หลังจากเด็กหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เมื่อโม่จิ่นมองไปนั้นก็ถึงกับตะลึงค้าง
เฟิงอวิ๋นซิวนั้นไม่เคยพบมู่เฉียนซีในสภาพตอนที่แต่งกายเป็นชาย อีกทั้งเขายังใช้เวลาทำความรู้จักกับมู่เฉียนซีได้ไม่นานพอ แน่นอนว่าเขาจึงคาดไม่ถึง
แต่โม่จิ่นนั้นติดตามนางมาเป็นระยะเวลายาวนานเช่นนั้น แถมเขายังเคยเห็นมู่เฉียนซีแต่งกายเป็นชายมาก่อน
ถึงต่อให้เปลี่ยนผิวหนังไปแล้ว เขาก็ยังคิดว่าคนผู้นี้คือนายท่านอย่างแน่นอน
อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีก็ได้เป็นนักปรุงยาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ นอกจากนายท่านของเขาแล้วยังจะมีผู้อื่นได้อีกหรือ?
โม่จิ่นคิดที่จะพุ่งเข้าไปแต่กลับถูกมู่เฉียนซีใช้สายตาหยุดยั้งเอาไว้
เจ้าทำงานของเจ้าไป!
โม่จิ่นรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง ก็ได้! นายท่านก็มีแผนของนายท่าน ที่สำคัญตอนนี้ยังไม่เหมาะที่พวกเขาจะแสดงออกว่ารู้จักกัน
งานประมูลกำลังใกล้ที่จะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจที่จะเสียเวลาได้อีกต่อไป และรีบไปยังโรงประมูลราชสำนัก
การประมูลในวันนี้เงียบเชียบกว่าเมื่อวานนี้ไม่น้อย
เพราะจุดประสงค์เดียวของการเข้าร่วมการประมูลในวันนี้ก็คือแผ่นเหล็กที่ซ่อนเบาะแสของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เอาไว้แผ่นนั้น
มีคนมาร่วมไม่มากนัก แต่ทว่าพลังความสามารถและกำลังทรัพย์ของพวกเขานั้นมิได้อ่อนด้อยเลย
ผู้อาวุโสหลิงกล่าว “ส่งมอบยาหัวใจมหาจักรพรรดิออกมา ข้าจะจำแนกดูด้วยตัวข้าเอง ผู้ที่มียาหัวใจมหาจักรพรรดิที่คุณภาพดีที่สุดในตอนสุดท้ายจะสามารถรับแผ่นเหล็กนั้นไปได้”
หลังจากที่ผู้อาวุโสหลิงได้รับเอายาหัวใจมหาจักรพรรดิทั้งหมดไปเขาก็ได้ไปทำการตรวจสอบมัน รออยู่ระยะเวลาหนึ่งผู้อาวุโสหลิงก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เหมือนกับว่าเขาจะถูกอะไรบางอย่างกระตุ้นก็มิปาน
สำหรับผลลัพธ์นั้นโม่จิ่นไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ยาของนายท่านของพวกเขานั้นจะต้องมีคุณภาพที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสหลิงมองไปทางเหล่ากลุ่มผู้คนแล้วกล่าว “ในชีวิตข้านี้ยังไม่เคยเจอยาหัวใจมหาจักรพรรดิที่บริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนเช่นนี้มาก่อน ทั้งความสำเร็จและคุณสมบัติของนักปรุงยาผู้นั้นได้ล้ำหน้าข้าไปไกลมากนัก ช่างน่านับถือจริง ๆ”
มันเกินจริงไปขนาดนี้เลยหรือ?
ทุกคนล้วนไม่อยากที่จะเชื่อ ผู้อาวุโสหลิงเป็นใคร? บุคคลอันดับหนึ่งในเมืองโอสถและโลกแห่งโอสถ กลับมีผู้ที่ทำให้เขาเลื่อมใสได้ถึงขนาดนี้
และผู้ที่สกัดยาเม็ดนี้ออกมาจะเป็นผู้ใดกัน?
ไม่นานนักผู้อาวุโสหลิงก็ได้เฉลยออกมา
เขามองไปยังเฟิงอวิ๋นซิวแล้วกล่าว “นายน้อยอวิ๋นซิวพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่านักปรุงยาผู้นั้นเป็นใคร? ข้าอยากที่จะขอคำแนะนำจากเขาให้ดี!”
“ตามที่ข้ารู้มา ถึงแม้นักปรุงยาอันดับหนึ่งของตำหนักตงจี๋จะมีระดับขั้นที่สูง แต่ก็ไม่สามารถจะทำให้ยานั้นออกมาได้บริสุทธิ์ถึงขั้นนี้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เรื่องนี้ผู้อาวุโสหลิงอย่าได้ซักถามอะไรมากมายเลย! ท่านบอกข้ามาเถอะว่าเหล็กแผ่นนั้นเป็นของพวกเราใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสหลิงกล่าวขึ้นอย่างโกรธกริ้ว “เจ้าหนูนี่ช่างไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่มากเกินไปแล้ว บอกข้าแล้วมันจะเป็นอะไรเล่า? ข้าจะกินนักปรุงยาผู้นั้นเข้าไปหรือไร?”
