ตอนที่ 637 ฮว๋ายยู่

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นัยตาทั้งสองข้างของพระองค์เป็นสีทองที่ส่องประกาย จนแทบจะทำให้แยกลูกนัยตาและตาขาวไม่ออก 

 

 

แต่ก็ต้องนับว่าเป็นดวงตาที่งดงามอย่างยิ่ง 

 

 

เป็นประกายระยิบระยับ ทั้งยังทรงอำนาจอย่างยิ่ง 

 

 

พระขนงคมเข้มดุจน้ำหมึก บนพระนลาฏมีตราประทับดวงสุริยะสีเหลืองทอง 

 

 

พระเกศาสีทองสยายออกมาราวกับกำลังล่องลอย กล้ามเนื้อบนร่างได้รูปและเป็นเส้นที่ชัดเจน 

 

 

บุรุษผู้นี้ ไม่เพียงแต่สูงส่งอยู่เหนือผู้คน แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยอดเยี่ยมเป็นหนึ่ง 

 

 

เพียงแต่ว่าตอนนี้ตู๋กูซิงหลันมิได้มีแก่ใจจะมาชื่นชมบุรุษโฉมงามคนใดทั้งสิ้น ตี้เสียผู้นี้แม้จะงามดุจบุปผาดอกหนึ่ง แต่ก็ไม่เข้าตานางแม้แต่น้อย 

 

 

คนที่เกลียดชัง ต่อให้หน้าตาดีเพียงไรก็เปล่าประโยชน์ 

 

 

พอเห็นตี้เสียกำลังตกตะลึงอยู่ จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันก็ฉวยโอกาสนี้เหาะนี้ออกไป 

 

 

เจดีย์แต่ละชั้นมีอาคมกักขังกางกั้นอยู่ อาคมเหล่านั้นคือเขตแดนขวางกั้นที่ตาเปล่ามองไม่เห็น 

 

 

ได้แต่ต้องอาศัยประตูใหญ่หลบหนีออกไปเท่านั้น 

 

 

ประตูใหญ่ของกรงยังเปิดอยู่ ตู๋กูซิงหลันเล็งเอาไว้แต่แรกแล้ว หากมิใช่เพราะว่าตี้เสียแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงกับขวางนางเอาไว้ได้ นางก็คงจะเหาะหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

แต่ตอนนี้เพียงพริบตาเดียว นางก็เหาะออกไปแล้ว แสงกึ่งโปร่งใสจากดวงจิตของนางดูเหมือนแสงระยิบระยับจากหิงห้อยตัวหนึ่ง 

 

 

ในมือของนางยังคงกุมคฑาสีดำเอาไว้ คฑาด้ามนี้เดิมทีก็ถูกผนึกอยู่ในดวงจิตของนางเช่นกัน 

 

 

ยามนี้ แม้แต่เทียนโฮ่วก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็นคฑาด้ามนั้นแล้ว 

 

 

นางนั่งเอนๆอยู่บนเกี้ยวหลังใหญ่ ดวงพักตร์ที่เดิมทีนุ่มนวลอ่อนโยน เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา 

 

 

สองมือบอบบางใต้แขนเสื้อตัวหลวมกว้างขยับยกขึ้น 

 

 

พระนางทอดเนตรไปยังตู๋กูซิงหลันอย่างเย็นชา เสียงในสมองดังสะท้อนกลับไปกลับมาว่า “นาง….กลับคืนมาแล้วหรือ?” 

 

 

เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด 

 

 

บางที จะอาจเป็นเพียงแค่คนที่มีหน้าตาคล้ายกันแล้วบังเอิญได้คฑาด้ามนั้นมาเท่านั้น 

 

 

คนที่ดวงจิตแตกสลายไปตั้งแต่เนิ่นนานแล้ว อยู่ๆจะย้อนกลับคืนมาบนโลกอีกครั้งได้อย่างไร? 

