ตอนที่ 1060 จันทราโลหิต (1)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1060 จันทราโลหิต (1)

เมื่อแสงสุริยาลาลับขอบฟ้า นกตัวสุดท้ายก็บินกลับรัง

ภาพในกล้องส่องทางไกลของเฮ้อซานเตา มองเห็นเป็นเส้นขอบฟ้าสีดำสนิท

“ทุกกองจงฟังให้ดี ทหารฝ่ายศัตรูเดินทางมาถึงแล้ว รีบทำตัวให้สดชื่นประเดี๋ยวนี้ เตรียมพร้อมรบ ! ”

หลังจากเฮ้อซานเตาออกคำสั่งไปแล้ว ที่กำแพงเมืองก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมาอีกครา

“จงประกาศไปยังทุกกอง ต่อให้สู้จนทหารคนสุดท้ายสิ้นใจ ก็ต้องป้องกันกำแพงเมืองนี้เอาไว้ให้ได้ 5 วัน ! ”

“จงไปประกาศกับพี่น้องทหารทุกนายว่าอย่าได้กลัวตายไปเลย อีก 18 ปีให้หลังพวกเราทุกคนจะกลายเป็นวีรบุรุษ ! ”

“ไปบอกกับพวกเขาว่า พวกเขาทุกคนเป็นทหารของต้าเซี่ย ต่อให้ตกตายในสนามรบ คนในครอบครัวของพวกเขาก็จะได้รับเงินเยียวยาจำนวนมิน้อย ! บุตรหลานและพ่อแม่ของพวกเขาทุกคนจะได้รับการเลี้ยงดูจากต้าเซี่ย ! ”

“จงไปบอกกับพวกเขาว่า ทหารของต้าเซี่ยนั้น…ทุกคนล้วนยอดเยี่ยม ! ”

หลังจากคำเอ่ยเหล่านี้ถูกส่งต่อออกไปถึงหูของทหารราชวงศ์เหลียว พวกเขารู้สึกว่ามันเหนือจินตนาการ

“เป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“พวกเขาหลอกให้พวกเราอยู่สู้ศึกใช่หรือไม่ ? ”

“พวกเจ้าจะไปรู้อันใด ! ต้าเซี่ยเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ต่อให้ตกตายในสนามรบ ต้าเซี่ยก็จะสร้างอนุสรณ์สถานไว้ให้คนรุ่นหลังได้เคารพและสักการะ ! ”

“บัดนี้พวกเจ้ารู้แล้วหรือยังว่าเหตุใดทหารของต้าเซี่ยถึงได้เก่งกาจเพียงนั้น ? เหตุใดตอนที่พวกเขาทำสงครามจึงมิมีความกังวลใจแม้แต่น้อย เนื่องจากประเทศเป็นโล่สนับสนุนอันแข็งแกร่งของพวกเขา หาได้เป็นเฉกเช่นราชวงศ์เหลียวของพวกเราไม่ ที่เห็นพวกเราเป็นเพียงตัวรับกระสุนเท่านั้น”

“……”

ภายใต้การจัดการของซุยเยว่หมิง นโยบายต่าง ๆ ของต้าเซี่ยก็ได้เผยแพร่ไปจากปากของทหารราชวงศ์เหลียวเหล่านั้น

เดิมทีทหารของราชวงศ์เหลียวก็เชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง…แต่มิมีเวลาครุ่นคิดอีกแล้ว เนื่องจากศัตรูเดินทางมาถึงแล้ว

ทหารฝ่ายศัตรูดำทะมึนมากมาย พวกเขาสวมชุดเกราะสีเงินสว่างไสวคล้ายคลึงกับชุดเกราะของทหารต้าเซี่ย เหล่าทหารที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดคาดว่าจะเป็นกำลังหลักในการโจมตีเมือง

ซุยเยว่หมิงหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมามองอย่างละเอียด แต่ว่า…เขามองมิเห็นซูฉางเซิงในแนวรบด้านหน้า

สงครามใหญ่เช่นนี้ ซูฉางเซิงมิได้มาบังคับบัญชาด้วยตนเองหรอกหรือ ?

