ตอนที่ 849 ต้นกำเนิดของสมรภูมิรบเดนตาย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเวลานี้ คำสาปของเมืองอู๋เริ่นถูกลบล้างไปได้สำเร็จ ประชากรทั่วทั้งเมืองได้มีโอกาสไปผุดไปเกิดอีกครั้งและทั้งเมืองอู๋เริ่นก็สลายหายไปเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนั้น ณ มิติพิเศษแห่งหนึ่ง จู่ ๆ สตรีที่สวมผ้าคลุมบดบังใบหน้าคนหนึ่งก็กระอักเลือดคำโตออกมา

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ? เหตุใดอาคมที่ข้าวางไว้จึงถูกทำลายไป ?!”

นางเช็ดรอยเลือดจากมุมปากของตนและกล่าวด้วยแววตาสับสนเกินบรรยาย

“หรือว่าเขาจะกลับมาแล้ว ?”

นางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ อีกครั้งก่อนทั้งร่างจะหายวับไปในอากาศอย่างรวดเร็ว…

ในอีกฟากหนึ่ง ณ ดินแดนที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกครอบคลุม บุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนั่งทำสมาธิก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ในที่สุดเขาก็กลับมา !”

.…

ภายในสมรภูมิรบเดนตาย เวลานี้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เดินทางออกไปจากจุดเดิมของเมืองอู๋เริ่นและมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

เมื่อมองสังเกตจากระยะไกล ทั้งสองก็มองเห็นภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งอยู่ในทางทิศตะวันตก ทั้งสองจึงตัดสินใจไปที่นั่นด้วยหวังว่าอาจได้พบกับจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมการคัดเลือกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางไปที่นั่น ทั้งสองก็ยังไม่พบเบาะแสของผู้ใดเช่นเดิม สมรภูมิรบเดนตายกว้างใหญ่ยิ่งนัก นอกเหนือจากเมิ่งเยี่ยและคณะศิษย์ตระกูลจางที่พบกันก่อนหน้านี้ ไม่อาจคาดเดาเลยว่าคนอื่น ๆ จะถูกส่งไปปรากฏตัวที่จุดใด เพราะฉะนั้นแล้วการตามหากันให้พบจึงมิใช่เรื่องง่ายนัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหานโม่ฉืออยู่ข้างกาย ฉินอวี้โม่ก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย

ทั้งสองจับมือกับแนบแน่นและพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ กันตลอดทาง

“นับตั้งแต่ที่เรามาถึงที่ดินแดนนี้ เวลาก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว ไม่รู้ว่าอ้ายฉือกับอ้ายโม่จะคิดถึงพวกเราบ้างรึไม่ ?”

แววตาของฉินอวี้โม่แสดงถึงความคำนึงหาอย่างไม่อาจปกปิด มีเพียงต่อหน้าหานโม่ฉือผู้นี้เท่านั้นที่นางจะไม่วางท่าองอาจกล้าหาญและเปิดเผยความบอบบางที่เป็นธรรมชาติของสตรีออกไป

“ไม่ต้องห่วง ท่านตาและคนอื่น ๆ จะดูแลทั้งสองเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีจิ้งหงและชิงเฉิงอีก เจ้าหนูทั้งสองก็ฉลาดมาก อย่ากังวลมากเกินไปเลย”

หานโม่ฉือเขย่ามือบางของฉินอวี้โม่เล็กน้อย เขาเองก็คิดถึงบุตรน้อยทั้งสองอย่างมากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือทราบดีว่าการแยกจากกันเพียงสั้น ๆ นี้จำต้องเกิดขึ้นเพื่อการรวมตัวที่ยาวนานยิ่งกว่า

การให้บุตรทั้งสองอยู่ในดินแดนเทพมายาและอยู่ในการดูแลของญาติสนิทมิตรสหายที่ไว้วางใจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่ามาก และอีกไม่นานสมาชิกทุกคนในครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง

“ท่านแม่ของข้าอาจจะไม่อยู่ในนิกายหมื่นบุปผา แต่เราก็ยังต้องตามหาเบาะแสของนาง เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปที่นั่นให้จงได้”

ฉินอวี้โม่ปล่อยวางความคิดเดิมไว้และเริ่มกล่าวถึงสิ่งที่ต้องทำในปัจจุบัน

“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”

แม้เป็นเพียงประโยคสั้น ๆ ทว่าเมื่อรวมเข้ากับความรักความห่วงใยที่ถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงของหานโม่ฉือ มันก็ทำให้ฉินอวี้โม่อบอุ่นใจอย่างที่สุด

