ตอนที่ 641 คำสาบานอันดุเดือด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หากมีภูเขาเงินภูเขาทอง เหมืองหยก หินวิญญาณอะไรทั้งหลายที่ขนไปได้ ก็สมควรขนกลับไปให้หมดมิใช่หรือ? 

 

 

ไหนๆ หยกวิญญาณเหล่านี้นางทุบแตกหมดแล้ว ก็อย่าได้ปล่อยให้เสียเปล่าเลย 

 

 

เห็นเงาร่างของนางเหาะขึ้นไปยืนอยู่เหนือศีรษะของมังกรทั้งเก้าตัว มือข้างหนึ่งกุมคฑาสีดำทะมึนเอาไว้ มืออีกข้างก็กุมเป็นหมัด 

 

 

พริบตาเดียว พลังทั่วทั้งร่างก็มารวมกันอยู่บนหมัดของนาง 

 

 

พลังวิญญาณที่มีสีแดงสลับดำ ปะทุขึ้นมาดุจบุปผาเพลิงที่สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน จากนั้นก็กระแทกลงไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด 

 

 

หินหยกเหล่านั้นมิได้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าศิลาโครงกระดูกอยู่แล้ว เพียงแต่คุณสมบัติของพวกมันสามารถสะสมพลังวิญญาณได้อย่างดีเยี่ยม 

 

 

แม้ว่าคฑาไม้ที่ดำทะมึนด้ามนี้จะเป็นศาสตราสุดโกง แต่ว่าโดยมากมันก็ทำได้แค่ดูดซับพลังวิญญาณของศัตรูมาใช้เท่านั้น 

 

 

นางจำเป็นจะต้องนำหินวิญญาณเหล่านี้กลับไป 

 

 

ส่งมอบครึ่งหนึ่งให้พี่สาวต๋าจี่ ถือเป็นของชดเชยที่เสี่ยวเฉวียนเฉวียนและอาจารย์ดูดซับพลังในสวนดอกไม้ของนางไป 

 

 

เหล่าเทพที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง เห็นนางต่อยลงไป หินหยกวิญญาณเหล่านั้นก็แตกออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นนางก็เก็บหินหยกทั้งหมดเข้าไปในถุงเฉียนคุนอย่างรวดเร็ว 

 

 

พื้นที่ในถุงเฉียนคุนของพี่สาวต๋าจี่มีอยู่อย่างมหาศาล สามารถบรรจุหุบเขาหมื่นปีศาจได้เกินกว่าครึ่งเสียอีก 

 

 

แค่บรรจุหยกวิญญาณเหล่านี้จึงไม่ถือว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด 

 

 

เหล่าเทพ “……” คิดจะหอบเอาหยกวิญญาณเหล่านี้กลับไปรึ นางไปเอาความกล้าเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? 

 

 

นี่มันยิ่งทียิ่งเกินไปแล้วนะ! 

 

 

และที่เกินไปกว่านั้นอีกคือ ตู๋กูซิงหลันถึงกับกวาดเอาศิลาโครงกระดูกที่กระจายอยู่รอบๆใส่ถุงไปด้วย 

 

 

ถึงแม้ว่าพวกมันจะแตกหักหมดแล้ว แต่ว่ายังสามารถนำกลับไปทำเป็นกริชเล่มเล็กได้อยู่ 

 

 

ของสิ่งนี้ยังแข็งแกร่งกว่าศิลาทองคำดำของเผ่าอาปู้ไซมากนัก หากนำกลับไปให้กองทัพของตระกูลตู๋กูทำเป็นอาวุธ เกรงว่าต่อไปก็คงจะไม่มีศัตรูหน้าไหนกล้ามาหาเรื่องอีกแล้ว 

 

 

แต่ไหนแต่ไรตู๋กูซิงหลันก็มีนิสัยจำพวกกล้าคิดกล้าทำอยู่แล้ว 

 

 

เหล่าเทพได้แต่มองดูนางกอบโกยอย่างสุดชีวิต….. 

