ตอนที่ 639 ใช้สายตาประเมินดูแล้ว ว่าเป็นคนที่สู้พวกเขาไม่ได้

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

นางกับเยี่ยเฉินมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร? 

 

 

นี่คือคำถามที่ทุกคนต่างก็สงสัย 

 

 

ที่พวกเขาต่างพากันเกลียดชังเผ่ามังกรทมิฬจนถึงเพียงนี้ ก็เป็นเพราะว่าเมื่อหมื่นปีก่อนเผ่ามังกรทมิฬทำให้เหล่าเทพในแดนสวรรค์อย่างพวกเขาต้องเสื่อมเกียรติ 

 

 

พวกเทพไม่เคยยินยอมให้เกิดการต่อต้านใดๆที่ท้าทายต่ออำนาจของพวกเขา 

 

 

หากมีก็ต้องกำจัดให้สิ้น 

 

 

ด้วยพลังอำนาจที่แข็งแกร่งจนไร้ต้านทาน 

 

 

ในแดนสวรรค์แห่งนี้ นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามระหว่างเผ่าเทพและหมิงก็มีแต่ความสงบสุขยาวนานมาตลอดหมื่นปี 

 

 

จนไม่มีใครคาดคิดว่า อยู่ๆก็จะมีประมุขคนใหม่ของมังกรทมิฬปรากฏตัวขึ้นมา 

 

 

แถมนางยังดูเหมือนสาวน้อยที่อายุไม่ถึงยี่สิบเลยเสียด้วยซ้ำ! 

 

 

ที่สำคัญคือมีเพียงจิตวิญญาณ! 

 

 

เหล่าเทพต่างก็พากกันห้อมล้อมนางเอาไว้ แต่กลับไม่มีใครยอมลงมือก่อน 

 

 

หากไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีน้ำหนักเท่าไร ก็ชิงจู่โจมออกไปโดยมากมักได้ตายก่อน เพราะว่าในเมื่อนางสามารถบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เช่นนี้ ก็แสดงว่าจะต้องมีฝีมืออยู่บ้าง 

 

 

เหล่าเทพก็มีไหวพริบอยู่บ้างเหมือนกัน ย่อมไม่มีใครยอมออกไปเป็นแนวหน้าทั้งนั้น 

 

 

จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตี้เสียเหาะมาถึงแล้ว จิตวิญญาณสีทองซ่อนอยู่ในชั้นหมู่เมฆ ที่เหล่าเทพมองไม่เห็น 

 

 

แม้แต่กลิ่นอายบนร่างก็ยังถูกลบไปจนหมดสิ้น 

 

 

พระองค์เพียงแต่ทอดพระเนตรมองดูตู๋กูซิงหลัน ทรงต้องการมองดูนางให้ทะลุปรุโปร่ง 

 

 

เหล่าเทพไม่มีใครยอมลงมือ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับลงมือแล้ว 

 

 

ภายใต้การจับจ้องของเหล่าเทพ ก็เห็นนางใช้มือข้างหนึ่งคว้าโซ่ตรวนบนลำคอของมังกรตัวหนึ่งเอาไว้ ยกหมัดต่อยใส่ลงไป 

 

 

โซ่ตรวนเส้นนั้นส่งเสียงติงตังออกมา 

 

 

“นางกำลังทำสิ่งใดอยู่?” 

 

 

เหล่าเทพไม่มีใครยอมออกไปเป็นแนวหน้า ยังคงวางท่าสูงส่ง สังเกตดูสถานการณ์อย่างจริงจัง 

 

 

“คงไม่ใช่ว่าคิดจะใช้มือเปล่าทำลายโซ่ตรวนพวกนั้นหรอกนะ?” 

 

 

“เฮอะ เฮอะ สมแล้วที่มาจากโลกเบื้องล่าง จึงไม่เคยพบเห็นอะไรมาก่อน คิดว่าตนเองเก่งมาจากที่ใดกัน?” 

 

 

“โซ่ตรวนเหล่านั้นทำจากศิลาโครงกระดูกที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลแห่งดวงดาว แม้แต่เทพนักรบของแดนสวรรค์เรายังไม่อาจทำลายลงได้ แล้วนางที่เป็นเพียงดวงวิญญาณจากโลกเบื้องล่างจะมีปัญญาทำอะไร?” 

