู้ใดกัน? 

 

 

พระองค์ย่อมทรงเป็นประมุขสูงสุดที่ปกครองทั่วทั้งหกภพภูมิ 

 

 

ต่อให้เป็นพวกเทพระดับสูง ยามปกติยังยากจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้ากราบทูลเทียนตี้สักหลายคำ พวกเขาจึงไม่เข้าใจจริงๆว่า เจ้าสวะผู้นั้นไปถูกพระทัยเทียนตี้ได้อย่างไร 

 

 

จนกระทั่งมีคนไปขุดคุ้ยรายละเอียดขึ้นมา 

 

 

เจ้าสวะผู้นั้นใช้เขากวางเป็นอาวุธโจมตีเทียนตี้ ทั้งยังฉี่ราดที่เบื้องพระพักตร์เทียนตี้อีกด้วย! 

 

 

ดูท่าคงจะเป็นเพราะว่าโง่เขลาจนเกินไป ดูไปแล้วน่าสนุกสนานดี ถึงได้กระตุ้นความสนพระทัยของเทียนตี้ขึ้นมา ถึงได้ให้ตามเสด็จด้วยกระมั้ง 

 

 

สรุปแล้ว พวกเทพเหล่านี้ทางหนึ่งก็คอยกระทบกระเทียบตู๋กูซิงหลัน อีกทางหนึ่งก็คอยอิจฉาตู๋กูซิงหลัน 

 

 

พลังอำนาจของเทียนตี้แข็งแกร่ง เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดได้ 

 

 

บางทีแค่เทียนตี้ทรงตรัสขึ้นมาประโยคหนึ่ง เจ้าสวะผู้นี้ก็อาจจะได้กลายเป็นผู้มีอำนาจแดนสวรรค์ก็เป็นได้ 

 

 

ในยามนี้ รอบด้านของเจดีย์กำราบเทพมารจึงมีพวกเทพมาชุมนุมอยู่ไม่น้อย 

 

 

แววตาของพวกเขาทอประกายร้อนแรง แทบจะเผาผลาญเจ้าสวะผู้นั้นให้เป็นจุลอยู่แล้ว 

 

 

ในสายตาของพวกเขา เจ้าสวะผู้นั้นมิได้ใช้ความมานะพยายามใดๆ ก็สามารถได้รับความสำเร็จติดมือขึ้นมาง่ายๆ ทำให้คนไม่อาจยอมรับอย่างที่สุด 

 

 

ตอนนี้ทุกคนจึงพากันจ้องมองมา หากมิใช่ว่ามีเทียนตี้ทรงคุ้มครองมันอยู่ เจ้าสวะผู้นี้ก็คงจะศีรษะหลุดร่วงลงไปแล้ว 

 

 

ก็บนแดนสวรรค์แห่งนี้ ทุกๆวันก็มักจะมีพวกเทพเล็กเทพน้อยหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่แล้วมิใช่หรือ? 

 

 

…………… 

 

 

จนถึงยามนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกเทพทั้งหลายกำลังคิดสิ่งใดกันอยู่ 

 

 

ตลอดทางมานี้ เทียนตี้ผู้ทรงสูงส่งมิได้ตรัสอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว 

 

 

เมื่อเข้าไปใกล้เจดีย์กำราบเทพมาร พวกเขาก็ร่อนลงบนพื้นแบบหนักๆ แม้แต่พื้นหยกม่วงใต้ฝ่าเท้าที่มาจากตำหนักจื่อเวยกง ก็ยังแตกจนแหลกละเอียดเป็นผุยผง 

 

 

เศษหยกร่วงกราวกระจัดกระจาย 

 

 

เจดีย์กำราบมาร สมดังชื่อของมัน 

 

 

เจดีย์หลังนี้มีจำนวนชั้นไม่มากนัก เพียงแค่เก้าชั้นเท่านั้น ตอนนี้ตี้เสียทรงพาตู๋กูซิงหลันมาหยุดอยู่ที่บริเวณชั้นที่แปดของเจดีย์ 

 

 

เจดีย์หลังนี้เป็นทรงกลม รอบด้านทั้งหมดมีเขตอาคมกางกั้น เหมือนดังกรงขังขนาดใหญ่ที่สามารถกักขังได้ทั้งเทพและมารเอาไว้ภายใน 

 

 

ในอากาศมีกลิ่นสัตว์เหม็นเน่าที่ยากจะทนทานโชยชาย ทั้งยังเย็นยะเยือกอยู่บ้าง 

 

 

ยามนี้ในกรงขังชั้นที่แปดมีนกยักษ์ถูกขังเอาไว้ 

 

 

ร่างกายของมันมีขนาดใหญ่โตมาก เพียงแค่ขนที่ร่วงลงมาแต่ละเส้นก็มีความยาวเมตรกว่าๆแล้ว 

 

 

ยามนี้ เจ้านกตัวนั้นกำลังนั่งอยู่ในกรง เส้นขนบนร่างหลุดร่วงออกไปบ้าง 

 

 

มันซุกศีรษะเอาไว้ กำลังหลับไหลอยู่ ขนาดเมื่อตี้เสียและตู๋กูซิงหลันมาถึงแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว 

 

 

หนังตาของมันกระตุกเบาๆ ลูกตาที่มีขนาดใหญ่โตกำลังขยับไปมาอยู่ใต้หนังตานั้น ราวกับว่ากำลังหลับไหลอยู่ 

 

 