 

 

ต่อให้นางเป็นถึงประมุขมังกรจากโลกเบื้องล่างที่มีฝีมือสูงส่ง แต่ว่าพฤติกรรมที่หนักหนาถึงเพียงนี้ก็น่าเกลียดเกินไปแล้ว 

 

 

นางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วยังคิดจะกอบโกยทรัพย์สินหนีไปอีก ทำตัวเป็นเหมือนคนที่ไม่เคยเห็นโลกอันยิ่งใหญ่มากก่อน หากว่าเจ้าเก่งจริง ก็จงหอบเอาตำหนักสักหลังในแดนสวรรค์กลับไปด้วยเสียเลยสิ! 

 

 

นับตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นตำหนักในแดนสวรรค์ ตู๋กูซิงหลันก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งจะกวาดมันไปทั้งหมดให้เกลี้ยงเกลาอยู่แล้ว 

 

 

วิสัยทัศน์ของนางย่อมต้องยาวไกลอยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางพอแค่ตำหนักหลังเดียวหรอก 

 

 

เมื่อหินหยกวิญญาณแตกออก มังกรยักษ์ทั้งเก้าตัวก็คืนสู่อิสระภาพดังเดิม 

 

 

พวกมันต่างก็ร้องคำรามออกมา ส่ายตัวสะบัดเอาหินหยกวิญญาณบนร่างออกไป พวกมันทะยานขึ้นไปบนก้อนเมฆ จากนั้นก็พุ่งกลับลงมา วนเวียนอยู่รอบกายของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ใช้ภาษาเฉพาะตัวของเผ่ามังกรเอ่ยขอบคุณตู๋กูซิงหลัน 

 

 

พอปลดหินหยกวิญญาณที่ติดตรึงอยู่บนเกล็ดออกไป ถึงได้มองเห็นว่ามังกรยักษ์แต่ละตัวล้วนผิวเนื้อถลอกปอกเปิก 

 

 

แม้แต่น้ำยังสามารถเซาะหินจนแตกออก แล้วประสาอะไรกับแส้จากแดนสวรรค์ 

 

 

บาดแผลที่บาดลึกและยาวแต่ละเส้น ช่างบาดตาและปวดใจ 

 

 

ทำเอาตู๋กูซิงหลันเห็นแล้วต้องรู้สึกสงสารจับใจ 

 

 

“จงติดตามข้า หากว่าวันนี้สามารถรอดไปได้ นับจากวันนี้ไปพวกเจ้าก็จะเป็นอิสระแล้ว” 

 

 

ในเมื่อตู๋กูซิงหลันปลดปล่อยพวกมันออกมาแล้ว ย่อมไม่คิดจะทิ้งพวกมันเอาไว้บนแดนสวรรค์อย่างแน่นอน 

 

 

เยี่ยเฉินที่ดูอยู่ด้านข้าง อยู่ๆก็รู้สึกขึ้นมาว่าน้องสาวผู้นี้มิได้น่ารังเกียจเหมือนดั่งแต่ก่อนแล้ว 

 

 

“เป็นท่านเจ้าวังที่มอบอิสระแก่พวกข้าทั้งหลาย จากวันนี้เป็นต้นไปชีวิตนี้เป็นของท่านเจ้าวังแต่เพียงผู้เดียว” 

 

 

มังกรยักษ์ทั้งเก้าตัวว่ายวนอยู่รอบกายนาง แววตาของพวกมันเปี่ยมไปด้วยความเคารพและ….ความหวัง 

 

 

พวกมันถูกทรมานอย่างทารุนบนแดนสวรรค์มาตั้งเนิ่นนาน แม้แต่ความกล้าหาญที่จะใช้ชีวิตก็ดับมอดไปแล้ว 

 

 

ความภาคภูมิใจในฐานะเผ่ามังกรล้วนถูกเทพในแดนสวรรค์เหยียบย่ำไปจนหมดสิ้น 

 

 