“ท่านพ่อตาน่าจะอยู่ในเมืองเทียนยงและเราจะได้พบเขาหลังผ่านการคัดเลือกนี้อย่างแน่นอน ส่วนศิษย์พี่ของเจ้าและสหายคนอื่น ๆ เราอาจได้พบกันในสมรภูมิรบเดนตายนี้”

ก่อนหน้านี้หานโม่ฉือได้สืบหาเบาะแสของคนอื่น ๆ แล้วและคาดเดาว่าฉินเทียนซึ่งไม่เข้าร่วมการคัดเลือกน่าจะเดินทางไปที่เมืองเทียนยงเช่นกัน ส่วนฉินเฟิงและสหายคนอื่น ๆ นั้น พวกเขาจะต้องหาทางเข้าร่วมการคัดเลือกนี้อย่างแน่นอน

บางทีทั้งสองอาจได้พบคนเหล่านั้นในมิติพิเศษแห่งนี้ก็เป็นได้

“ท่านพ่อ ศิษย์พี่และคนอื่น ๆ ล้วนมีฝีมือและเอาตัวรอดได้ เราไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป”

ฉินอวี้โม่ไม่กังวลเกี่ยวกับคนอื่น ๆ มากจนเกินไป ความแข็งแกร่งของฉินเทียนและทุกคนล้วนอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายา ไม่ว่าไปอยู่ที่ใด พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน

สำหรับศิษย์พี่อย่างฉินเฟิง เขาก็มีความสามารถและพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน อีกทั้งด้วยลักษณะนิสัยที่ตรงไปตรงมาและจริงใจของเขา เชื่อว่าคนมากมายจะต้องพยายามผูกมิตรกับเขาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มีปัญญาที่ชาญฉลาดยิ่งนัก หากเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้จริง เขาจะเอาตัวรอดได้อย่างง่ายดาย

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็พูดคุยกันขณะเดินทางต่อไป และเวลาห้าวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากเดินทางมายาวนานถึงห้าวัน ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงเชิงเขาที่เป็นจุดหมายของพวกตน

เมื่อมองสำรวจออกไป ทั้งสองก็พบว่าภูเขาตรงหน้านี้มีความสูงมากกว่าที่คิดเสียอีกและสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความยิ่งใหญ่และความทรงพลังบางอย่างจากเชิงเขานี้

ภูเขาลูกนี้สูงตระหง่านจนยอดของมันแทงทะลุผ่านเมฆหมอกเบื้องบนและตรงหน้าของพวกนางก็มีทางเดินที่ทอดยาวขึ้นไปถึงยอดเขา นอกเหนือจากต้นไม้หนาทึบมากมายรอบตัว ภูเขาแห่งนี้ก็ยังมีพลังมายาที่หนาแน่นอย่างที่สุด

ภูเขาลูกนี้ต่างจากที่อื่น ๆ ในสมรภูมิรบเดนตายเนื่องจากพลังมายาที่เอ่อล้นอยู่รอบ ๆ ทั้งบริสุทธิ์และหนาแน่นเป็นอย่างมาก เพราะเหตุนั้นฉินอวี้โม่จึงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเป็นพิเศษ

“เนตรปีศาจ ในเมื่อเจ้าอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้มานาน เจ้าทราบข้อมูลเกี่ยวกับมันมากเพียงใด ?”

ก่อนหน้านี้เนตรปีศาจทำลายอาคมที่ล้อมรอบเมืองอู๋เริ่นและสูญเสียพลังงานไปมาก มันจึงต้องพักฟื้นเป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน มันก็ลืมตาตื่นขึ้นมา

ในเวลานี้มันลอยตัวอยู่กลางอากาศตรงหน้าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ

“นายหญิง ภูเขาตรงหน้าเราคือ ‘ภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ กล่าวกันว่าภูเขาลูกนี้เคยเป็นที่อยู่ของจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าซึ่งมีพลังที่เย้ยฟ้าท้าดินและมันเต็มไปด้วยพลังมายาที่หนาแน่น นอกจากนี้ก็ยังมีสมุนไพรและอสูรมายาอีกมากมาย เมื่อหลายพันปีก่อน ภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เคยเป็นที่นิยมชมชอบของจอมยุทธ์มากมาย”

เนตรปีศาจมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของสมรภูมิรบเดนตายพอสมควร แม้ว่ามันจะเก็บตัวอยู่ใต้ดินของเมืองอู๋เริ่นอยู่ตลอดเวลา ทว่าพลังวิญญาณของมันก็ออกสำรวจไปทั่วดินแดนอยู่เป็นประจำ

“สมรภูมิรบเดนตายถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้มากที่สุด สมรภูมิรบแห่งนี้มิใช่มิติที่สองอย่างแน่นอน มันเป็นเหมือนดินแดนหนึ่งที่มีกฎแห่งชีวิตเป็นของมันเองซึ่งแตกต่างจากคฤหาสน์เฟิงหัวอย่างมาก

