ตอนที่ 638 ก็เพราะว่า.....มันเท่ห์!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แต่ว่าดวงจิตที่แบ่งออกจากร่างไปนั้น พระองค์ก็มิได้เรียกกลับมา 

 

 

ผ่านไปเนิ่นนานหลายปีแล้วสินะ ทรงนึกว่านางตายไปแล้วจริงๆ 

 

 

ตอนนั้นในช่วงแรกๆ พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อ เคยทรงออกค้นหา และก็ทรงนึกว่าตนเองเสาะหาพบแล้ว 

 

 

ภายหลังจึงได้ทรงพบว่า นางตายไปแล้วจริงๆ จิตวิญญาณแตกสลายไม่มีวันหวนคืนกลับมาได้อีก 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ ไม้คฑาของนางกลับปรากฏตัวขึ้นมา และคนที่ดูคล้ายกับนางก็ปรากฏตัวขึ้นบนแดนสวรรค์ 

 

 

พระทัยของตี้เสียสับสนวุ่นวายไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็สงบลงอย่างรวดเร็ว 

 

 

ในฐานะที่ทรงเป็นจักรพรรดิสวรรค์มาเนิ่นนานหลายปี ย่อมพบพานลมฝนมามากมาย มีทั้งจริงๆเท็จๆปะปนกันไปหมด 

 

 

บางทีนี่นับตั้งแต่ที่นางหยิบยืมร่างเนื้อของเยี่ยเฉินขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ก็อาจจะเป็นแผนการบางอย่างก็เป็นได้ 

 

 

บางความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งเจ็บช้ำ 

 

 

…………….. 

 

 

ที่ด้านนอกเจดีย์กำราบมาร เหล่าทวยเทพต่างที่กำลังตกอยู่ในความตื่นตะลึง อยู่ก็ได้เห็นมังกรยักษ์สีครามตัวหนึ่งพุ่งออกมา 

 

 

อีกทั้งบนศีรษะของมังกรตัวนั้น ยังสาวน้อยในชุดสีแดงกึ่งโปร่งใสผู้หนึ่งยืนอยู่ 

 

 

เส้นผมและอาภรณ์ของสาวน้อยผู้นั้นพลิ้วไปตามสายลม ดูองอาจงดงามและอหังการ 

 

 

แต่ว่าดูๆแล้ว ดวงตาและหัวคิ้วคู่นั้นทำไมถึงได้รู้สึกว่าช่างคุ้นตานัก? 

 

 

สมองของเหล่าเทพเหมือนจะขาดช่วงไป พวกเขาจำไม่ได้เลยว่า ในเจดีย์กำราบเทพมารกักขังมังกรตัวหนึ่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อใด? 

 

 

เนื่องเพราะความสัมพันธ์ที่ผ่านมากับเผ่ามังกรทมิฬ ในแดนสวรรค์จึงถือว่าเผ่ามังกรนั้นต่ำต้อยที่สุด ส่วนสัตว์อสูรที่ถูกขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบเทพมารนั้น ขอเพียงแค่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวขึ้นมา ก็สามารถมารถทำให้แดนสวรรค์สั่นสะเทือนได้แล้ว 

 

 

แล้วจะไปยอมสิ้นเปลืองทรัพยากรเพื่อกักขังเพียงมังกรตัวหนึ่งได้อย่างไร? 

 

 

แถมมองดูแล้วก็เป็นเผ่ามังกรทมิฬเสียด้วย 

 

 

ช่วงเวลาเช่นนี้ เยี่ยเฉินที่พุ่งออกมาจากเจดีย์กำราบเทพมารด้วยร่างมังกรยักษ์ยังต้องงุนงงไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าตนเองสมควรจะไปที่ใดดี 

 

 

ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกับคนที่ได้ทุบหม้อข้าวของตนจนแตกยับไปแล้ว 

 

 

จึงได้แต่เหลือบตามองบนไปยังตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนศีรษะ “เจ้าจะหนีก็หนีออกมาได้แล้ว แต่ยังจงใจรั้งรอข้าอยู่ เพราะเกิดมีน้ำใจขึ้นมาหรือไง?” 