ดังนั้นความคิดที่จะต่อต้านจึงถูกเลือดที่ไหลรินออกมาทุกวันทุกคืนนับเดือนนับปีล้างทิ้งไปจนหมดแล้ว 

 

 

จนพวกมันสูญเสียหัวใจที่ฮึกเหิมของเผ่ามังกรไปหมดแล้ว 

 

 

แต่ว่าตอนนี้เมื่อตู๋กูซิงหลันปรากฏตัวขึ้นมา นับตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นนาง แววตาของพวกมันก็ปรากฏความหวังขึ้นอีกครั้ง 

 

 

แต่ตอนนี้ก้ยิ่งเห็นชัดแล้วว่า พวกมันมิได้ตาฝาดไป 

 

 

มังกรทั้งเก้าตนต่างก็ตัดสินใจแล้วว่า วันนี้ต่อให้ต้องสิ้นชีวิต ก็จะต้องส่งตู๋กูซิงหลันออกไปจากแดนสวรรค์ให้จงได้ 

 

 

พวกมันต้องการให้นางมีชีวิตรอด! 

 

 

ให้ครั้งหน้าที่นางมาเยือนแดนสวรรค์ จะต้องกลับมาอย่างพรั่งพร้อมและยิ่งใหญ่เกรียงไกร ได้รับชัยชนะอย่างไร้ต้าน และอยู่ยงคงกระพันไปตลอดกาล! 

 

 

ต่อให้พวกมันจะต้องตาย ก็จะต้องรักษาจิตมังกรเฮือกสุดท้ายให้คงอยู่ต่อไป 

 

 

จนกว่าจะได้เห็นเหล่าเทพในแดนสวรรค์คุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าของนาง ด้วยความสำนึกผิดต่อบาปกรรมที่พวกเขาได้กระทำต่อทุกชีวิตในหกภพภูมิเอาไว้! 

 

 

พวกมันเชื่อว่า นางจะต้องทำได้อย่างแน่นอน! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมีสายเลือดมังกรทมิฬเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จึงไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกในจิตใจของพวกมันได้ 

 

 

แต่ว่าเยี่ยเฉินนั้นไม่เหมือนกัน เยี่ยเฉินนั้นเป็นสายเลือดของเผ่ามังกรแท้ๆ ย่อมมีสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของระหว่างเผ่ามังกรด้วยกันได้ 

 

 

ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบิดาถึงได้เลือกนางให้เป็นประมุขมังกรคนต่อไป 

 

 

แม้ว่าเขาจะเป็นไท่จื่อของเผ่ามังกรทมิฬมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่เคยได้รับการขานรับจากคนในเผ่าพันธุ์อย่างสะท้านสะเทือนเช่นนาง 

 

 

ที่จริงแล้ว เสียงขานรับอันกึกก้องนี้ ทำให้เลือดในกายของเยี่ยเฉินพลอยเดือดพล่านขึ้นมา เสียด้วยซ้ำ 

 

 

ชั่วขณะหนึ่ง เขาถึงกับบังเกิดความคิดที่จะยอมรับตู๋กูซิงหลันเป็นนายขึ้นมา 

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะมีสายเลือดของแดนสวรรค์อยู่เพียงครึ่งเดียว แต่ว่าสายเลือดของตระกูลมารดาเขาก็คือสายเลือดของเผ่ามังกร 

 

 

ครั้งหนึ่ง เผ่ามังกรก็เคยมีส่วนในการครอบครองแดนสวรรค์เช่นกัน แต่ว่าสุดท้ายแล้วเพราะเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง กลับทำให้ทั้งเผ่าดับสูญ 

 

 

ที่เยี่ยเฉินมีความรู้สึกอยากประกาศศักดิ์ดาในแดนสวรรค์ ก็เพราะจิตสำนึกที่เห็นพ้องต้องกันเช่นเดียวกับมังกรตัวอื่นๆ ที่ไหลเวียนอยู่สายเลือดสายเลือดของเผ่ามังกรนั่นเอง 

