ตอนที่ 640 คนบางคนโลภเป็นนิสัย แม้ตายก็แก้ไม่ได้

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เฮ่อ พออยู่ๆพูดถึง ฉุยฉุย ก็ทำให้นางนึกถึงจีต้าฉุยขึ้นมา 

 

 

ถึงแม้ว่าจีต้าฉุยเป็นเพียงภาคหนึ่งของอาจารย์และเสี่ยวฉวนฉวน แต่ช่วงหนึ่งนางก็เคยมีเขาอยู่ข้างกาย ตู๋กูซิงหลันจึงรู้สึกว่าคิดถึงอยู่บ้าง 

 

 

แต่ว่าหากสามารถกลับลงไปจากแดนสวรรค์ได้อย่างราบรื่น คนที่นางหวังว่าจะได้พบเป็นคนแรก ก็คือเสี่ยวเฉวียนเฉวียน 

 

 

พอคิดเช่นนี้ใจมันก็จะฟูขึ้นมา แม้แต่ยามทุบตีคนก็ยังรู้สึกว่ามีเรี่ยวแรงกว่าเดิม 

 

 

บนหมู่เมฆเบื้องบน ตี้เสียทรงทอดพระเนตรมองดูทุกสิ่งอย่างเงียบๆ ทุกคำพูดทุกความเคลื่อนไหวของตู๋กูซิงหลันล้วนอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา 

 

 

วาจาไร้สาระล้วนไม่จำเป็นต้องพูด มิว่าเรื่องใดก็ชมชอบใช้กำลังเข้าตัดสิน……นี่มันช่างเหมือนกับนาง อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

นางกลับคืนมาจริงๆงั้นหรือ? 

 

 

เขายังคงไม่อาจแน่ใจ เขาจะต้องจับนางมากักขังเอาไว้ข้างกาย ตรวจดูให้แน่ชัด 

 

 

หากว่านางผู้นั้นคือนาง เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด 

 

 

แต่หากว่าไม่ใช่ เบื้องหลังของนางจะต้องมีคนคอยวางแผนการต่อต้านแดนสวรรค์อยู่อย่างแน่นอน เขาจะต้องรวบเอาขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้หมด 

 

 

ฐานะของแดนสวรรค์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดมาโยกคลอนได้ นี่คือขีดจำกัดและบรรทัดฐานของพระองค์ 

 

 

…………… 

 

 

 

 

 

ในตอนนั้นเอง เหล่าเทพธิดาต่างก็แบกเกี้ยวทรงออกมาจากเจดีย์กำราบเทพมารแล้ว 

 

 

ฮว๋ายยู่พิงร่างกับพระอังสะของตี้เสีย พอออกมาก็ได้เห็นตู๋กูซิงหลันทุบทำลายโซ่ตรวนบนร่างของมังกรหยกเหล่านั้น 

 

 

สีพระพักตร์ของนางต้องเขียวคล้ำไปในทันที 

 

 

พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน เดิมทีก็ถือว่าเป็นศูนย์กลางการปกครองของแดนสวรรค์อยู่แล้ว 

 

 

เพราะนางเป็นคนที่ไม่ชอบการหยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง จึงได้ออกความคิดเรื่องการใช้เก้ามังกรลากพระตำหนักขึ้นมา 

 

 

และสิ่งใดที่เป็นความต้องการของนาง ตี้เสียย่อมทรงทำให้อย่างไร้ข้อแม้อยู่แล้ว 

 

 

มังกรทั้งเก้าตัวนั้น เป็นฝีมือของซือเป่ยที่ลงไปยังหกภพภูมิเพื่อตามจับมังกรยักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั่วทั้งสี่ทะเลมาด้วยตนเอง 

 

 

พระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนกว้างใหญ่ถึงเพียงไหน การจะลากมันได้ย่อมต้องใช้พละกำลังมหาศาล 

 

 

แต่เมื่อมีพละกำลังของมังกรทั้งเก้าตัวนี้รวมกัน ก็เพียงพอจะสามารถทำได้ 

 

