นัยตาทั้งสองข้างของพระองค์เป็นสีทองที่ส่องประกาย จนแทบจะทำให้แยกลูกนัยตาและตาขาวไม่ออก
แต่ก็ต้องนับว่าเป็นดวงตาที่งดงามอย่างยิ่ง
เป็นประกายระยิบระยับ ทั้งยังทรงอำนาจอย่างยิ่ง
พระขนงคมเข้มดุจน้ำหมึก บนพระนลาฏมีตราประทับดวงสุริยะสีเหลืองทอง
พระเกศาสีทองสยายออกมาราวกับกำลังล่องลอย กล้ามเนื้อบนร่างได้รูปและเป็นเส้นที่ชัดเจน
บุรุษผู้นี้ ไม่เพียงแต่สูงส่งอยู่เหนือผู้คน แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยอดเยี่ยมเป็นหนึ่ง
เพียงแต่ว่าตอนนี้ตู๋กูซิงหลันมิได้มีแก่ใจจะมาชื่นชมบุรุษโฉมงามคนใดทั้งสิ้น ตี้เสียผู้นี้แม้จะงามดุจบุปผาดอกหนึ่ง แต่ก็ไม่เข้าตานางแม้แต่น้อย
คนที่เกลียดชัง ต่อให้หน้าตาดีเพียงไรก็เปล่าประโยชน์
พอเห็นตี้เสียกำลังตกตะลึงอยู่ จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันก็ฉวยโอกาสนี้เหาะนี้ออกไป
เจดีย์แต่ละชั้นมีอาคมกักขังกางกั้นอยู่ อาคมเหล่านั้นคือเขตแดนขวางกั้นที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
ได้แต่ต้องอาศัยประตูใหญ่หลบหนีออกไปเท่านั้น
ประตูใหญ่ของกรงยังเปิดอยู่ ตู๋กูซิงหลันเล็งเอาไว้แต่แรกแล้ว หากมิใช่เพราะว่าตี้เสียแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงกับขวางนางเอาไว้ได้ นางก็คงจะเหาะหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ตอนนี้เพียงพริบตาเดียว นางก็เหาะออกไปแล้ว แสงกึ่งโปร่งใสจากดวงจิตของนางดูเหมือนแสงระยิบระยับจากหิงห้อยตัวหนึ่ง
ในมือของนางยังคงกุมคฑาสีดำเอาไว้ คฑาด้ามนี้เดิมทีก็ถูกผนึกอยู่ในดวงจิตของนางเช่นกัน
ยามนี้ แม้แต่เทียนโฮ่วก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็นคฑาด้ามนั้นแล้ว
นางนั่งเอนๆอยู่บนเกี้ยวหลังใหญ่ ดวงพักตร์ที่เดิมทีนุ่มนวลอ่อนโยน เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
สองมือบอบบางใต้แขนเสื้อตัวหลวมกว้างขยับยกขึ้น
พระนางทอดเนตรไปยังตู๋กูซิงหลันอย่างเย็นชา เสียงในสมองดังสะท้อนกลับไปกลับมาว่า “นาง….กลับคืนมาแล้วหรือ?”
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด
บางที จะอาจเป็นเพียงแค่คนที่มีหน้าตาคล้ายกันแล้วบังเอิญได้คฑาด้ามนั้นมาเท่านั้น
คนที่ดวงจิตแตกสลายไปตั้งแต่เนิ่นนานแล้ว อยู่ๆจะย้อนกลับคืนมาบนโลกอีกครั้งได้อย่างไร?
ยิ่งไม่มีทางมาปรากฏตัวบนแดนสวรรค์ได้อย่างเด็ดขาด
ตี้เสียทรงลอยอยู่กลางอากาศ ทอดพระเนตรมองตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปอย่างเงียบๆ
เดิมทีทรงคิดจะไล่ตามไป
แต่ว่ากลับเป็นครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปีที่ร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง
ทรงหยุดอยู่ที่เดิม ไม่ไหวติง
เยี่ยเฉินก็ไม่คิดจะปะทะกับเจ้านกยักษ์ต่อไป เขารีบติดตามตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
มังกรร่างยักษ์พุ่งออกจากกรงไป ติดตามด้านหลังของตู๋กูซิงหลันไปอย่างกระชั้นชิด
เดิมทีเขาได้เป็นลูกน้องใต้บัญชาของซือเป่ย ไม่แน่ว่าอาจสร้างผลงานจนมีเชื่อเสียงเกริกไกรขึ้นมาบ้างก็ได้
แต่ว่าตอนนี้กลับดีนัก ไม่เพียงแต่ไม่ตายใต้น้ำมือของตู๋กูซิงหลัน กลับถูกนางลากลงน้ำไปด้วยกัน ตอนนี้หากอยากมีชีวิตรอดไปได้ มีแต่ต้องร่วมมือกับนางเท่านั้น
คนที่เดิมทีเกลียดกันจะเป็นจะตาย ตอนนี้ได้แต่ต้องก้มหน้ากัดฟันร่วมมือกันไปก่อน มันน่าหงุดหงิดใจอย่างที่สุดหรือไม่เล่า!