แล้วเขาไปที่ใดกัน ?

อยู่ ๆ ซุยเยว่หมิงก็รู้สึกได้ถึงลางมิดี คณะเดินทางของฝ่าบาทได้เดินทางมาถึงชื่อเล่อชวนแล้ว และฝ่าบาทก็มิได้ปิดบังการเดินทางในครานี้ด้วย หรือว่าซูฉางเซิงจะ… ?

ข้างกายฝ่าบาทมีเป่ยหวังฉวน หนิงซือเหยียนและสวี่ซินเหยียน ซึ่งเป็นปรมาจารย์ถึง 3 คน ต่อให้ซูฉางเซิงจะมีสามเศียรหกกรก็คงมิอาจต่อสู้กับปรมาจารย์ทั้งสามคนได้หรอก

บัดนี้เขาไปที่ใดกันแน่ ? เขาต้องการจะทำอันใดกัน ?

ซุยเยว่หมิงวางกล้องส่องทางไกลลง จากนั้นก็รีบหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาเขียน ก่อนจะปล่อยนกพิราบสื่อสารออกไปตัวหนึ่ง เยี่ยงไรเสียเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของฝ่าบาทก็มิอาจละเลยได้

……

หยวนเปียวยังคงนำทหารจำนวน 100,000 นายของเขาปกป้องกำแพงเมืองเอาไว้ เขาจ้องมองไปยังกองทัพทหารสีดำทะมึนที่ยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับว่าท้ายแถวของกองทัพเหล่านี้มิมีที่สิ้นสุด เขาทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก ให้ตายเถิด ! จะป้องกันเอาไว้ได้จริง ๆ หรือ ?

เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พวกเขาเพิ่งจะพ่ายแพ้ต่อต้าเซี่ยไป หรือว่า…หรือว่าพวกเขาจะถูกกองทัพอสนีบาตทำลายล้างอีกแล้วกัน ?

เมืองต้าติ้งเพิ่งจะเปลี่ยนองค์เหนือหัวไปเพียงหนึ่งวันเองนี่ นี่…นี่จะต้องเปลี่ยนอีกแล้วหรือ ?

จะทำเยี่ยงไรดี ?

ในขณะที่เขากำลังรู้สึกกระสับกระส่ายทำอันใดมิถูกอยู่นั้น มือข้างหนึ่งก็ตบลงมาบ่นบ่าของเขา จนหยวนเปียวตัวสั่นสะท้าน จากนั้นก็หันกลับไปมองดู…เฮ้อซานเตานี่เอง !

“กลัวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หยวนเปียวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เฮ้อซานเตายกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เป็นเรื่องปกติที่จะกลัว ข้ามิได้จะดูถูกพวกเจ้าหรอกนะ ทว่าศัตรูมีจำนวนมากกว่าพวกเรามากยิ่งนัก แต่สิ่งเหล่านี้ในสายตาของทหารต้าเซี่ยมิใช่ปัญหาใหญ่อันใด”

“มาเถิด…ข้าจะทำให้เจ้าได้เห็นว่าความเก่งกาจของกองนาวิกโยธินเป็นเยี่ยงไร เจ้าจงมองไปที่คนกลุ่มนั้นแล้วบอกกับข้ามาว่ารู้สึกว่าผู้ใดมิเข้าตา”

หยวนเปียวมิค่อยเข้าใจความหมายของเฮ้อซานเตาเท่าใดนัก เขาชี้ออกไปอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดผู้นั้น ! ”

“เอาล่ะ…เจ้าจงดูให้ดี ! ”

หลังจากนั้นหยวนเปียวก็พบว่าเฮ้อซานเตาหยิบปืนที่สะพายอยู่บนหลังออกมา

นี่คือปืนเหมาเซ่อที่มิเหมือนปืนคาบศิลา เฮ้อซานเตายืนอยู่กับที่แล้วหยิบปืนขึ้นมา ตรงนี้ห่างจากทหารของศัตรูราว 100 จั้ง มันเกินกว่าระยะกระสุนของปืนคาบศิลา