 

และเมื่อจะต้องล่ามมังกรเหล่านี้เอาไว้ ซือเป่ยถึงกับต้องไปที่ทะเลดวงดาวด้วยตนเอง เพื่อนำศิลาโครงกระดูกที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดกลับมา 

 

 

จากนั้นก็ให้เทพก่อสร้างที่เก่งกาจที่สุดในแดนสวรรค์หลอมสร้างศิลาโครงกระดูกเหล่านี้ให้กลายเป็นโซ่ตรวน 

 

 

ส่วนหยกเขียวที่แสนล้ำค่าเหล่านั้น ก็เพราะว่าเพื่อให้มังกรเหล่านี้ดูแล้วเหมือนเป็นขบวนเดียวกัน เทียนตี้จึงทรงนำหยกเขียวออกมาจากคลังสวรรค์เพื่อประดับเอาไว้บนร่างของพวกมัน 

 

 

หยกเขียวเหล่านี้เป็นหินวิญญาณ ขอเพียงมีขนาดเท่ากำปั้นก็เพียงพอจะทำให่พวกเทพเล็กๆเกิดความก้าวหน้าในการฝึกฝนได้แล้ว หยกเขียวจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ กลับถูกนำมาใช้เป็น ‘เครื่องแต่งกาย’ ต้องถือว่าฟุ่มเฟือยมากจริงๆ 

 

 

แต่เพราะว่ามังกรเหล่านี้ มีหน้าที่ลากพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน ย่อมต้อง ‘สวมใส่’ ให้ดูดีสักหน่อย 

 

 

นับจากนั้นเป็นต้นมา เก้ามังกรลากพระตำหนักก็กลายเป็นจุดชมทิวทัศน์บรรยากาศที่งดงามที่สุดในแดนสวรรค์ไป 

 

 

ฮว๋ายยู่ชอบเวลาที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นทิวทัศน์ที่ไม่ซ้ำกันมากที่สุด 

 

 

ทุกๆวันมีแสงสว่างจากจุดที่ไม่เหมือนกันส่องกระทบโดนใบหน้า ช่างเหมือนกับความรักที่เทียนตี้ทรงมีต่อนางเหลือเกิน อบอุ่นและอ่อนโยน 

 

 

เก้ามังกรลากพระตำหนัก มีมานานถึงหมื่นปีแล้ว 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันทุบทำลายโซ่ตรวนเป็นผุยผง ฮว๋ายยู่ก็รู้สึกเหมือนกับว่า หัวใจของตนเองแตกสลาย 

 

 

เมื่อครู่ตนยังคิดว่าจะปล่อยนางไปสักครั้ง ให้นางได้หลบหนีไป 

 

 

แต่นางกลับไม่รู้จักรักดี ถึงกับทุบทำลายของรักของหวงที่ตนสร้างขึ้นมา? 

 

 

นี่ต้องเรียกว่า แส่หาความตายเอง 

 

 

นางลูบไล้หน้าท้องที่นูนขึ้นมาน้อยๆ ด้วยดวงพักตร์ที่ซีดขาว พลางขยับเข้าไปใกล้ตี้เสียขึ้นไปอีก 

 

 

“เทียนตี้เพคะ หม่อมฉันรู้สึกทรมานใจเหลือเกินเพคะ …. มังกรทั้งเก้าตัวนั้นเป็นเหมือนกับเครื่องหมายของความรักความผูกพันของพระองค์กับหม่อมฉัน แต่ว่าตอนนี้…” 

 

 

ตี้เสียทรงแยกดวงจิตออกไปเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ร่างแท้และดวงจิตหลักของพระองค์ย่อมยังอยู่ที่ข้างกายฮว๋ายยู่ 

 

 

พอพระองค์เหลือบระเนตรมองดู ก็เห็นว่าฮว๋ายยู่ดวงหน้าซีดขาว ทำท่ากำลังทรมานอย่างมาก 

 

 

มือน้อยๆที่แสนบอบบางถึงกับสั่นเทาไปหมดแล้ว 

 