 

 

ตอนนี้พวกเขาเหมือนกับตั๊กแตนที่ไต่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน นี่ก็เท่ากับว่า หากอยากจะมีทางรอดต่อไป พวกเขาก็ได้แต่ต้องร่วมมือกันเท่านั้น 

 

 

นังเด็กสาวตัวร้ายผู้นี้ คงจะคิดหาหนทางให้เขาต้องยอมรับนางมาโดยตลอดสินะ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “ก็แค่เพราะเวลาที่เหาะออกมาแล้วได้ยืนอยู่บนหัวของเจ้า…..” 

 

 

นางจงใจหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยต่อไปอย่างรวบรัดว่า “มันเท่ห์” 

 

 

เยี่ยเฉิน “? ? ?” 

 

 

เขาเกือบจะเอาหัวพุ่งเข้าไปชนเสา อยากให้นังเด็กนี่ตายไปเสียเลย 

 

 

แต่พอคิดๆดูไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ตาย แต่ตนเองมีหวังต้องแหลกไปก่อน 

 

 

ดังนั้นเยี่ยเฉินจึงได้แต่ต้องล้มเลิกความคิดนี้ทิ้งไป หากยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็เก็บชีวิตเอาไว้ก่อนจะดีกว่า….. 

 

 

ไหนๆก็ทุบหม้อข้าวทิ้งไปแล้ว สมควรหาทางดิ้นรนดูอีกสักครั้งมิใช่หรือ? 

 

 

แผนการในความคิดของตู๋กูซิงหลันย่อมต้องร้ายกาจอยู่แล้ว ที่นางคิดเอาไว้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะดูเท่หรือไม่ 

 

 

หากแต่เยี่ยเฉินเป็นถึงมังกร ร่างกายนี้จะอย่างไรกระดูกก็ต้องแข็งอยู่แล้ว จะมากจะน้อยย่อมเอามาใช้เป็นโล่ได้บ้าง ทั้งยังช่วยนางรับมือได้พอสมควร 

 

 

เพราะว่าแม้แต่การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในก้นทะเลลึกเขาก็ยังรอดมาได้เลย ร่างเนื้อนี้ย่อมต้องนำมาใช้งานให้คุ้มค่า 

 

 

แต่ที่นางคิดไม่ถึงก็คือ ทันทีที่หนีออกมาได้ ก็จะถูกล้อมเอาไว้หมดแล้วเช่นนี้ 

 

 

เทพไท้เหล่านี้แต่ละคนมีฝีมือสูงส่ง เก่งกาจจนหางชี้ฟ้า พอสบโอกาสให้ฉกฉวย ต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมพลาดกันเลยสินะ? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูสีหน้าที่มึนงงของเหล่าเทพ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา 

 

 

ในมือของนางกุมคฑาสีดำทมึนด้ามนั้นเอาไว้ ในเมื่อวันนี้นางได้เผยโฉมต่อหน้าตี้เสียไปแล้ว นางคงจะอยู่บนแดนสวรรค์แห่งนี้ได้ไม่นานเสียแล้ว 

 

 

เช่นนั้นก็สู้กันสักตั้ง ใช้พลังดูดซับของคฑาไปดูดซับพลังวิญญาณเหล่านั้นมาต่อสู้ก็น่าจะได้อยู่ 

 

 

แต่ว่าตอนนี้แผนแรกที่นางจะลงมือมิใช่การหลบหนี แต่เป็นการบุกไปยังตำหนักของซือมิ่งตามหาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งเพื่อทวงยาแก้พิษ 

 

 

ขึ้นมาบนสวรรค์ทั้งที นางย่อมไม่มีทางลืมภารกิจที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว 

 

 