เฮ้อซานเตาเล็งไปที่แม่ทัพผู้นั้น ดูเหมือนทหารผู้นั้นจะรับรู้ได้ถึงอันตราย เขาจึงหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาแล้วหันไปมองทางเฮ้อซานเตา

จากนั้นเขาก็ฉีกยิ้มขึ้นมาแล้วส่ายหน้าเบา ๆ พลางนึกในใจว่าช่างโอหังเสียจริง ในขณะที่เขากำลังจะวางกล้องส่องทางไกลลงดวงตาของเขาก็หดลงทันใด

“ปัง… ! ”

เป็นเสียงปืนนัดแรกที่ดังออกมาจากสนามการต่อสู้

แม่ทัพผู้นั้นเห็นกระสุนสีดำพุ่งออกมาจากปลายกระบอกปืน เพียงชั่วอึดใจเดียวร่างของเขาก็ล้มพับลงกับพื้นธรณีในทันใด “ตุ้บ… ! ”

กล้องส่องทางไกลในมือของเขาตกลงพื้น บริเวณหน้าผากปรากฏรูกระสุนขนาดความใหญ่ประมาณหัวแม่มือ เขาสวมหมวกเกราะกันกระสุนอยู่นี่ !

ทว่ากระสุนลูกนั้นกลับเจาะทะลุหมวกเกราะกันกระสุนของเขาเข้าไปได้

แม้ศีรษะจะมิได้ระเบิดกระจุย ทว่าเขาก็ล้มลงสู่พื้นทันที

เฮ้อซานเตาเก็บปืนลง จากนั้นก็ตบไปที่บ่าของหยวนเปียว “เป็นเยี่ยงไรเล่า ? ก็แค่ฝูงนกฝูงกา เจ้าจะไปกลัวเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ”

กระสุนนัดนี้ทำให้ผู้คนแตกตื่น !

อย่างแรก ทหารฝ่ายศัตรูที่ยืนอยู่ด้านล่างกำแพงเมืองต่างพากันถอยหลังออกไปกว่าหนึ่งร้อยจั้ง !

จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องดังกึกก้องของเหล่าทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง

พวกเขามองเห็นซากศพที่อยู่ด้านล่างกำแพงนั้น จึงได้เข้าใจว่ากองนาวิกโยธินของต้าเซี่ยนั้นเก่งกาจมากเพียงใด

ระยะทางห่างไกลถึงเพียงนี้ !

ถึงกับสามารถคร่าชีวิตของเจ้าหมอนั่นได้ การที่มีพวกเขาอยู่บนกำแพงเมืองเช่นนี้ช่างน่ากลัวมากยิ่งนัก !

“พี่น้องทั้งหลาย ศัตรูเป็นเพียงแค่เสือกระดาษ จงปกป้องกำแพงเมืองเอาไว้ให้ดี กองกำลังเสริมของพวกเรากำลังเดินทางมา ซึ่งบัดนี้ใกล้จะถึงแล้ว รอให้สงครามนี้สิ้นสุดลง…ข้าจะเป็นผู้เลี้ยงสุราและอาหารเลิศรสให้แก่พวกเจ้าทั้งหลายจนอิ่มหนำสำราญเอง ! ”

“เฮ้… ! ”

บรรยากาศของทหารรักษาเมืองเหล่านั้นครึกครื้นขึ้นเรื่อย ๆ ถังเชียนจวินจ้องมองมาทางเฮ้อซานเตาด้วยสายตาลึกล้ำ ทหารราชวงศ์เหลียวเหล่านี้มีจำนวนมากถึง 300,000 นาย เขาเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดาจะเอาเงินมากมายถึงเพียงนั้นมาจากที่ใดกัน ?

อีกอย่าง…ต่อให้ร้านค้าทุกร้านในเมืองต้าติ้งเปิดให้พวกเขา ทว่าก็ยังมิเพียงพอรองรับพวกเขาอยู่ดี เนื่องจากมีจำนวนคนเยอะจนเกินไป !