ตี้เสียทรงชะงักอยู่กลางอากาศ แม้แต่ตอนที่เยี่ยเฉินหลบหนีก็มิได้ทรงรั้งเอาไว้
ปฏิกริยาเช่นนี้ แน่นอนว่าทำให้สีพระพักตร์ของเทียนโฮ่วอึมครึมกว่าเดิม
นางโบกมือเบาๆ แถบผ้าสีเขียวอมควันเส้นหนึ่งลอยออกไป นกยูงขาวที่อยู่ข้างกายก็คาบแถบผ้าชิ้นนั้นมุ่งไปหาตี้เสีย
พอมันบินไปถึงตี้เสีย ปากก็คลายออก ปล่อยให้แถบผ้าผืนนั้นร่อนลงบนฝ่ามือของตี้เสียอย่างช้าๆ
“เทียนตี้เพคะ มังกรตัวนั้น ดูไปคล้ายจะเป็นมังกรจากเผ่ามังกรทมิฬ”
เทียนโฮ่วเอ่ยออกมา น้ำเสียงนุ่มนวลดุจละอองฝนต้องดอกฝ้าย นางมิได้เอ่ยถึงตู๋กูซิงหลันเลยแม้แต่น้อย เพียงให้ความสำคัญกับ ‘มังกรตัวนั้น’ เท่านั้น
แต่ที่จริงแล้ว พวกเขาต่างก็เข้าใจดีว่า จะใช่มังกรหรือไม่ล้วนไม่มีความหมาย
สตรีในชุดสีแดงผู้นั้นต่างหาก ที่สำคัญกว่า
แถบผ้าสีเขียวอมควันร่วงลงบนฝ่าพระหัตถ์ พันลงมาเบาๆ ราวกับมีฝ่ามือที่นุ่มนวลของอิสตรีเกาะกุมเอาไว้
ตี้เสียทรงได้พระสติกลับคืนมา หันไปทอดพระเนตรมองดูผู้ที่ปรากฏตัวอยู่บนเกี้ยว
พระองค์กุมแถบผ้าสีเขียวอมควันผืนนั้นเอาไว้ในพระหัตถ์ ขยับร่างพุ่งวาบออกจากกรงขัง ร่อนลงบนเกี้ยว
สิบแปดเทพธิดาที่อยู่รอบด้านต่างก็ก้มศีรษะลง สายตาไม่กล้าวอกแวก
“ฮว๋ายเอ๋อ ทำให้เจ้าได้รับความตระหนกแล้วกระมัง?”
ตี้เสียประทับนั่งลงที่ข้างกายฮว๋ายยู่ ยื่นพระหัตถ์ไปลูบข้างแก้มของนางอย่างแผ่วเบา พันแถบผ้าสีเขียวอมควันผืนนั้นลงบน เส้นเกศาของนางใหม่อีกครั้ง
น้ำเสียงนั้น นุ่มนวลกว่ายามที่เผชิญหน้ากับตู๋กูซิงหลัน หรือตรัสกับเหล่าเทพอื่นๆมากมายนัก
“มิว่าจะในแดนสวรรค์ หรือว่าหกภพภูมิ ขอเพียงเทียนตี้ทรงปกป้องหม่อมฉันเอาไว้ หม่อมฉันก็ไม่มีวันหวาดกลัว” เส้นคิ้วของฮว๋ายยู่โค้งมน พระนางเอียงพระเศียรลงไปบนพระอังสะของเทียนตี้ เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “หม่อมฉันมีวาสนาได้ผูกพันกับฝ่าบาท ถือเป็นคนๆเดียวกันมาเนิ่นนานแล้ว แม้แต่ตอนที่ตกอยู่ในโลกที่มีแต่ความวุ่นวาย ก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าต้องหวาดกลัวสิ่งใด”
พอเอ่ยเช่นนั้นออกมา ตี้เสียก็คว้าพระหัตถ์ของนางเอาไว้แนบแน่น โดยไม่ตรัสคำใดทั้งสิ้น
แม้ว่าจะเป็นผู้สูงส่งอยู่ในแดนสวรรค์ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า พระองค์เคยผ่านความยากลำบากบนโลกมานานถึงห้าหมื่นปี ต้องผ่านการเกิดใหม่นับครั้งไม่ถ้วน รับความทุกข์ทรมานบนโลกมามากมาย
ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นเพราะสองคนนั้น
คำพูดของฮว๋ายยู่ทำให้พระองค์ย้อนคิดกลับไปถึงเมื่อก่อน พระหัตถ์ที่คว้ามือของนางเอาไว้บีบหนักจนทำให้ฮว๋ายยู่ รู้สึกเจ็บปวดแต่ว่านางก็ไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่ทำเดียว
กลับยิ่งขยับร่างซุกเข้าไปแนบสนิทกับพระองค์มากกว่าเดิม
ม่านโปร่งสีแดงด้านนอกเกี้ยวทรงถูกปล่อยลงมาแล้ว บนพระแท่นหลังใหญ่ สองมือของพระนางโอบล้อมอยู่บนพระศอของพระองค์