 

ตี้เสียจึงทรงรีบความมือของนางมา จรดไว้บนริมพระโอษฐ์ 

 

 

ทางหนึ่งก็ทรงเป่าลงไป ทางหนึ่งก็นวดคลึงเบาๆ “ฮว๋ายเอ๋อร์ เรื่องเหล่านี้เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป เราย่อมต้องจัดการจนเรียบร้อย สิ่งที่เป็นของเจ้า ย่อมไม่มีทางขาดตกบกพร่องไปได้” 

 

 

ลมหายในอันอบอุ่นเป่าออกมาเบาๆนิ้วมือของนาง หัวใจของฮว๋ายยู่ก็พลอยอบอุ่นไปด้วย 

 

 

ดวงหน้าของนางเป็นสีแดงระเรื่อ พอได้เห็นการแสดงออกของตี้เสียเช่นนี้ หัวใจของนางก็รู้สึกมั่นคงขึ้นกว่าเดิม 

 

 

นางลูบท้องน้อย สายตามองผ่านม่านโปร่งสีแดงออกไปยังตู๋กูซิงหลันที่อยู่ไกลออกไป 

 

 

จริงสินะ นางคงจะกังวลมากเกินไปแล้ว นางมีอะไรจะต้องหวาดกลัวกัน? 

 

 

นางกับตี้เสียเป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี รักใคร่ปรองดองกันมาตลอด ทั้งยังมีธิดาน้อยแล้วหนึ่งคน แถมตอนนี้ในท้องของนางก็ยังตั้งครรภ์บุตรของเขาอยู่ด้วย 

 

 

นาง คือเทียนโฮ่วฮว๋ายยู่ 

 

 

นางมีรูปโฉมอันงดงามไร้ที่เปรียบเปรย มีศักดิ์ฐานะสูงส่งเกินผู้ใด ยังมีบุตรสาวบุตรชายคู่หนึ่ง ทั้งยังมีความผูกพันฉันท์สามีภรรยากับตี้เสียมานานปี 

 

 

ต่อให้สตรีผู้นั้นกลับมาจริงๆ แล้วจะอย่างไร? 

 

 

นางไม่มีทางแย่งทุกสิ่งไปจากข้างกายของตนเองได้ 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตใจของฮว๋ายยู่ก็สงบลง แม้แต่แววตาที่มองดูตู๋กูซิงหลันก็สงบนิ่งไปด้วย 

 

 

นางพิงร่างไปกับตี้เสีย เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่ท่าน” 

 

 

ท่าทางที่เหมือนดั่งนกน้อยที่ต้องการการพึ่งพิงเช่นนี้ ไม่มีบุรุษคนใดปฏิเสธได้ 

 

 

ตี้เสียลูบคลำหน้าท้องของนางด้วยความโปรดปราน ตลอดหลายปีมานี้ ฮว๋ายยู่นุ่มนวลและอ่อนโยนอยู่ตลอด คอยอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ และมีบุตรธิดาให้กับพระองค์ 

 

 

จนพระทัยที่เคยเย็นชาดุจน้ำแข็งของพระองค์ต้องละลายแล้ว 

 

 

เดิมที่พระองค์ทรงคิดว่าทั้งสองจะมีกันและกันเช่นนี้ตลอดไป เดิมทีพระองค์ก็ทรงคิดว่าพระทัยของพระองค์จะเป็นเช่นนั้น 

 

 

แต่ว่าสิ่งที่คิดไว้แต่เดิมทีทั้งหมด กลับเปลี่ยนแปลงไปเพราะการปรากฏตัวของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ภาพของเรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำที่ยังคงแจ่มชัดหมุนวนอยู่ในสมอง 

 

 

ดวงพระทัยที่เคยหลับเงียบอยู่ในส่วนลึก ตอนนี้พลันเต้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่ามันไม่ได้เต้นเพราะฮว๋ายยู่ 

 

 

เรื่องนี้ ตี้เสียทรงทราบพระองค์ดี 

 