“ไปที่ตำหนักของซือมิ่ง” นางเหยียบลงไปบนศีรษะของเยี่ยเฉิน ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา 

 

 

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ยันต์โลหิตของนางได้ส่งสัญญาณกลับมาแล้ว ว่าจิตวิญญาณของต้าซือมิ่งอยู่ที่นั่นจริงๆ 

 

 

“ไม่ไป” เยี่ยเฉินดื้อดึงอย่างถึงที่สุด 

 

 

ถึงแม้จะตกอับอย่างไรเขาก็ยังเป็นถึงไท่จื่อของเผ่ามังกรทมิฬ แล้วตอนนี้ทำไมถึงได้กลายเป็นเพียงแค่พาหนะตัวหนึ่งเท่านั้น? 

 

 

“หากไม่ไปเจ้าจะได้ตายเร็วกว่าเดิม” ตู๋กูซิงหลันยกมุมปาก ควงไม้คฑาในมือ “ทำตัวให้ดี รู้จักเชื่อฟัง หากเจ้รอดไปได้ จะมีเมตตาให้ทางรอดแก่เจ้าสายหนึ่ง” 

 

 

ศีรษะสุนัขของเยี่ยเฉิน หากตู๋กูซิงหลันต้องการขึ้นมาเมื่อไหร่ มิใช่เรื่องที่ง่ายดายอยู่แล้วหรอกหรือ 

 

 

เยี่ยเฉิน “….” เขาอยากจะด่าออกไป แต่ว่าเขาก็ไม่กล้า 

 

 

ความทรนงในฐานะที่เป็นถึงองค์ไท่จื่อ ถูกบดขยี้และเหยียบย่ำลงไปจนแหลกลาญครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

 

สองตามังกรของเขามองออกไปยังเหล่าเทพที่อยู่โดยรอบ แน่นอนว่า สายตาของพวกเขามองตู๋กูซิงหลันด้วยความประหลาดใจ แต่ยามที่สายตาเหล่านั้นมองมาที่ตนเอง กลับมีแต่ความชิงชังเหยียดหยาม ราวกับว่าได้เห็นสิ่งสกปรกที่รกสายตาอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนยังคงอยู่นิ่งห่างออกไปไม่ไกล มังกรหยกทั้งเก้าตัวถูกล่ามเอาไว้ ยามที่มองเห็นพวกนาง มังกรหยกที่เหมือนจิตใจตายไปแล้วก็ปลุกพลังชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันเริ่มส่งเสียงกู่ร้องออกมา 

 

 

เดิมทีตู๋กูซิงหลันคิดจะตรงไปยังตำหนักของต้าซือมิ่งเพื่อทวงยาถอนพิษแล้วหลบหนีไป 

 

 

แต่พอต้องเหาะผ่านมังกรหยกเหล่านี้ นางก็ยากที่จะทำใจมิให้เกิดความสงสาร 

 

 

ในฐานะที่เป็นประมุขของเผ่าพันธุ์หนึ่ง หากต้องทนดูคนในเผ่าถูกทารุณอยู่เฉยๆ นางย่อมทำไม่ได้อยู่แล้ว 

 

 

ในเมื่อวันนี้นางและเยี่ยเฉินต่างก็เผยโฉมออกมาแล้ว ต่อให้พวกนางหนีไปจากแดนสวรรค์ได้เป็นผลสำเร็จ เหล่าเทพในแดนสวรรค์จับคนไม่ได้ ก็จะต้องมาระบายโทสะลงกับมังกรหยกเหล่านี้แทนเป็นแน่ 

 

 

เยี่ยเฉินเองก็จ้องมองไปที่มังกรหยกเหล่านั้นเช่นกัน มังกรเหล่านี้ มาจากมังกรเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่จริงแล้วพวกมันมิได้กำเนิดขึ้นมาจากหยก หยกเขียวเหล่านี้คือเครื่องรัดที่เหล่าเทพสวมทับลงไปบนพวกมันเท่านั้น 