ทว่าวิธีการที่เจ้าหมอนี่ใช้ในการให้กำลังใจสนับสนุนทหารเหล่านี้นับว่าดีมากยิ่งนัก บัดนี้มองดูแล้วทหารราชวงศ์เหลียวมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่ยังคงมีความคิดขัดแย้งอยู่

โหลวยิงจง ผู้บังคับบัญชาของกองทัพอสนีบาตขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความฉงน สงครามนี้ยังมิได้เริ่มขึ้นเลยด้วยซ้ำ แม่ทัพก็ตายไปแล้ว 1 คน !

ระยะห่างจากพวกนั้นอย่างน้อย 100 จั้ง อีกทั้งแม่ทัพผู้นั้นยังสวมชุดเกราะกันกระสุนอีกด้วย !

ทว่าเกราะกันกระสุนกลับป้องกันมิได้ !

เห็นได้ชัดว่าทหารของต้าเซี่ยมีอาวุธใหม่ !

สงครามนี้ ซูฉางเซิงมอบอำนาจในการคุมศึกแก่เขา ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้ถอยทัพและสั่งให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนตรงจุดเดิม

เมืองยังคงอยู่ที่นี่ มันมิอาจหนีไปที่ใดได้หรอก

บัดนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ พิจารณาถึงความสามารถในการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามอีกครา ซูฉางเซิงเอ่ยว่าในเมืองต้าติ้งมีทหารของกองนาวิกโยธินเพียงแค่ 20,000 นาย ส่วนที่เหลือเป็นเพียงพวกจอมปลอม

คำสั่งที่ซูฉางเซิงกำชับกับตนเอาไว้นั่นก็คือ ภายในพรุ่งนี้เช้าจะต้องตีเมืองนี้ให้แตก

ทหารจำนวน 450,000 นายต่อสู้กับทหาร 20,000 นาย…หน้าที่นี้มิได้หนักหนาอันใด แต่เสียงปืนในครานั้นก็ราวกับปลุกให้พวกเขาตื่นมาจากความฝัน อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าหน้าที่นี้ช่างหนักหนาเสียเหลือเกิน

เวลาเพิ่งล่วงเลยผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยาม เมื่อสุริยาลาลับ จันทราจึงขึ้นมาแทนที่ โหลวยิงจงจึงออกคำสั่งให้โจมตีเมืองอีกครา

“ทหารทุกนายจงเข้าโจมตีเมือง ! สังหารพวกมันเสียให้สิ้น ! ”

เฮ้อซานเตาเองก็ได้ออกคำสั่งไปเช่นกัน “ทหารนาวิกโยธินทุกนายจงเบิกตาให้กว้าง ! ใช้ปืนยิงบรรดาทหารชุดเกราะ ใช้ดาบฟันพวกที่มิมีเกราะ อย่ายิงสุ่มสี่สุ่มห้าให้สิ้นเปลืองกระสุนเป็นอันขาด ! ”

“ส่วนกองทหารที่เหลือ ให้ยิงธนู…จงยิงธนูใส่พวกที่มิได้สวมชุดเกราะเหล่านั้น ! ”

การต่อสู้ในครานี้เข้าสู่ความดุเดือดขึ้นมาทันใด

กองทัพอสนีบาตพากันกรูเข้ามาดุจสายน้ำไหลเชี่ยว ทหารมากมายพากันปีนขึ้นมาบนกำแพง เฮ้อซานเตาชะงักงันลงทันใด ฝ่ายตรงข้ามมียอดฝีมือในยุทธภพมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? !

“ใช้ปืนยิงศัตรูที่บินได้เหล่านั้นเสีย ! ”

“จงยิงพวกมันให้สิ้น ! ”

“ปัง ๆ ๆ ๆ… ! ”

เสียงปืนดังสนั่นขึ้นมาติดต่อกัน จากนั้นซากศพมากมายก็ร่วงหล่นจากกลางอากาศลงสู่พื้นธรณี

มีบางคนที่สามารถลอยตัวขึ้นมาบนกำแพงได้ และบางคนก็ได้ปีนขึ้นมาตามเชือก

“น้ำมัน… น้ำมัน… ! จุดไฟเผาต้อนรับพวกมันประเดี๋ยวนี้… ! ”