 

 

“ดวงวิญญาณที่ไหนกัน นางคือประมุขคนใหม่ของเผ่ามังกรทมิฬต่างหาก” 

 

 

เหล่าเทพต่างก็พากันหัวเราะออกมา ได้ดูประมุขมังกรคนใหม่ต่อยใส่โซ่ตรวนก็นับว่าดีเหมือนกัน จะได้ดูสิว่านางมีน้ำหนักอยู่สักกี่ชั่ง ค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะลงมือหรือไม่ หรือจะลงมืออย่างไรดี 

 

 

ริมหูของพวกนางได้ยินเสียงของพวกเทพหัวเราะเยาะอยู่ตลอดเวลา 

 

 

แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับทำเหมือนมองไม่เห็น พวกเทพที่วางตนสูงส่งเหล่านั้น ย่อมมีแต่พวกหยิ่งยโสอยู่แล้ว 

 

 

อยากจะทำตัวเย่อหยิ่งแค่ไหนก็ทำไป จะอย่างไรย่อมดีกว่าการที่พวกมันบุกเข้ามาวุ่นวายมากนัก 

 

 

เยี่ยเฉินที่รั้งอยู่ด้านข้างก็ไม่กล้าหนีไปไหน ถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดชังตู๋กูซิงหลัน แต่ว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ หากตกอยู่ในมือของพวกเทพ เขาคงต้องตายอนาถกว่าเดิม 

 

 

ว่าตามจริงแล้ว เขาเองก็ไม่เชื่อหรอกว่าตู๋กูซิงหลันจะมีฝืมือขนาดทำลายโซ่ตรวนเหล่านั้นลงได้ 

 

 

แต่ว่าในขณะที่เทพเหล่านั้นกำลังหัวเราะอย่างขำขัน ก็พลันได้ยินเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้นมา 

 

 

เหล่าเทพต่างก็พากันเงียบไป พวกเขาพากันจับจ้องไปที่โซ่ตรวนเส้นนั้น แต่ก็เห็นว่ามันมิได้บุบสลายเลยสักนิด 

 

 

“เอ้? ไม่มีปัญญาเลยสักนิดนิ….” 

 

 

พวกเขาพากันหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครง และคราวนี้ แววตาของแต่ละคนก็ทอประกายสังหารออกมา ตระเตรียมจะลงมือบ้างแล้ว 

 

 

ดูสิ ประมุขมังกรคนใหม่ช่างไม่มีฝีมือบ้างเลย อุตส่าห์ฝ่าฟันขึ้นมาก่อความวุ่นวายถึงบนแดนสวรรค์ได้แล้วแท้ๆ หากว่าวันนี้ผู้ใดสามารถจับตัวนางได้ คงต้องได้รับรางวัลใหญ่เป็นแน่ 

 

 

ถึงตอนนี้แต่ละคนต่างก็เคลื่อนไหวอยากฮึกเหิมขึ้นมา คิดจะรีบสร้างผลงานใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น 

 

 

แต่ละคนต่างก็ชักอาวุธประจำกายของตนออกมา พวกที่ใจร้อนหน่อย ก็เหาะออกไปถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลันแล้ว 

 

 

มังกรหยกทั้งเก้าตัวต่างก็แสดงสีหน้าเป็นกังวล พวกมันพากันส่ายศีรษะ ส่งเสียงกู่ร้องออกมา เป็นความหมายว่าให้ตู๋กูซิงหลันรีบหลบหนีไป 

 

 

เผ่ามังกรไม่อาจไร้ประมุข ของเพียงประมุขมังกรยังอยู่ ทั้งหมดยังนับว่ามีความหวัง 

 

 

หัวใจของเยี่ยเฉินเองก็เย็นวาบลงไปเช่นกัน 

 

 

นังตัวร้ายผู้นี้ ไม่มีความสามารถ แล้วยังคิดจะเอาชีวิตไปเสี่ยงอีก 

 

 

ถึงแม้ว่าตอนอยู่บนโลกนางจะแข็งแกร่งจนไร้ผู้ต่อต้าน แต่ว่าที่นี่คือแดนสวรรค์ อะไรๆไหนเลยจะง่ายดายเหมือนดั่งที่นางคิด? 

