ตอนที่ 1061 จันทราโลหิต (2)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1061 จันทราโลหิต (2)

อดีตป่ากระบี่ ธารน้ำด้านหลังภูเขา

ตะเกียงไฟ 1 ดวง โต๊ะ 1 ตัว บนโต๊ะนั้นมีสุรา 1 ขวดและจอก 3 ใบสำหรับคน 3 คน

สุราถูกรินจนเต็มจอก ผู้ที่สวมใส่ชุดสีขาวได้เอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อปีนั้นเจ้าได้ทำลายป่ากระบี่ของข้า ทั้งยังพรากเหมยหลี่เสวี่ยหงไปอีกด้วย แต่กลับทิ้งข้าไว้เพียงผู้เดียว ก็เพื่อวันนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เขาคือเจ้าสำนักป่ากระบี่ลู่เสี้ยวเฟิง !

“เมื่อปีนั้นหากข้ามิทำลายป่ากระบี่ของเจ้า ศิษย์ก้นกุฏิของข้าผู้นั้นก็จะมิปล่อยวางป่ากระบี่ของเจ้าไป ข้าได้สังหารลูกศิษย์ของเจ้าไปจำนวนมาก หากเจ้าจะคิดบัญชีนี้กับข้า…ข้าก็ยอมรับเช่นกัน”

เขาคือผู้สังเกตซูฉางเซิงแห่งสำนักเต๋า

“ได้ยินมาว่ากองทัพอสนีบาตของเจ้าจะปะทะกับกองทัพของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เจ้ายังมีเวลาว่างวิ่งมาที่นี่อยู่อีกหรือ ? ”

เขาคือเจ้าสำนักภูเขาดาบซ่งชิงเถียน !

ซูฉางเซิงลูบเครายาวพลางยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองจันทราบนท้องนภา มันแป็นสีแดงระเรื่อราวกับกำลังถูกโลหิตกลืนกิน

“ที่นั่น…มิใช่สนามรบหลัก”

“นั่นคือกองทัพใหญ่จำนวน 450,000 นายที่เจ้าฝึกฝนอย่างสุดกำลัง คาดมิถึงว่าจะมิใช่สนามรบหลัก เยี่ยงนั้นที่ใดจึงจะเป็นสนามรบหลัก ? ” ซ่งชิงเถียนเอ่ยถาม

“ชื่อเล่อชวน ! เขาอยู่ที่ชื่อเล่อชวน ! ”

ลู่เสี้ยวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “นี่คือกรรมตามสนองหรือไม่ ? อ่า…ข้าหมายถึงเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ใช่หรือไม่ ? ”

สีหน้าของซูฉางเซิงเรียบนิ่ง เขามิได้ใส่ใจกับท่าทีแดกดันของลู่เสี้ยวเฟิง “มีเรื่องอีกมากมายที่พวกเจ้ายังมิทราบ เขาสร้างประเทศต้าเซี่ยขึ้นมา… ใต้หล้านี้จึงถือกำเนิดสิ่งของทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา อย่างเช่นปืนคาบศิลาที่สามารถจัดการปรมาจารย์ได้ภายใน 1 นัด”

“และเขายังได้สร้างสิ่งของอีกมากมาย ซึ่งพวกเจ้าจะได้รู้จักสิ่งของเหล่านั้นด้วยตนเองในภายหลัง”

“นี่มิใช่การเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ ทว่าเป็นเพราะข้าต้องการสิ่งเหล่านั้นต่างหาก บัดนี้ถึงเวลาถอนคืนแล้ว ดังนั้นข้าจึงเชิญให้พวกเจ้าลงมาจากภูเขา…นี่คือข้อตกลงเมื่อปีนั้น”

ซ่งชิงเถียนเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยว่า “เขาเป็นถึงจักรพรรดิของประเทศต้าเซี่ย มียอดฝีมืออยู่ข้างกายนับมิถ้วน พวกเรามีกันเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น เจ้าหยิ่งผยองเกินไปหรือไม่ ? ”