 

……………. 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันกำลังซ้อมมวยอยู่ 

 

 

เอ้ยไม่ใช่ นางกำลังต่อยใส่โซ่ศิลาโครงกระดูกทีละเส้นไล่ไปเรื่อยๆ 

 

 

หลังผ่านไปหลายหมัด โซ่ตรวนทั้งหมดก็แตกกระจาย 

 

 

เทพเล็กเทพน้อยที่อยู่รอบๆ “……” 

 

 

พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่พากันถอยหลังไปเงียบๆ 

 

 

เหลือแต่เทพน้อยสามคนนั้นที่ถูกทิ่มแทงเป็นเม่น กำลังคืบคลายอยู่… 

 

 

ใช่แล้ว พวกเขาถูกทิ่มแทงเสียพรุนจนยืนต่อไปไม่ไหว แต่ก็ยังคิดดิ้นรน สามารถคืบคลานได้ก็คืบคลานเอา 

 

 

สภาพที่เอน็จอนาถถึงเพียงนี้ ทำให้แดนสวรรค์ต้องเสียหน้าหมดแล้ว 

 

 

ตี้เสียทรงทอดพระเนตรดู ด้วยแววเนตรที่คมกริบดุจเหยี่ยว 

 

 

ร่างแบ่งที่ซ่อนอยู่ในหมู่เมฆของพระองค์โบกพระหัตถ์ออกไปเบาๆ เทพน้อยทั้งสามคนนั้นก็สลายกลายเป็นขี้เถ้า 

 

 

เทพบางตนที่กำลังคลานอยู่ อยู่ๆก็หายไปเสียเฉยๆ…. 

 

 

แม้กระทั่งเหล่าเทพทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น 

 

 

พวกเขาคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ประมุขมังกรคนใหม่ช่างเก่งอย่างฉกาจฉกรรจ์! 

 

 

ถึงขั้นสังหารเทพ! 

 

 

ต่อให้เป็นเพียงเทพน้อยที่ต่ำต้อยที่สุดก็ตามแต่ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรที่จะต้องมาตายในเงื้อมือของมดปลวกจากโลกเบื้องล่าง 

 

 

อย่าว่าแต่เทพเหล่านั้นเป็นพวกที่พอจะมีศักดิ์ฐานะอยู่บ้าง 

 

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะโกรธแค้น แต่ว่าก็ยังคงไม่กล้าลงมืออยู่เช่นเดิม 

 

 

ในเมื่อคนผู้นั้นสามารถกำจัดเทพทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย ก็ไม่มีใครโง่พอที่จะบุกเข้าไปเสี่ยงด้วยหรอก 

 

 

ไม่มีคนขัดขวางก็ดีแล้ว ตู๋กูซิงหลันจึงลงมือต่อไปไม่มีหยุด 

 

 

พอต่อยโซ่ที่ล่ามเอาไว้จนแตกหมด ก็หันไปหาแผ่นหยกที่ตรึงอยู่บนร่างของมังกรทั้งเก้า 

 

 

ก่อนที่จะขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ที่จริงนางได้ไปหาพี่สาวต๋าจี่มาอีกรอบหนึ่ง หลังชื่นชมความงามของนางไปยกหนึ่ง ก็ขอถุงเฉียนคุนที่มีคุณสมบัติสูงส่งกว่าเดิมมาอย่างหน้าด้านๆ  

 

 

คนบางคนมีความโลภอยู่ในกมลสันดาน หยั่งรากลึกจนถึงตายก็แก้ไม่หาย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันวางแผนในหมากกระดานน้อยมาอย่างละเอียดยิบ 

 

 

กว่าจะขึ้นมาบนแดนสวรรค์ได้สักครั้ง ต้องลำบากแทบตายมิใช่หรือ? 

 

 

กว่าจะทำได้มันไม่ใช่เรื่อยง่ายๆนะ! 

 

 

จะให้แค่ตามหายารักษาพี่รองกลับไปได้อย่างไร จริงไหม? 

 

 

………………..