 

 

หากว่า…..มีสักวันที่ตู๋กูซิงหลันสามารถเหยียบย่ำเหล่าเทพบนแดนสวรรค์เอาไว้ใต้ฝ่าเท้า นำเกียรติยศและทุกสิ่งที่เป็นของเผ่ามังกรกลับคืนมา  

 

 

เขาก็ยินดีที่จะคุกเข่าลงเรียกนางเป็นบรรพชน ทั้งยังยินดีจะก้มลงโขกศีรษะขออภัยต่อนาง 

 

 

ขออภัยต่อนางแทนมารดาของตน และขออภัยต่อตู๋กูชิงชิงมารดาของตู๋กูซิงหลันด้วย 

 

 

ตอนนั้น….หลังจากที่เขาเอาชีวิตรอดมาจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ใต้ก้นทะเลลึกและขึ้นมาบนแดนสวรรค์ได้นั้น ก็เพราะมารดาได้ใช้จิตมังกรสุดท้ายเข้าแลก จึงสามารถวอนขอซือเป่ยให้มอบทางรอดสายหนึ่งให้กับเขา 

 

 

สำหรับตัวเขาแล้ว ซือเป่ยจึงมิต่างอะไรกับฆาตกรที่ฆ่ามารดาของเขาเลย 

 

 

ท้องฟ้าบนแดนสวรรค์มืดไปนานแล้ว ดวงดาวทอแสงวับวาวอยู่ตามจุดต่างๆในแดนสวรรค์ 

 

 

ทุกครั้งที่ความมืดมาเยือน จะสามารถมองเห็นว่าพลังวิญญาณของดวงดาวต่างๆกำลังถูกแดนสวรรค์ดูดซับเอาไว้ 

 

 

แต่ว่าในยามนี้ ผู้ที่ทอแสงระยิบระยับวับวาวยิ่งกว่าดวงดาวและพลังวิญญาณเหล่านั้น ก็คือสาวน้อยที่ถูกมังกรทั้งเก้าตัวรายล้อมเอาไว้ 

 

 

นางยืนอยู่ท่ามกลางมังกรทั้งเก้า มองดูท่าทางที่ฮึกเหิมไปด้วยเลือดที่ร้อนระอุของพวกมัน ก็ต้องคลี่ยิ้มออกมา 

 

 

“จงมีชีวิตต่อไป พวกเจ้าจะต้องมีชีวิตเพื่อตนเอง ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียม พวกเจ้าไม่จำเป็นจะต้องยึดติดอยู่กับข้า” 

 

 

คำพูดนี้ แม้แต่เหล่าเทพทั้งหลายก็ได้ยินโดยทั่วหน้ากัน 

 

 

ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียม มีชีวิตเพื่อตนเองกระนั้นหรือ? 

 

 

นางกำลังพูดเรื่องตลกอะไรกัน! 

 

 

ทุกชีวิตในหกภพภูมินี้ นับตั้งแต่ที่กำเนิดขึ้นมา ก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าไม่มีความเท่าเทียม! 

 

 

มีบางคนเกิดมาสูงส่ง มีบางคนเกิดมาต่ำต้อย มีบางเผ่าพันธุ์ที่ถูกกดขี่ข่มเองตลอดชั่วกัลป์ชั่วกาล 

 

 

มีอิสระเท่าเทียมคือสิ่งใด? มีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ 

 

 

จิตวิญญาณที่แยกออกไปของตี้เสียกลับคืนสู่ร่างแท้ของพระองค์ 

 

 

ดวงเนตรสีทองทั้งสองของพระองค์ยังคงจับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันจากภายในเกี้ยวทรงอย่างเงียบๆ 

 

 

คำพูดนี้ พระองค์เคยได้ยินนางพูดมาก่อน 

 

 

นางเชื่อว่า : ทุกชีวิตล้วนเท่าเทียม ต่างมีอิสระในตนเอง เทพก็คือเทพ สมควรมีเมตตาปราณี 

 

 

………………………….