“เมื่อหลายพันปีก่อนเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพและปีศาจ และการต่อสู้ชี้ชะตาก็เกิดขึ้นที่เชิงเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี้ ตำนานกล่าวกันว่าผู้แกร่งกล้าที่สุดในภูเขาลูกนี้สังหารสมาชิกของโลกปีศาจไปมากก่อนร่วมมือกับผู้แกร่งกล้าคนอื่น ๆ เพื่อสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ต่อโลกปีศาจ บรรดาสมาชิกของโลกปีศาจต่างก็มีความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุที่ไม่คาดคิด ผู้แกร่งกล้าผู้นั้นจึงสร้างสมรภูมิรบเดนตายขึ้นมาเพื่อปิดผนึกสมาชิกของโลกปีศาจไว้ และแน่นอนว่านั่นรวมถึงตัวข้าด้วย”

เนตรปีศาจนึกย้อนไปถึงสงครามในตอนนั้นและยังรู้สึกหวาดผวาไม่เปลี่ยนแปลง สงครามครานั้นเรียกได้ว่าสั่นคลอนไปทั่วทั้งสามภพซึ่งทั้งฝ่ายเทพและปีศาจต่างก็เผชิญกับความสูญเสียอย่างมากไม่ต่างกัน

อย่างไรก็ตาม สมรภูมิรบเดนตายในตอนแรกก็แตกต่างจากปัจจุบันนี้อย่างสิ้นเชิง

เดิมทีสมรภูมิรบเดนตายถูกครอบงำโดยพลังงานปีศาจที่หนาแน่นและจอมยุทธ์ทั่ว ๆ ไปไม่สามารถเอาตัวรอดอยู่ที่นี่ได้

ทว่าหลังจากเวลาผ่านมาหลายพันปี พลังงานปีศาจเหล่านั้นก็ค่อย ๆ เจือจางลงและกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้

อสูรมายาส่วนใหญ่ในสมรภูมิรบเดนตายดูดซับพลังงานปีศาจเข้าไปมากจนเกินไปส่งผลให้พวกมันสูญเสียสติในควบคุมตัวเองและไม่สามารถจำแลงร่างมนุษย์ได้อีก

ในป่าทึบที่ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้ ต้นไม้ทั้งหมดรอบตัวก็ถูกครอบงำไปด้วยพลังงานปีศาจซึ่งทำให้พวกมันตกอยู่ในสภาพที่ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม สำหรับภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ อาจเป็นเพราะห้วงจิตของผู้แกร่งกล้าที่ยังคงหลงเหลืออยู่ มันจึงรักษาพลังงานบริสุทธิ์เอาไว้ได้แม้ผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม

สิ่งที่เนตรปีศาจกล่าวมาล้วนเป็นความจริง ทว่ายังมีบางอย่างที่มันปิดบังไว้เช่นกัน หากหานโม่ฉือใช่ ‘คนผู้นั้น’ อย่างที่มันคิดไว้จริง เขาก็ควรจะเข้าร่วมสงครามครั้งใหญ่ในครานั้นเช่นกัน

และสำหรับฉินอวี้โม่ผู้นี้ หลังจากได้ติดตามมาด้วยกันหลายวัน เนตรปีศาจก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้วทว่ายังต้องยืนยันให้แน่ชัดต่อไป

“นายท่าน นายหญิง สมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ยังมีปริศนาลึกลับซ่อนอยู่อีกมากนัก บางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องที่แม้แต่ข้าเองก็มิอาจรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก่อนหน้านี้เป็นไปไม่ได้เลยที่ปีศาจอย่างข้าจะเข้าไปใกล้มันได้ เพราะเหตุนั้นข้าจึงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ท่านทั้งสองจะต้องระวังตัวเป็นอย่างดี”

เนตรปีศาจกล่าวเตือนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือด้วยความจริงใจ มันไม่ทราบเลยว่าบนภูเขาสูงตระหง่านแห่งนี้จะมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังใดอยู่หรือไม่

“เอาล่ะ เราเข้าใจแล้ว”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ นางสังหรณ์ใจว่าสมรภูมิรบโบราณที่เคยเห็นในเมืองเทียนหยวนก่อนหน้านี้มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับสมรภูมิรบเดนตาย…

ก่อนที่จะได้คิดไตร่ตรองหรือหาคำตอบใดต่อไป เสียงของการต่อสู้จากบนภูเขาก็ดังขึ้นดึงดูดความสนใจของทั้งสอง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ไม่รอช้าและรีบมุ่งหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว