ตอนที่ 2253 ก้อนหินใหญ่พลังหยิน

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หลังจากที่ลำแสงวาบวับปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วนั้น สิงโตเพลิงนับสิบที่กระโดนหนีออกไป ชั่วขณะนั้นผิวกายก็ถูกผลึกลำแสงจนกลายเป็นน้ำแข็งก้อนใหญ่ยักษ์

ชายหนุ่มชุดขาวในหน้าดูเย็นชา ปีกด้านหลังสะบัดไปมา จากนั้นก็แปลงกายเป็นภูตอยู่ตรงหน้าของก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง จากนั้นก็วาดมือออกไปเขียนอะไรบางอย่างลงไป

หลังจากเสียงดังปังออกมา ฉากอันน่าประหลาดใจผู้คนก็ปรากฏออกมา!

สิงโตเพลิงในก้อนน้ำแข็งตนนี้กายสั่นไหวขึ้นมา จากนั้นก็แตกกลายเป็นละอองเลือด

มีเพียงแค่แสงสีแดงจากกลุ่มจิตวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่พุ่งไปทางซ้ายและขวา แต่ว่าไม่มีหนทางที่จะพุ่งออกมาจากก้อนน้ำแข็งได้ ในเวลานี้ ชายชุดคลุมสีขาวอ้าปากออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เมฆขาวลอยออกมา แล้วพุ่งตรงไปยังก้อนน้ำแข็ง

เห็นเพียงประกายแสงจากก้อนเมฆม้วนตัวไปมา หมอกโลหิตที่แม้แต่จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของสิงโตเพลิงเองก็ถูกม้วนเข้าด้วยกัน จากนั้นก็มีเสียง “กึกกึก” ดังออกมา แล้วก็กลืนมันลงไปในท้อง

ร่างของชายหนุ่มชุดขาวด้านล่างพลิ้วไหวไปมา และหลังจากที่ใช้วิธีการเดียวกันกลืนกินเนื้อหนังและจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของสิงโตเพลิงตนอื่นๆ จึงได้เผยท่าทีพึงพอใจออกมา จากนั้นก็หันไปเอ่ยถามหญิงสาวชุดคลุมสีเงินที่ยืนอยู่ไกลๆ

“นักพรตปิงเฝิง เลือดเหล่านี้ช่างมีรสชาติอันโอชะ เจ้าจะมาลองชิมบ้างสักสองสามตัวหรือไม่”

หญิงสาวชุดคลุมสีเงินที่ยืนอยู่ไกลๆ ก็คือปิงเฝิงที่ออกจากเผ่ามนุษย์มาเมื่อหลายปีก่อน

จากลมหายใจของหญิงสาวดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าหลายเท่านัก อยู่ห่างจากระดับผสานอินทรีย์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น

“ข้าไม่เคยดื่มเลือดเป็นอาหาร นักพรตหกปีก อย่างไรเสียก็เชิญเจ้าตามสบายเถิด” ปิงเฝิงเอ่ยตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ช่างน่าเสียดายเสียจริง เลือดเนื้อของสัตว์อสูรเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังงานที่แผดเผามาจากแสงอาทิตย์ หลังจากที่กลืนกินมันไปแล้วมันก็จะรวมพลังหยินหยางและปราณแท้ของผู้ที่มีธาตุน้ำแข็งเหมือนกันกับข้า ไม่ใช่อาหารเสริมพลังเล็กน้อยหลังจากฝึกปรือแล้วหรอกนะ” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยออกมายิ้มๆ

จากนั้นกายของเขาก็เคลื่อนที่ไปมาอยู่ด้านข้างไม่หยุดหย่อน และทันใดนั้นหมอกโลหิตของสิงโตเพลิงเหล่านั้นก็ถูกเขากลืนกินลงไปจนหมดจด แล้วจึงเคลื่อนไหวอีกครั้ง ไปปรากฏอยู่ข้างกายของปิงเฝิง