 

 

ตอนนี้ในสมองของเยี่ยเฉินถึงกับเห็นภาพแล้วว่าอีกประเดี๋ยวพวกตนจะต้องตายอย่างอนาถเช่นไร 

 

 

มีเทพจำนวนไม่น้อยที่บุกเข้ามาถึงตรงหน้าตู๋กูซิงหลันแล้ว 

 

 

ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงบางอย่างแตกกระจาย 

 

 

“เพล้ง!” 

 

 

ขณะที่เหล่าเทพทั้งหลายกำลังเหาะเข้ามา โซ่ตรวนที่เดิมทีก็ยังคงแข็งแกร่ง อยู่ๆก็แตกออกจากกันโดยไม่ทราบสาเหตุ แตกละเอียดราวกับว่าถูกเขวี้ยงลงไปบนพื้นอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

และเศษของโซ่ตรวนที่แตกออกมาคมกริบดุจใบมีดก็กระเด็นกระดอนออกไปทั่วทุกทิศ 

 

 

นั้นเป็นโซ่ตรวนที่สร้างขึ้นมาจากศิลากระดูกในทะเลดวงดาวเชียวนะ ถึงกับแตกละเอียดไปเช่นนั้น? 

 

 

เหล่าเทพต่างพากันตกตะลึง! 

 

 

เยี่ยเฉินบ้าใบ้ไปแล้ว 

 

 

มังกรทั้งเก้าตัวต่างก็ประหลาดใจและตื่นเต้น พวกมันพากันหันไปมองดูตู๋กูซิงหลัน ด้วยความคาดไม่ถึง ว่านางจะสามารถใช้เพียงมือเปล่าทำลายโซ่ตรวนเหล่านี้ลงได้ 

 

 

และยังไม่พียงแค่นั้น 

 

 

โซ่ตรวนที่แตกหักยังแตกออกมาอย่างมีลักษณะพิเศษ คมกริบอย่างที่สุด ไม่แตกต่างอะไรกับใบมีดบนกริชเลยด้วยซ้ำ 

 

 

พวกเทพที่กำลังบุกเข้าไปจึงเหมือนตกอยู่ใน ‘ฝนใบมีด’ 

 

 

สำหรับพวกเขาแล้ว นี่มันมิได้ต่างอะไรกับฝนใบมีดที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเลย 

 

 

เศษที่แตกออกมาเหล่านั้นกระเด็นเข้าใส่ร่างกายของพวกเขา และแม้แต่รัศมีเทพที่ปกคลุมอยู่รอบกายของแต่ละคนก็ยังถูกทำลายจนแตกสลาย 

 

 

บนเศษโซ่เหล่านั้นมีหมอกสีดำที่เยือกเย็นปกคลุมอยู่จางๆ  

 

 

มีอยู่หลายคนตัดสินใจสร้างอาคมป้องกันขึ้นมา 

 

 

แต่ว่าโซ่ตรวนที่แตกออกมาพวกนั้น ถึงจะกลายเป็ษเศษเสี้ยวไปแล้ว แต่พวกมันก็ยังคงเป็นเศษของศิลาโครงกระดูกในทะเลดวงดาวอยู่ดี! 

 

 

พวกมันสามารถทะลวงผ่านอาคมป้องกันของพวกเขาได้ จากนั้นก็ทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อหนังของพวกเขา 

 

 

เดิมทีร่างเทพของพวกเขา แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ 

 

 

แต่ว่าศิลาโครงกระดูกเหล่านี้ยังแข็งแกร่งกว่ามากนัก! 