“ไม่ ! พวกเรามีทั้งหมด 6 คน”

“ยังมีผู้ใดอีกกัน ? ”

ซูฉางเซิงปรบมือ จากนั้นก็มีคนบินลงมาจากท้องนภาอีก 3 คน

“ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จัก ปรมาจารย์จากแคว้นซีเซี่ยท่าป๋าเสี่ยวหยู ปรมาจารย์จากราชวงศ์เหลียวเยลู่หยวนและทูหลาน”

ซ่งชิงเถียนและลู่เสี้ยวเฟิงตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด เมื่อเห็นทั้งสามคนโบกมือให้กับพวกเขาทั้งสอง ท่าป๋าเสี่ยวหยูเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “บุญคุณและความแค้นในอดีตได้หมดสิ้นไปแล้ว สิ่งที่ข้าต้องทำให้วันนี้ก็คือ…ทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อสังหารฟู่เสี่ยวกวน”

ซ่งชิงเถียนจ้องมองไปทางซูฉางเซิงอย่างมีเลศนัย “ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนมีปรมาจารย์อยู่กี่คน ? ”

“ที่คุ้นหน้ากันก็มีเป่ยหวังฉวนและศิษย์น้องสามของข้าสวี่หยุนชิง ทั้งยังมีผู้ที่เพิ่งบรรลุปรมาจารย์เยี่ยงหนิงซือเหยียน ส่วนในที่ลับนั้นข้าเองก็มิทราบเช่นกัน ศิษย์น้องรองของข้าอู๋ต้าหลางหายตัวไปแล้ว หรือต่อให้นับรวมเขาก็มีมิเกิน 4 คน”

“เขามีศาสตราเทพที่สามารถสังหารปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดายอยู่ ! ”

“สบายใจเถิด…อย่างมากที่สุดเขาก็มีกระสุนเหลืออีก 1 นัดเท่านั้น ! ”

“เยี่ยงนั้นผู้ใดจะเข้าไปรับกระสุนนัดนั้นกัน ? ”

“ข้าเป็นอาจารย์ของเขา แน่นอนว่าข้าจะเข้าไปรับเอง ! ”

“เขายังมีองครักษ์หลวงอีก 10,000 นาย ! ”

“เขามักจะอยู่ห่างจากองครักษ์หลวงเสมอ ดังนั้นสงครามครานี้จะจบลงอย่างรวดเร็ว ! ”

……

……

จันทราสีโลหิตลอยเด่น หากโน้มตัวมองเมืองต้าติ้งจากท้องนภา ก็จะเห็นเมืองที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลเพลิงทั้งสี่ทิศ

น้ำมันก๊าดที่ราดลงบนกำแพงเมืองทั้งสี่ทิศ บัดนี้ไฟกำลังลุกโชน ทหารจากกองทัพอสนีบาตนับหมื่นนายที่บินขึ้นไปบนกำแพงกำลังต่อสู้กับศัตรูอย่างสิ้นหวังด้วยปืนและดาบในมือของพวกเขา

เสียงปืนดังก้องในยามราตรี เสียงตะโกนเสียงหวีดร้องยังคงดังอย่างต่อเนื่อง !

หยวนเปียววิ่งไปมาบนกำแพงอย่างบ้าคลั่ง และตะโกนอย่างเอาเป็นเอาตายว่า “จงสังหารพวกมัน ! จงป้องกันเอาไว้ ! อย่าให้เสียชื่อกองทัพประเทศต้าเซี่ยเป็นอันขาด”

“ไฟกำลังลุกโชน อย่าเพิ่งราดน้ำมันก๊าดเพิ่มลงไป จงใช้อย่างประหยัด กองที่หนึ่งรีบไปสมทบกับกองที่สองเร็วเข้า… ! ”

“กำแพงด้านซ้ายอันตราย ต้องการกองหนุนโดยด่วน ! ”

“สหายทั้งหลาย จงระวัง…ทัพหลังของพวกเขากำลังง้างธนู หาที่กำบังเร็วเข้า ! ”

“…..”