“นักพรตปิงเฝิง พวกเราออกเดินทางกันต่อเถอะ ได้ยินมาว่าที่ที่ใกล้ที่สุดก็คือเผ่าอวี้ มีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่าใหญ่ๆ ในแผ่นดินใหญ่อัสนี คาดว่าจะต้องมีเขตอาคมส่งตัวอยู่ที่แผ่นดินใหญ่นี้แน่นอน ข้าจะได้ยืมใช้พอดี!” คำพูดที่ชายหนุ่มขาวเอ่ยออกมาทำเอาปิงเฝิงตกใจเล็กน้อย

“นักพรตหกปีก เจ้าตั้งใจที่จะไปยังแผ่นดินใหญ่อัสนีแห่งนั้นจริงหรือ?” หลังจากที่ท่าทางของปิงเฝิงเปลี่ยนไปมาจึงได้เอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม “เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว หากไม่ใช่ว่าเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ได้ยินออกมาจากปากของคนเผ่าอื่นแล้ว จึงได้รู้ว่าเจ้านายเดิมของข้าท่านนั้นมีข่าวว่าอยู่ในระดับมหายานแล้ว ข้าก็ไม่แน่ว่าอาจจะกลับไปยังเผ่ามนุษย์ก่อน แต่ว่าตอนนี้แล้วนั้น ข้าจึงจำเป็นต้องไปยังแผ่นดินใหญ่อัสนีแห่งนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยอิทธิฤทธิ์ของข้าในตอนนี้ ไม่มีความมั่นใจใดว่าจะสามารถควบคุมเจ้านายเดิมของข้าท่านนั้นได้” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยออกมาเสียงเย็น และขณะเดียวกันลวดลายสีเงินทองบนใบหน้าก็บิดๆ เบี้ยวๆ อารมณ์ท่าทางดูเหมือนกับหานลี่ถึงห้าหกส่วน

“หากว่าข้าไม่ได้จำผิดไปแล้ว พี่หานในตอนต้นนั้นเหมือนว่าจะไม่ได้ทำไม่ดีต่อเจ้า และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้เจ้าใช้ยาเสริมวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เจ้าเองก็คงจะไม่มีทางที่จะเริ่มต้นเปิดปัญญาทางจิตวิญญาณได้ และถึงขั้นที่ว่าไม่มีทางที่จะเดินมาถึงก้าวนี้ได้!” หลังจากที่ปิงเฝิงเงียบไปชั่วครู่ ก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทีประหลาด

“สาเหตุที่ข้าต้องการจะฆ่าหานลี่นั้น กับที่เขาปฏิบัติกับข้าอย่างไรในตอนต้นนั้นไม่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย เขาในตอนนั้นใช้เคล็ดวิชาสังเวยโลหิต เพื่อประทับตราเจ้านายและคนรับใช้ลงในจิตวิญญาณของข้า และตอนนี้ถึงแม้ว่าเคล็ดลับวิชานี้จะถูกลบล้างออกไปแล้วเกินกว่าครึ่ง แต่ว่าถ้าตราบใดที่เขายังไม่ตาย อย่างไรเสียข้าก็ยังจะถูกควบคุมอยู่ได้ เฮ่อเฮ่อ ข้าในเมื่อเปิดปัญญาทางจิตวิญญาณได้แล้ว บำเพ็ญเพียรจนมีกายเป็นมนุษย์ ต่อไปเป็นผู้ที่ตั้งใจจะเดินไปในทางสายใหญ่ แล้วจะปล่อยจุดอ่อนไว้ในกำมือผู้อื่นได้อย่างไรกัน เพราะฉะนั้นแผ่นดินใหญ่อัสนี อย่างไรเสียข้าต้องไปแน่นอน” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาออกมา

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าจะสามารถตามหาสิ่งที่ต้องการได้ในแผ่นดินใหญ่อัสนีจริงๆ อย่างนั้นหรือ ของสิ่งนั้นเป็นเพียงแค่คำเล่าลือกันก็เท่านั้น โอกาสที่เจ้าจะตามหามันพบ ข้าว่ามีเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น!” ปิงเฝิงสองตาหรี่เล็กลง เอ่ยออกมาช้าๆ

“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ ข้าในเมื่อตัดสินใจจะไปที่นั่นแล้ว แน่นอนว่าต้องมีความมั่นใจถึงได้ทำเช่นนี้ อีกทั้งเผ่าสูอินบนแผ่นดินใหญ่อัสนีนั้น มีคนส่วนน้อยที่จะสามารถเห็นด้วยตาของตน ว่ากันว่าเผ่านี้สามารถติดต่อกับอาทิตย์จันทราได้โดยตรง สามารถรวมพลังหยินได้ เฮ่อเฮ่อ ข้าเพียงแค่ใช้เคล็ดวิชาฝืนวิญญาณดูดซับพลังงาน ก็สามารถบำพ็ญเพียรจนมีกายวิญญาณที่เที่ยงแท้ และพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นก็ฆ่าหานลี่เจ้านายเดิมคนนี้เสีย แน่นอนย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจนัก

แต่เมื่อปิงเฝิงได้ยินมาจนถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เหมือนจะดูไม่ได้ขึ้นมาอยู่หลายส่วน

“ไม่ว่าเจ้าวางแผนที่จะก่อความวุ่นวายให้กับพี่หาน หรือว่าจะไปยังแผ่นดินใหญ่อัสนี เช่นนั้นแล้วทำไมจึงต้องนำตัวข้าเดินทางไปด้วย หากว่าเจ้าต้องการจะฆ่าข้าจริงๆ ลงมือไปแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า” ดวงตาคู่งามของปิงเฝิงจ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดขาว หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จึงได้กัดฟันเอ่ยออกมา

“ฆ่าเจ้า ทำไมต้องทำเช่นนี้ เจ้าและข้าทั่วทั้งสวรรค์และนรกที่สามารถใช้พลังแห่งจันทรามาบำเพ็ญเพียรจนสามารถมีกายเป็นมนุษย์ได้นั้น แต่เดิมก็มีน้อยมากอยู่แล้ว อีกทั้งเจ้าข้าหนึ่งหญิงหนึ่งชาย ชั่งเป็นคู่ที่สวรรค์สรรสร้างมาได้อย่างลงตัว รอข้าฆ่าหานลี่เจ้าหนุ่มคนนั้นทิ้งเสีย เจ้าก็มาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของข้าเสียแต่ดีๆ” ชายหนุ่มชุดขาวส่งเสียงหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยออกมาเช่นนั้น

“ท่านเองก็นับว่าเป็นบรรพชนผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ในแดนมหายาน บังคับผู้อื่นให้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าจะเป็นการสูญเสียตัวตนอย่างนั้นหรือ?” ปิงเฝิงเอ่ยตอบกลับมาใบหน้าขาวซีด

“หืม เป็นเพราะว่าข้าอยู่ในระดับมหายานแล้ว การที่ได้พบกับนักพรตปิงเฝิงที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกัน ยากนักที่จะพบเข้ากับผู้ที่มีศักยภาพไม่น้อยไปกว่าข้า จึงไม่ง่ายที่จะให้ข้าปล่อยเจ้าไป ส่วนตัวตนอะไรนั้น เรื่องแบบนี้ในสายตาข้ามีประโยชน์อะไรกัน?” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก

ปิงเฝิงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว แววตาปรากฏความเขินอายออกมา และเธอรู้ว่าตนเองนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา และก็ไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีไปต่อหน้าของอีกฝ่ายได้ จึงปิดปากแล้วไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก

ส่วนชายหนุ่มชุดขาวนั้นก็ไม่อยากที่จะเอ่ยอะไรออกมาอีก แขนเสื้อใหญ่สั่นไหว ชั่วขณะนั้นตะขาบหิมะขาวหกปีกปรากฏออกมาเหนือศีรษะของเขา ทันใดนั้นก็กระโดดลงมา ห่อหุ้มทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน หลังจากที่หกปีกกระพือขึ้น ก็กลายเป็นผลึกแสงพุ่งออกไป

เห็นเพียงลำแสงวูบวาบขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะหายไปยังปลายขอบฟ้า

อีกด้านหนึ่ง เผ่ามนุษย์บนเกาะศักดิ์สิทธิ์

หลังจากที่หานลี่พูดคุยเรื่องสำคัญกับลูกศิษย์ในถ้ำพำนักแล้ว จึงโบกมือแล้วออกคำสั่งลงไป

“พอแล้ว นอกจากศิษย์น้องหญิงไป๋ของพวกเจ้าแล้ว คนอื่นออกไปกันก่อนเถอะ ข้ามีบางอย่างที่มอบหมายให้แก่นางลำพัง”

“ขอรับ ท่านอาจารย์!”

“ถ้าเช่นนั้นชนรุ่นหลังก็ขอตัวก่อน!”

ฉีหลิงจื่อ ไห่ต้าเซ่า จูกั่วเอ๋อร์และคนอื่นๆ ได้ยินเข้า แน่นอนว่าตอบรับออกมาอย่างเคารพ จากนั้นก็ทยอยกันถอยออกไปจากห้องโถง

เหลือเพียงแค่ไป๋กั่วเอ๋อร์คนเดียว ยังคงยืนนิ่งจับมืออยู่ที่เดิม

“กั่วเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงยังให้เจ้าอยู่อีก?” หานลี่รอจนคนอื่นๆ ออกไปแล้ว จึงได้เอ่ยถามออกมาอย่างสงบ

“ศิษย์ไม่กล้าคาดเดา เกี่ยวข้องกับการที่ศิษย์จะต้องออกเดินทางฝึกฝนใช่หรือไม่” หลังจากที่ไป๋กั่วเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยตอบอย่างคาดเดาออกมา

“เจ้าเด็กคนนี้ช่างมีไหวพริบดีเสียจริง เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง เจ้ายังจำคำพูดในตอนที่ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์นั้นได้หรือไม่?” หลังจากที่หานลี่เผยยิ้ม จึงได้เอ่ยออกมาอย่างไม่รีบร้อน

“คำพูดที่เอ่ยออกมาในตอนที่รับศิษย์นั้น…หรือว่าท่านอาจารย์จะหมายถึงเรื่องที่ศิษย์มีกายน้ำแข็ง? ศิษย์ย่อมต้องจดจำเอาไว้ในใจ ไม่กล้าที่จะลืม” ในใจของไป๋กั่วเอ๋อร์เยือกเย็น รีบร้อนเอ่ยตอบกลับไป

“ฮ่า…ฮ่า พลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้นับว่าสำเร็จขั้นพื้นฐานแล้ว อีกทั้งเร็วๆ นี้ยังต้องไปยังแดนพงไพรแล้ว เรื่องนี้นับว่าสามารถมอบหมายให้เจ้าได้แล้ว” หานลี่เอ่ยยิ้มออกมา

“เชิญท่านอาจารย์สั่งสอนข้าด้วย!” ไป๋กั่วเอ๋อร์แน่นอนว่าเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อม “จริงๆ สำหรับเจ้าแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร ข้าเพียงแค่อยากให้เจ้าในตอนที่ฝึกฝนนั้น ช่วยข้าตามหาของบางอย่าง ของสิ่งนั้นเรียกว่าก้อนหินใหญ่พลังหยิน โดยทั่วไปแล้วมักจะพบได้ใต้ธารน้ำแข็งลึกลงไปหลายหมื่นจั้ง และเพราะว่าบริเวณใกล้กับหลายหมื่นจั้งนั้นถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความหนาวเย็น ใช้จิตสัมผัสกวาดลงไปก็ไม่มีทางที่ตามหาพบ วิธีเดียวที่จะทำให้ตามหาจนพบก็คือ ทำได้เพียงแค่ใช้ผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์จากจิตวิญญาณหนาวเย็น จึงสามารถอาศัยพลังจิตวิญญาณ ถึงจะสามารถรู้สึกได้จากที่ไกลๆ และอาจารย์ต้องการต้องการของสิ่งนี้ค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นเจ้าในตอนที่ท่องเที่ยวฝึกฝนอยู่นั้น ก็ช่วยข้ารวบรวมไปด้วย หากว่าสามารถช่วยข้าตามหาจนได้จำนวนพอประมาณ หลังจากที่กลับมา ข้าจะมอบรางวัลให้อย่างงาม” หานลี่เอ่ยออกมาช้าๆ