 

 

ยิ่งเมื่อมีผิวนอกของพวกมันมีหมอกสีดำที่ดูลึกลับเคลือบอยู่จางๆ ทำให้เทพสามคนที่บุกเข้าไปประชิดตู๋กูซิงหลันถึงกับถูกทิ่มแทงจะกลายเป็นตระแกรงไปแล้ว 

 

 

เทพทั้งสามนี้มีตำแหน่งที่ต่ำต้อย ไม่อาจถือเป็นผู้แข็งแกร่งในแดนสวรรค์ 

 

 

และเพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงคิดจะชิงบุกเข้ามาจับตู๋กูซิงหลันให้ได้ก่อนใคร หวังจะได้มีผลงานต่อหน้าเทียนตี้ 

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ แดนสวรรค์มีแต่ความสงบสุข สงบสุขจนไม่อาจหาโอกาสสร้างผลงานใดๆได้เลย 

 

 

แต่ละคนจึงได้แต่ต้องป่ายปีนขึ้นไปอย่างช้าๆทีละก้าว 

 

 

ดังนั้นพออยู่ก็มีโอกาสสร้างผลงานขึ้นมา เหล่าเทพที่มีตำแหน่งต่ำต้อยจะยอมพลาดโอกาสได้อย่างไรกัน 

 

 

แต่ว่าตอนนี้พวกเขาต้องสำนึกเสียใจแล้ว 

 

 

เศษโซ่เหล่านั้นมีพลังทำลายรุนแรงมาก พวกมันทิ่มแทงเข้าสู่ร่างกายอย่างกระจัดกระจาย ตัดทำลายเส้นชีพจรทั่วร่าง! 

 

 

เทพองค์อื่นๆที่ติดตามมา มีไม่น้อยที่หันหัวกลับไป 

 

 

แววตาของพวกเขา บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าสู้ไม่ได้ 

 

 

ไม่เอาดีกว่า! 

 

 

เรื่องที่จะเป็นแนวหน้า คงต้องถอยแล้ว 

 

 

กว่าจะได้เป็นเทพมิใช่เรื่องง่ายๆ ใครๆก็รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น 

 

 

ดังนั้นภาพที่อยู่เบื้องหน้าจึงดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง…. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ลงมือ แค่ทำลายโซ่ตรวนเหล่านั้นเป็นเศษเสี้ยว ทิ่มแทงพวกเทพที่อยู่แนวหน้าไม่กี่คนจนพรุนเป็นเม่นไปเท่านั้น 

 

 

พวกที่อยู่ด้านหลัง ต่างก็พากันล่าถอยออกไปราวกับเจอผี 

 

 

ว่ากันตามจริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันชักจะรู้สึกว่าตนเองประเมินพวกเขาสูงส่งเกินไปแล้ว 

 

 

บนแดนสวรรค์แห่งนี้ พวกเทพที่วันๆเอาแต่ชมดูเรื่องสนุกสนาน ฟังเรื่องนินทาต่างๆ ก็คือเทพเล็กเทพน้อยทั้งหลาย 

 

 

และในตอนนี้ รอบๆเจดีย์กำราบเทพมาร ก็เต็มไปด้วยเทพเล็กเทพน้อยเหล่านั้นแหละ 

 

 

หากพวกเทพที่ยิ่งใหญ่อยากจะรู้เรื่องอะไร ก็แค่นั่งรออยู่ในตำหนักของตนเองเฉยๆ ประเดี๋ยวข่าวสารก็จะถูกส่งไปหาเอง 

 

 

ดังนั้นสถานการณ์รอบๆในตอนนี้ จึงยังไม่ได้เจอกับเทพที่ยิ่งใหญ่องค์ใดทั้งสิ้น 

 

 

แม้กระทั้งเทพอย่างจื่อเวยซิงจุนก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจึงคร้านที่จะสนใจพวกเขาแล้ว หมัดที่ต่อยออกไปเมื่อครู่ นางใช้กำลังอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะมีแต่เพียงวิญญาณ แต่ก็เป็นพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุด 

 

 

พอต่อยออกไปอย่างสุดกำลัง ถึงกับทำให้หลังมือด้านชา 

 

 

ศิลาโครงกระดูกในทะเลแห่งดวงดาว นับว่าเป็นของที่ไม่เลวเลย….แข็งดีชะมัด 

 

 

แต่ว่าคนอย่างนางตู๋กูซิงหลัน เป็นพวกทึก อึด ทน อยู่แล้ว เรียกว่าสมควรจะมีสมญานามว่าตู๋กูฉุยฉุย (ตู๋กูฆ้อนจอมพลัง) 

 

 

…………………………..