ดาบในมือของเฮ้อซานเตาได้ตวัดตัดศีรษะของศัตรูผู้หนึ่งจนขาดสะบั้น “จ้าวลี่จู้… ! ”

“คุณชาย…มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“เรียกผู้บัญชาการทหารมา ! เจ้าจงรีบพาองครักษ์ของข้าไปสมทบกับกำแพงเมืองฝั่งตะวันตก ! ”

“คุณชาย…คุณหนูได้เอ่ยเอาไว้แล้วว่า ยามอยู่ในสนามรบมิให้องครักษ์อยู่ห่างจากท่านไปแม้แต่ครึ่งก้าว ! ”

“หุบปาก ! นี่มันผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ยังมิรีบไปอีก มิเช่นนั้นข้าจะปลิดชีพเจ้าในนัดเดียวประเดี๋ยวนี้ ! ”

จ้าวลี่จู้ปิดปากเงียบทันใด เขาพาองครักษ์ 500 นายทะยานไปยังกำแพงทางทิศตะวันตก “ใช้ปืนยิงศัตรูกองนี้ก่อน เร็วเข้า ! ”

“ปังปังปัง…”

เสียงปืนดังขึ้นมาอีกครา

“เล็งให้แม่น ยามฝึกพวกเจ้ายิงได้อย่างแม่นยำ แล้วเหตุใดพอลงสนามจริงถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า ! ” จ้าวลี่จู้ตะโกนเสียงดังลั่น เขายกปืนขึ้นมา จากนั้นก็เล็งไปยังยอดฝีมือในยุทธภพในชุดเกราะเงินผู้หนึ่ง

“ปัง… ! ”

เพียงหนึ่งนัดก็ทำให้ยอดฝีมือในยุทธภพผู้นั้นล้มลงไปกับพื้น “ยามศึกอย่าได้ลังเล มือต้องนิ่งและเล็งให้แม่นยำจงจำเอาไว้ ! เร็ว…รีบสังหารพวกเขาให้หมด ถึงจะสามารถกลับไปปกป้องคุณชายได้ ! ”

องครักษ์ 500 นายที่รุดมาถึง ทหารราชวงศ์เหลียวที่ปกปักอยู่กำแพงทางทิศตะวันตกรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาในชั่วพริบตา พวกเขาจ้องมองเหล่าทหารที่มาขับไล่หมาป่าและเสือด้วยสายตาอิจฉาเป็นอย่างมาก พวกเขาเพิ่งจะได้ประจักษ์ถึงความร้ายกาจของกองทัพประเทศต้าเซี่ย

ปืนคาบศิลาของกองทัพอสนีบาตแทบจะมิมีผลต่อเกราะป้องกันของกองนาวิกโยธินเลยด้วยซ้ำ ทว่าปืนเหมาเซ่อของกองนาวิกโยธินกลับสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

ทหาร 100,000 นายที่สวมเกราะป้องกันของกองทัพอสนีบาตล้วนเป็นยอดฝีมือของกองทัพทั้งสิ้น

ในศึกแรกนี้ผู้บัญชาการกองทัพอสนีบาตโหลวยิงจงได้ส่งยอดฝีมือมาถึง 50,000 นาย สิ่งที่เขาคิดไว้คือยึดกำแพงและเปิดประตูเมืองภายในคราเดียว แต่เขากลับคาดมิถึงว่าทหารรักษาเมืองบนกำแพงจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

กองนาวิกโยธินของประเทศต้าเซี่ยเก่งกาจมากยิ่งนัก แต่พวกเขามีกันเพียง 20,000 นายเท่านั้น หากทหารทั้งสองหมื่นนายนี้ถูกโยนลงกำแพง หลังจากนั้นก็คงจะเป็นเรื่องง่ายแล้ว

แต่เขาก็คาดมิถึงอีกว่าทหารราชวงศ์เหลียวที่มาช่วยปกป้องเมืองจะกล้าหาญมิกลัวตายเยี่ยงนี้ !