“ในปีนั้นหากไม่ใช่เพราะว่าท่านอาจารย์สูญเสียพลังปราณแท้มากมายเพื่อช่วยแล้ว จะมีศิษย์ในวันนี้ได้อย่างไรกัน อาจารย์วางใจได้ กั่วเอ๋อร์จะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ” ไป๋กั่วเอ๋อร์เมื่อฟังจนจบแล้ว โค้งกายลงคำนับแล้วเอ่ยออกมาอย่างที่ไม่ต้องคิด

“ตอนนี้ระดับของเจ้ายังไม่สูงมากนัก ไม่ต้องฝืนตนจนเกินไป เพียงแค่ช่วยข้าเก็บรวบรวมมันในระหว่างที่เดินทางฝึกฝนก็พอแล้ว” หานลี่โบกมือขึ้น ให้ไป๋กั่วเอ๋อร์หยัดกายขึ้นมาพูดคุย

หลังจากที่ไป๋กั่วเอ๋อร์หยัดกายขึ้นมา ปากก็เอ่ยตอบรับ แต่ว่าความคิดในใจกลับเปลี่ยนไป ไม่รู้สึกว่าจำต้องตั้งใจตามหาก้อนหินใหญ่พลังหยินนี้อย่างเต็มที่

หลังจากที่หานลี่เอ่ยกับไป๋กั่วเอ๋อร์อีกสองสามประโยค นางเองก็ถอยออกไป

พริบตาเดียว ภายในห้องโถงก็เหลือเพียงแค่หานลี่คนเดียว

เขานั่งอยู่คนเดียวบนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งตบลงไปที่จับด้านข้างของเก้าอี้ อีกข้างหนึ่งลูบอยู่ที่คางขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เมื่อเอ่ยขึ้นมาแล้ว เขาในตอนนั้นเพิ่งจะมีวิธีฝึกฝนในตอนที่เพิ่งจะถึงเขารวมปราณไว้ศูนย์กลาง แต่เดิมคิดว่าได้สมบัติล้ำค่ามาจากสวรรค์ ไม่มีหวังที่จะฝึกจนสำเร็จแล้ว ขอเพียงแค่สามารถฝึกฝนได้บนภูเขาไร้ศูนย์กลางสองสามลูก จะช่วยส่งเสริมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ก็คาดไม่ถึงว่า วาสนาของตนนั้นมีไม่น้อยทีเดียว ในระหว่างที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น บวกกับการที่ได้ไปฝึกฝนยังเขาจิตสัมผัสแม่เหล็ก ยอดเขาไถอี่ชิงกวง และยอดเขาสุดยอดพลังหยินหยาง

หากว่าไป๋กั่วเอ๋อร์สามารถตามหาก้อนหินใหญ่พลังหยินไปเพียงพอแล้ว จนสามารถนำมาสร้างเป็นเขาวิญญาณหนาวพลังหยิน เช่นนั้นเขาก็สามารถรวบรวมสุดยอดสี่ขุนเขาได้ในคราเดียวกัน

ส่วนที่เหลืออยู่นั้นก็คือยอดเขารัศมีปราณเหนือ เขาเดิมก็พอจะได้ข่าวคราวมาบ้างในแดนมนุษย์

และด้วยอิทธิฤทธิ์ของเขาในตอนนี้ กลับไปยังแดนมนุษย์โดยตรงแล้วนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ถ้าหากว่าใช้สมบัติล้ำค่าสักสองสามชิ้นมาทำลายเขตแดนแล้ว แล้วให้จิตสัมผัสแปลงกายเป็นร่างมนุษย์ลงไป ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

แต่ว่าเรื่องนี้อันตรายอยู่ไม่น้อย เขาอย่างไรเสียยังคงต้องวางแผนให้รอบคอบ ถึงจะตัดสินใจทำลงไปได้

ตราบใดที่เขาสามารถรวบรวมสุดยอดภูเขาทั้งห้านี้ได้ แล้วนำมาสร้างเป็นเขารวมปราณไร้ศูนย์กลาง ต่อไปไม่ว่าจะมีด่านเคราะห์ใหญ่ครั้งไหนเขาก็ไม่จำต้องเป็นกังวลอีก และแม้แต่การฝ่าด่านเคราะห์เพื่อทยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส

หานลี่ครุ่นคิดไปพลาง มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ ไปด้วย