 

 

ยิ่งไม่มีทางมาปรากฏตัวบนแดนสวรรค์ได้อย่างเด็ดขาด 

 

 

ตี้เสียทรงลอยอยู่กลางอากาศ ทอดพระเนตรมองตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปอย่างเงียบๆ 

 

 

เดิมทีทรงคิดจะไล่ตามไป 

 

 

แต่ว่ากลับเป็นครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปีที่ร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง  

 

 

ทรงหยุดอยู่ที่เดิม ไม่ไหวติง 

 

 

เยี่ยเฉินก็ไม่คิดจะปะทะกับเจ้านกยักษ์ต่อไป เขารีบติดตามตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว 

 

 

มังกรร่างยักษ์พุ่งออกจากกรงไป ติดตามด้านหลังของตู๋กูซิงหลันไปอย่างกระชั้นชิด 

 

 

เดิมทีเขาได้เป็นลูกน้องใต้บัญชาของซือเป่ย ไม่แน่ว่าอาจสร้างผลงานจนมีเชื่อเสียงเกริกไกรขึ้นมาบ้างก็ได้ 

 

 

แต่ว่าตอนนี้กลับดีนัก ไม่เพียงแต่ไม่ตายใต้น้ำมือของตู๋กูซิงหลัน กลับถูกนางลากลงน้ำไปด้วยกัน ตอนนี้หากอยากมีชีวิตรอดไปได้ มีแต่ต้องร่วมมือกับนางเท่านั้น 

 

 

คนที่เดิมทีเกลียดกันจะเป็นจะตาย ตอนนี้ได้แต่ต้องก้มหน้ากัดฟันร่วมมือกันไปก่อน มันน่าหงุดหงิดใจอย่างที่สุดหรือไม่เล่า! 

 

 

ตี้เสียทรงชะงักอยู่กลางอากาศ แม้แต่ตอนที่เยี่ยเฉินหลบหนีก็มิได้ทรงรั้งเอาไว้ 

 

 

ปฏิกริยาเช่นนี้ แน่นอนว่าทำให้สีพระพักตร์ของเทียนโฮ่วอึมครึมกว่าเดิม 

 

 

นางโบกมือเบาๆ แถบผ้าสีเขียวอมควันเส้นหนึ่งลอยออกไป นกยูงขาวที่อยู่ข้างกายก็คาบแถบผ้าชิ้นนั้นมุ่งไปหาตี้เสีย 

 

 

พอมันบินไปถึงตี้เสีย ปากก็คลายออก ปล่อยให้แถบผ้าผืนนั้นร่อนลงบนฝ่ามือของตี้เสียอย่างช้าๆ 

 

 

“เทียนตี้เพคะ มังกรตัวนั้น ดูไปคล้ายจะเป็นมังกรจากเผ่ามังกรทมิฬ” 

 

 

เทียนโฮ่วเอ่ยออกมา น้ำเสียงนุ่มนวลดุจละอองฝนต้องดอกฝ้าย นางมิได้เอ่ยถึงตู๋กูซิงหลันเลยแม้แต่น้อย เพียงให้ความสำคัญกับ ‘มังกรตัวนั้น’ เท่านั้น 

 

 

แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาต่างก็เข้าใจดีว่า จะใช่มังกรหรือไม่ล้วนไม่มีความหมาย 

 

 

สตรีในชุดสีแดงผู้นั้นต่างหาก ที่สำคัญกว่า 

 

 

แถบผ้าสีเขียวอมควันร่วงลงบนฝ่าพระหัตถ์ พันลงมาเบาๆ ราวกับมีฝ่ามือที่นุ่มนวลของอิสตรีเกาะกุมเอาไว้ 

 

 

ตี้เสียทรงได้พระสติกลับคืนมา หันไปทอดพระเนตรมองดูผู้ที่ปรากฏตัวอยู่บนเกี้ยว 

 

 

พระองค์กุมแถบผ้าสีเขียวอมควันผืนนั้นเอาไว้ในพระหัตถ์ ขยับร่างพุ่งวาบออกจากกรงขัง ร่อนลงบนเกี้ยว 

 

 

สิบแปดเทพธิดาที่อยู่รอบด้านต่างก็ก้มศีรษะลง สายตาไม่กล้าวอกแวก 

 

 

“ฮว๋ายเอ๋อ ทำให้เจ้าได้รับความตระหนกแล้วกระมัง?” 