ตี้เสียทอดพระเนตรมองดูนกยักษ์อยู่ครู่หนึ่ง ก็หันมาเหลือบพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลันที่นอนกลิ้งอย่างอ่อนแรงอยู่บนพื้น “คนทั่วทั้งแดนสวรรค์ต่างก็รู้ดีว่า นกยักษ์เป็นสัตว์อสูรที่เราทุ่มเทแรงกายแรงใจไปสยบมันมา” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เทียนตี้ทรงเก่งกาจ” 

 

 

นกยักษ์ตัวนี้ เป็นผู้สืบสายเลือดจากนกอมตะ แม้ว่านางจะเป็นประมุขมังกรของเผ่ามังกรทมิฬ แต่ว่าก็ยังไม่เคยเห็นนกอมตะมาก่อนเลยสักตัว 

 

 

ทั้งยังไม่เคยเห็นร่องรอยของนกอมตะในแดนสวรรค์อีกด้วย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนึกว่าเรื่องของพวกนกอมตะจะมีอยู่แต่ในเรื่องเล่าเพียงเท่านั้นเสียอีก 

 

 

แม้จะได้รับคำชมจากนาง ตี้เสียก็มิได้แสดงกริยาว่าปลาบปลื้มออกมา พระองค์เพียงแต่มองดูนกยักษ์ตัวนั้นนิ่งๆ จากนั้นก็ตรัสออกมาอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเด็ดผลไม้ทิพย์มาแล้วมิใช่หรือ ไยจึงไม่ป้อนมัน?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบล้วงเอาผลไม้ทิพย์ออกมา ประคองเอาไว้ในมือ ยื่นถวายตี้เสีย “เจ้านกยักษ์เป็นสัตว์อสูรในพันธสัญญาณของฝ่าบาท สูงส่งและล้ำค่า กระหม่อมไหนเลยจะกล้าอาจเอื้อมไปป้อนมัน ในเมื่อเทียนตี้ทรงเสด็จมาแล้ว กระหม่อมก็ขอยืมดอกไม้บูชาพระ ถวายผลไม้ทิพย์เหล่านี้ให้พระองค์ได้ทรงป้อนมันจะดีกว่าพะยะค่ะ” 

 

 

ตามปกติแล้ว สัตว์อสูรที่อยู่ในพันธสัญญา หลังจากที่มีพันธะต่อกันแล้ว พวกมันมักจะพักผ่อนอยู่ในเขตอาคมพิเศษที่เรียกออกมาได้ทุกเมื่อของผู้เป็นนาย 

 

 

และเขตอาคมนี้ โดยมากแล้วก็จะผนึกรวมอยู่กับดวงจิตของนายด้วย 

 

 

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ สัตว์อสูรในพันธะมักจะอาศัยอยู่ในดวงจิตของเจ้านายเป็นหลัก แต่การที่เจ้าสัตว์อสูรในพันธะมาถูกขังไว้ในกรง ตู๋กูซิงหลันก็พึ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก 

 

 

พอมองดูให้ดี ยิ่งเห็นว่าที่ขาของนกยักษ์มีโซ่ขนาดข้อมือล่ามเอาไว้อีกด้วย 

 

 

ที่ข้างกรงเล็บของมัน มีกระดูกมากมายหลายชนิด 

 

 

เส้นขนที่ปะปนอยู่บนกระดูกเหล่านั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ดูแล้วเหมือนลานประหัตประหารที่โหดเ**้ยมน่ากลัวอย่างยิ่ง 

 

 

ตี้เสียทรงคีบผลไม้ทิพย์มาลูกหนึ่ง โยนเข้าไปในกรงอย่างสุ่มๆ ผลไม้ทิพย์ลูกนั้นก็ร่วงใส่หัวของเจ้านกยักษ์อย่างพอดิบพอดี 

 

 

เจ้านกยักษ์ที่กำลังหลับอยู่พลันตื่นขึ้น และมองมาด้วยความเกรี้ยวกราด 

 

 

ตี้เสียทรงทอดพระเนตรมองดูมัน ขณะเดียวกันก็ตรัสกับตู๋กูซิงหลันว่า “เจ้านกยักษ์ตัวนี้ แต่เดิมก็เป็นสัตว์อสูรที่โหดเ**้ยมอยู่แล้ว เราต้องทุ่มเทพลังไปมากมายจึงสามารถสยบมันเอาไว้ได้ เจ้าตัวนี้อารมณ์มันร้ายมาก นิสัยก็ไม่ดี มักจะต่อต้านอยู่เสมอ พอถูกขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบเทพมาร ถึงได้รู้จักสงบลงเสียบ้าง” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจับประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ได้แล้ว เทียนตี้ที่ทรงดำรงตนสูงส่งอยู่เสมอ มิได้ทรงเห็นว่าเจ้านกยักษ์ตัวนี้เป็นสัตว์อสูรในพันธะแต่อย่างใด 

 

 

ในสายพระเนตรของพระองค์ มันก็เป็นเพียงแค่สัตว์ชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธสังหารได้ก็เท่านั้นเอง 

 

 

“อ้อ ลืมบอกกับเจ้าไป สิ่งที่มันชอบกินที่สุด ไม่ใช่ผลไม้ทิพย์พวกนี้ แต่เป็นเนื้อ เนื้อของมนุษย์” 

 

 

หางเสียงของพระองค์ลากยาว คล้ายจะมีความจงใจอยู่หลายส่วน 

 

 

น้ำเสียงนั่นทำให้คนต้องรู้สึกขนลุกเกรียว 

 

 

ขณะที่นกยักษ์ตัวนั้นกระพือปีกพุ่งเข้ามา พระองค์ก็ชี้ดัชนีไปที่กองกระดูกที่อยู่ข้างๆมัน “เห็นหรือไม่ นั่นเป็นกระดูกมนุษย์” 

 

 

………………………..