 

 

เพื่อจะให้พวกมันมองดูแล้วเหมือนเป็นขบวนเดียวกัน สวยงามน่าชมเท่านั้นเอง 

 

 

เพราะเหตุนี้ จึงได้ใช้หยกเขียวมาทำเป็นเครื่องรัด 

 

 

ทุกครั้งที่สายฟ้าจากสวรรค์พาดลงมา ผิวหนังของพวกมันก็ถูกฟาดจนฉีกขาด ส่วนที่ได้รับการรักษาต่อประสานก็มีแต่ส่วนที่อยู่นอกเครื่องรัดหยกเหล่านี้เท่านั้น ส่วนอื่นๆของร่างกายที่อยู่ใต้ชิ้นหยกเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีแผลเป็นไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ 

 

 

เยี่ยเฉินแม้จะเป็นตัวร้ายแต่ก็ยังนับว่ามีน้ำใจต่อเผ่าพันธุ์เดียวกันอยู่ 

 

 

เขาเองก็รู้สึกว่าทนดูไม่ได้เช่นกัน 

 

 

ขณะที่พวกนางกำลังเหาะผ่านมังกรหยกทั้งเก้าตัว ตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนศีรษะของเขาก็กุมคฑาสีดำเอาไว้ แล้วกระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

จิตวิญญาณที่กิ่งโปร่งใสร่อนลงไปตรงเบื้องหน้าของมังกรทั้งเก้า 

 

 

“ฮูมมมม …” 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่มังกรทั้งเก้าได้พบกับตัวตนที่แท้จริงของนาง 

 

 

เพียงแวบแรกที่ได้เห็นนาง ร่างกายของพวกมันก็สั่นสะท้านจนเครื่องรัดส่งเสียงติงๆตังๆดังสนั่น 

 

 

พวกมันต่างก็พากันก้มศีรษะลงมา แสดงความเคารพต่อนาง 

 

 

หากมิใช่เพราะว่าร่างกายถูกพันธนาการเอาไว้ พวกมันคงจะลงไปหมอบอยู่ตรงหน้าตู๋กูซิงหลันแล้ว 

 

 

นี่คือประมุขของเผ่ามังกรทมิฬ ประมุขของเผ่ามังกรทั้งสี่ทะเล! 

 

 

เหล่าเทพต่างก็มองมา ตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจว่า ที่ฝูงมังกรแสดงความเคารพออกมาเมื่อยามกลางวัน นั้น มิใช่เป็นการแสดงความเคารพต่อเยี่ยเฉิน หากแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อสตรีผู้นี้ต่างหาก! 

 

 

“นางคือ…..ประมุขเผ่ามังกร?” 

 

 

เหล่าเทพต่างก็เป็นผู้ผ่านประสบการณ์มามาก ย่อมต้องรู้จักวิธีการแสดงความเคารพของเผ่ามังกร 

 

 

ประมุขมังกรที่พวกเทพเอ่ยเรียก ย่อมต้องหมายถึงประมุขแห่งมังกรทมิฬ 

 

 

มีแต่ประมุขของมังกรทมิฬเหล่านั้นจึงจะมีอำนาจปกครองทั้งสี่ทะเล แต่มีแต่ประมุขของมังกรทมิฬเหล่านั้นที่จะได้รับการแสดงความเคารพจากเผ่ามังกร 

 

 

พอมีคนเอ่ยออกมา เหล่าทวยเทพต่างก็ตระเตรียมการป้องกันตัว 

 

 

ประมุขของมังกรทมิฬในอดีต….เยี่ยจ้าน เล่าลือกันว่าดับสิ้นอยู่ในหุบเหวไร้ก้นบึ้งไปแล้ว 

 

 

ตำแหน่งประมุขนี้ แม้แต่เยี่ยเฉินยังไม่อาจได้รับการสืบทอด แล้วทำไมสาวน้อยผู้นี้ถึงได้? 

 

 

………………