 

 

ตี้เสียประทับนั่งลงที่ข้างกายฮว๋ายยู่ ยื่นพระหัตถ์ไปลูบข้างแก้มของนางอย่างแผ่วเบา พันแถบผ้าสีเขียวอมควันผืนนั้นลงบน​ เส้นเกศาของนางใหม่อีกครั้ง 

 

 

น้ำเสียงนั้น นุ่มนวลกว่ายามที่เผชิญหน้ากับตู๋กูซิงหลัน หรือตรัสกับเหล่าเทพอื่นๆมากมายนัก 

 

 

“มิว่าจะในแดนสวรรค์ หรือว่าหกภพภูมิ ขอเพียงเทียนตี้ทรงปกป้องหม่อมฉันเอาไว้ หม่อมฉันก็ไม่มีวันหวาดกลัว” เส้นคิ้วของฮว๋ายยู่โค้งมน พระนางเอียงพระเศียรลงไปบนพระอังสะของเทียนตี้ เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “หม่อมฉันมีวาสนาได้ผูกพันกับฝ่าบาท ถือเป็นคนๆเดียวกันมาเนิ่นนานแล้ว แม้แต่ตอนที่ตกอยู่ในโลกที่มีแต่ความวุ่นวาย ก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าต้องหวาดกลัวสิ่งใด” 

 

 

พอเอ่ยเช่นนั้นออกมา ตี้เสียก็คว้าพระหัตถ์ของนางเอาไว้แนบแน่น โดยไม่ตรัสคำใดทั้งสิ้น 

 

 

แม้ว่าจะเป็นผู้สูงส่งอยู่ในแดนสวรรค์ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า พระองค์เคยผ่านความยากลำบากบนโลกมานานถึงห้าหมื่นปี ต้องผ่านการเกิดใหม่นับครั้งไม่ถ้วน รับความทุกข์ทรมานบนโลกมามากมาย 

 

 

ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นเพราะสองคนนั้น 

 

 

คำพูดของฮว๋ายยู่ทำให้พระองค์ย้อนคิดกลับไปถึงเมื่อก่อน พระหัตถ์ที่คว้ามือของนางเอาไว้บีบหนักจนทำให้ฮว๋ายยู่ รู้สึกเจ็บปวดแต่ว่านางก็ไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่ทำเดียว 

 

 

กลับยิ่งขยับร่างซุกเข้าไปแนบสนิทกับพระองค์มากกว่าเดิม 

 

 

ม่านโปร่งสีแดงด้านนอกเกี้ยวทรงถูกปล่อยลงมาแล้ว บนพระแท่นหลังใหญ่ สองมือของพระนางโอบล้อมอยู่บนพระศอของพระองค์ 

 

 

แม้ว่าตี้เสียจะทรงประทับอยู่บนพระแท่น แต่ว่าพระทัยของพระองค์กลับติดตามตู๋กูซิงหลันไปตั้งแต่แรกแล้ว 

 

 

พระองค์ต้องการพิสูจน์ให้แน่นชัด ว่านางจะใช่….หรือไม่ 

 

 

ดัชนีของพระองค์พึ่งจะขยับ ดวงพักตร์ของฮว๋ายยู่ก็ขยับมาแนบอยู่บนพระอุระแล้ว 

 

 

“เทียนตี้เพคะ เรื่องอื่นไม่มีสิ่งใดน่าหวั่นเกรงหรอกเพคะ หม่อมฉันกลัวแต่ว่าพระองค์จะทรงไปจากหม่อมฉันเท่านั้น” 

 

 