แม้ว่าตี้เสียจะทรงประทับอยู่บนพระแท่น แต่ว่าพระทัยของพระองค์กลับติดตามตู๋กูซิงหลันไปตั้งแต่แรกแล้ว
พระองค์ต้องการพิสูจน์ให้แน่นชัด ว่านางจะใช่….หรือไม่
ดัชนีของพระองค์พึ่งจะขยับ ดวงพักตร์ของฮว๋ายยู่ก็ขยับมาแนบอยู่บนพระอุระแล้ว
“เทียนตี้เพคะ เรื่องอื่นไม่มีสิ่งใดน่าหวั่นเกรงหรอกเพคะ หม่อมฉันกลัวแต่ว่าพระองค์จะทรงไปจากหม่อมฉันเท่านั้น”
พระหัตถ์ที่พึ่งขยับของตี้เสียหยุดลงในทันที พระองค์หลับพระเนตรลงเล็กน้อย มองดูสตรีที่นุ่มนวลดุจกลีบบุปผาในอ้อมพระอุระ ขณะเดียวกันก็ดูน่าสงสารดุจกวางน้อย ก็ต้องจดจ้องดูนางอย่างลืมพระองค์ไป
นางช่างงดงามถึงเพียงนี้ ทำให้หัวใจผู้คนบังเกิดความสงสาร จนอยากจะตระกองกอดให้แนบแน่นจนหลอมรวมเข้ากับกระดูกและเลือดเนื้อ
หากว่าเป็นยามปกติ เมื่อฮว๋ายยู่ใช้แววตาแวววาวที่น่าสงสารเช่นนี้มองมาที่พระองค์ แนบร่างเข้าหาพระองค์ พระองค์จะต้องโอบนางเข้าไปและโปรดปรานให้เต็มรักแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ กลับไม่ทรงเกิดความสนพระทัยแม้แต่น้อย
มือของฮว๋ายยู่เปลี่ยนเป็นอยู่ไม่สุขขึ้นมา เลื่อนไหลจากพระศอลงไปยังด้านล่าง
เล้าโลมอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวล
บรรยากาศภายในเกี้ยวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัญจวน ปกติพวกเขาเองก็เคยกระทำเรื่องอย่างว่าในที่นี่อยู่เสมอ
เทียนตี้ก็ทรงแข็งขันในเรื่องนี้อย่างยิ่ง ยามปกติเพียงแค่สะกิดเล็กสะกิดน้อยก็จะปะทุเป็นภูเขาไฟระเบิดขึ้นมาแล้ว
แต่ว่าตอนนี้บุรุษที่เคยแข็งขันเช่นนั้น กลับเปลี่ยนไปราวกับว่าเป็นผู้อื่น ไม่ยอมขยับสักนิด
แม้กระทั่ง ขณะที่ฝ่ามือของนางสัมผัสกับจุดเปราะบาง ‘ที่ทุกคนต่างก็เข้าใจ’ ว่าเป็นที่ใด เทียนตี้ก็กลับคว้ามือของนางไว้ ผลักออกไป
“ฮว๋ายเอ๋อร์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์รัชทายาท ไม่สะดวกต่อการทำเรื่องเช่นนั้น”
ตอนนี้ตี้เสียไหนเลยจะมีพระทัยทำเรื่องอย่างว่า เมื่อครู่พระองค์พึ่งจะแยกดวงจิตส่วนหนึ่งออกมาจากร่าง ไล่ตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหลบหนีไปแล้ว
ฮว๋ายยู่เองก็มิใช่คนโง่ ถึงแม้ว่าพระองค์จะปกปิดอย่างดีเยี่ยม แต่ว่าพระนางก็ยังรู้อยู่ดี
เพียงแต่นางไม่ได้เปิดเผยออกมาให้เกิดความยุ่งยาก มือที่ถูกปัดออกไปก็ยกขึ้นมากุมพระหัตถ์ของตี้เสียใหม่อีกครั้ง ชักนำมาลูบลงไปบนครรภ์ของตนอย่างแผ่วเบา
หน้าท้องของนางยื่นออกมาเล็กน้อย เพราะภายในมีชีวิตใหม่เคลื่อนไหวอยู่
“ท่านดูสิ คนที่เป็นมารดาอย่างข้าช่างโง่เสียจริง เกือบจะทำอะไรลงไปโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของเจ้าตัวน้อยเสียแล้ว”
ฮว๋ายยู่พูดพลาง ข้างแก้มที่เดิมทีขาวสะอาด ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อขึ้นมา
และเพราะเจ้าตัวน้อยนี้ แววพระเนตรของตี้เสียจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงอีกหลายส่วน
……………………….