เจ้าคนทรยศ !

โหลวยิงจงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมามอง จากนั้นก็ขบกรามแน่น “ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป ให้กองกำลังที่สองและกองกำลังที่สามเข้าประชิดกำแพงเมืองในระยะกระสุน จากนั้นก็ใช้ปืนคาบศิลาสังหารพวกทหารราชวงศ์เหลียวที่สมควรตายเหล่านั้นเสีย ! ”

กองทัพใหญ่จำนวน 200,000 นายรุมโจมตีไปยังด้านบนกำแพงเมือง ต่อจากนั้น…เสียงปืนก็ดังขึ้นมาติด ๆ ทหารราชวงศ์เหลียวที่มิทันระวังต่างก็ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครานี้ไปนับพัน

“หาที่กำบังก่อน ระวังตัวด้วย อย่ายื่นหน้าออกไปเป็นอันขาด ! ” หยวนเปียวเอ็ดตะโร เขามิได้สังเกตว่าด้านหลังของเขามีผู้มีฝีมือระดับสูงนายหนึ่งของกองทัพอสนีบาตกำลังโจมตีลงมาจากด้านบน

มือของคนผู้นั้นถือหอกยาว เขาทะยานเข้ามาจากระยะไกล โดยที่หอกในมือมุ่งเป้าไปยังหลังของหยวนเปียว !

เขาผุดรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ทว่าทันใดนั้นเขากลับสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างใหญ่หลวงที่ด้านหลัง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง พบหนึ่งดาบกำลังจะฟันลงมาที่ช่วงเอวของเขา

นี่คือดาบของเฮ้อซานเตา !

นี่คือดาบที่เปี่ยมไปด้วยพลังและเด็ดขาด !

หอกยาวของคนผู้นั้นพุ่งตรงมายังดาบเล่มนี้

“ไปตายเสีย ! ”

ดาบตวัดฟัน หอกยาวขาดเป็นสองท่าน ดาบตวัดผ่านจนช่วงเอวของคนผู้นั้นขาดออกเป็นสองส่วน

หยวนเปียวตื่นกลัวจนหน้าซีดเผือด เฮ้อซานเตาทะยานลงมาที่ด้านหลังของเขาพลางตบบ่าของเขาไปมา “สหาย…จะสังหารก็ต้องเตรียมใจด้วยเช่นกัน ! ”

“ปัง ! ”

“เคร้ง ! ”

“บัดซบ ! ”

กระสุนปืนคาบศิลายิงเข้าที่เกราะของเฮ้อซานเตา ประกายไฟลุกวาบในชั่วพริบตา โดยที่บนเกราะนั้นยังคงมีรอยกระสุนถากอย่างเห็นได้ชัด

“หมอบลง ! ”

เฮ้อซานเตากดหยวนเปียวให้หมอบลงไปกับพื้น เขาถูกยิงอีก 2 นัด จากนั้นก็รีบก้มตัวหลบอย่างว่องไว เขารู้สึกตื่นกลัวจนเหงื่อโซมกาย มารดามันเถิด หากศัตรูมีปืนเหมาเซ่อ ข้าคงสิ้นท่าไปแล้ว

สงครามยังคงดำเนินต่อไป

จันทราสีเลือดได้จางหายไปแล้ว ในที่สุดรุ่งอรุณก็มาเยือน

กองทัพศัตรูยอมถอยทัพ บนกำแพงเมืองเต็มไปด้วยซากศพ

เฮ้อซานเตานอนหมอบกับพื้น เลิกหมวกเกราะออกและหอบหายใจถี่ ๆ นี่เป็นเพียงวันแรกที่ศัตรูบุกโจมตี !

แม่ทัพใหญ่ไป๋…ท่านต้องมาโดยเร็วแล้ว !