พระหัตถ์ที่พึ่งขยับของตี้เสียหยุดลงในทันที พระองค์หลับพระเนตรลงเล็กน้อย มองดูสตรีที่นุ่มนวลดุจกลีบบุปผาในอ้อมพระอุระ ขณะเดียวกันก็ดูน่าสงสารดุจกวางน้อย ก็ต้องจดจ้องดูนางอย่างลืมพระองค์ไป 

 

 

นางช่างงดงามถึงเพียงนี้ ทำให้หัวใจผู้คนบังเกิดความสงสาร จนอยากจะตระกองกอดให้แนบแน่นจนหลอมรวมเข้ากับกระดูกและเลือดเนื้อ 

 

 

หากว่าเป็นยามปกติ เมื่อฮว๋ายยู่ใช้แววตาแวววาวที่น่าสงสารเช่นนี้มองมาที่พระองค์ แนบร่างเข้าหาพระองค์ พระองค์จะต้องโอบนางเข้าไปและโปรดปรานให้เต็มรักแล้ว 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ กลับไม่ทรงเกิดความสนพระทัยแม้แต่น้อย 

 

 

มือของฮว๋ายยู่เปลี่ยนเป็นอยู่ไม่สุขขึ้นมา เลื่อนไหลจากพระศอลงไปยังด้านล่าง 

 

 

เล้าโลมอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล 

 

 

บรรยากาศภายในเกี้ยวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัญจวน ปกติพวกเขาเองก็เคยกระทำเรื่องอย่างว่าในที่นี่อยู่เสมอ 

 

 

เทียนตี้ก็ทรงแข็งขันในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ยามปกติเพียงแค่สะกิดเล็กสะกิดน้อยก็จะปะทุเป็นภูเขาไฟระเบิดขึ้นมาแล้ว 

 

 

แต่ว่าตอนนี้บุรุษที่เคยแข็งขันเช่นนั้น กลับเปลี่ยนไปราวกับว่าเป็นผู้อื่น ไม่ยอมขยับสักนิด 

 

 

แม้กระทั่ง ขณะที่ฝ่ามือของนางสัมผัสกับจุดเปราะบาง ‘ที่ทุกคนต่างก็เข้าใจ’ ว่าเป็นที่ใด เทียนตี้ก็กลับคว้ามือของนางไว้ ผลักออกไป 

 

 

“ฮว๋ายเอ๋อร์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์รัชทายาท ไม่สะดวกต่อการทำเรื่องเช่นนั้น” 

 

 

ตอนนี้ตี้เสียไหนเลยจะมีพระทัยทำเรื่องอย่างว่า เมื่อครู่พระองค์พึ่งจะแยกดวงจิตส่วนหนึ่งออกมาจากร่าง ไล่ตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปแล้ว 

 

 

ฮว๋ายยู่เองก็มิใช่คนโง่ ถึงแม้ว่าพระองค์จะปกปิดอย่างดีเยี่ยม แต่ว่าพระนางก็ยังรู้อยู่ดี 

 

 

เพียงแต่นางไม่ได้เปิดเผยออกมาให้เกิดความยุ่งยาก มือที่ถูกปัดออกไปก็ยกขึ้นมากุมพระหัตถ์ของตี้เสียใหม่อีกครั้ง ชักนำมาลูบลงไปบนครรภ์ของตนอย่างแผ่วเบา 

 

 

หน้าท้องของนางยื่นออกมาเล็กน้อย เพราะภายในมีชีวิตใหม่เคลื่อนไหวอยู่ 

 

 

“ท่านดูสิ คนที่เป็นมารดาอย่างข้าช่างโง่เสียจริง เกือบจะทำอะไรลงไปโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของเจ้าตัวน้อยเสียแล้ว” 

 

 

ฮว๋ายยู่พูดพลาง ข้างแก้มที่เดิมทีขาวสะอาด ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา 

 

 

และเพราะเจ้าตัวน้อยนี้ แววพระเนตรของตี้เสียจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงอีกหลายส่วน 

 

 

……………………….