ไม้ที่เด่นสง่ากว่าผืนป่าจะถูกทำลายสิ้น สำหรับผู้ที่เป็นอัจฉริยะแห่งโลกทั้งสี่ทิศ ชื่อเสียงของเขาโด่งดังเป็นอย่างมาก จึงเข้าใจเหตุผลนี้เป็นอย่างดี
สามารถทำให้ผู้อาวุโสหลิงที่มองว่าตนเองสูงส่งมาโดยตลอดตกตะลึงเช่นนี้ได้ พรสวรรค์ของนักปรุงยานี้ช่างน่าตกตะลึงเสียจริง ในขณะเดียวกันกับการที่ได้รับความเคารพจากผู้คน มันก็แฝงไปด้วยความอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเบื้องหลังของนางจะมีผู้คอยสนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่ แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดคิดได้!
มู่เฉียนซียิ้มออกมา เฟิงอวิ๋นซิวนั้นไม่อยากที่จะให้นางเปิดเผยตัว
มู่เฉียนซีกล่าว “ผู้อาวุโสหลิงท่านกล่าวมาตรง ๆ เถอะ! ในเมื่อท่านแน่ใจแล้วว่ายาเม็ดของอวิ๋นซิวนั้นดีที่สุด เช่นนั้นแผ่นเหล็กนั่นก็เป็นของพวกเราใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสหลิงกล่าว “แน่นอน พวกเราโรงประมูลราชสำนักพูดแล้วไม่เคยคืนคำ”
กล่องไม้กล่องหนึ่งได้ถูกส่งมาที่ด้านหน้าของเฟิงอวิ๋นซิว
ผู้อื่นนั้นไม่ประสบความสำเร็จในการประมูลแข่งขัน ยาหัวใจมหาจักรพรรดิของพวกเขาได้ถูกส่งกลับคืนไป
ผู้อาวุโสหลิงยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เขากล่าวถามขึ้น “นายน้อยอวิ๋น เจ้าคงไม่รีบกลับไปยังตำหนักตงจี๋หรอกกระมัง?”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “แน่นอนว่าไม่รีบ!”
ผู้อาวุโสหลิงยิ้มแล้วกล่าว “เช่นนั้นข้าจะบอกข่าวดีข่าวหนึ่งแก่เจ้า อีกเจ็ดวันให้หลังเมืองโอสถจะจัดงานชุมนุมใต้ดินเพื่อแลกเปลี่ยนกันเรื่องสมุนไพรวิญญาณ คาดว่านักปรุงยาที่สกัดยาหัวใจมหาจักรพรรดิผู้นั้นของเจ้าจะต้องสนใจเป็นอย่างมากแน่”
“รบกวนเจ้าช่วยไปบอกต่อให้เขาด้วย”
ผู้อาวุโสหลิงไม่รู้ว่านักปรุงยาผู้ที่เขาอยากจะหาตัวให้พบนั้นได้ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เพิ่งจะอายุได้สิบเจ็ดปี ซึ่งเป็นคนรุ่นหนุ่มอย่างที่สุด และไม่จำเป็นที่จะต้องให้เฟิงอวิ๋นซิวไปบอกต่อเลย
งานแลกเปลี่ยนใต้ดินของสมุนไพรวิญญาณเหรอ? เหยื่อล่อที่ผู้อาวุโสหลิงปล่อยออกมานี้ทำให้นางสนใจเป็นอย่างมาก ดวงตาของมู่เฉียนซีส่องประกายออกมา
เฟิงอวิ๋นซิวเหลือบเห็นสายตาเป็นประกายของมู่เฉียนซี แน่นอนเขารู้ว่าเจ้าหมอนี่เกิดหวั่นไหวเข้าแล้ว
เขายิ้มแล้วกล่าว “แน่นอนว่าอวิ๋นซิวจะไปบอกกล่าวให้”
ผู้อาวุโสหลิงจะตอแยต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงทำได้เพียงแต่ให้พวกเขาออกไปจากโรงประมูลราชสำนัก
หลังจากที่กลับมาถึงโรงเตี๊ยมแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวก็มองไปยังมู่เฉียนซีแล้วกล่าว “เฉียนเยี่ย ตอนนั้นที่ข้าเสนอให้เราแบ่งปันกัน เจ้าตกลงหรือไม่?”
“นี่เป็นเพียงเบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น บางทีพวกเราร่วมมือกันอาจจะหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์พบได้ง่ายดายกว่า”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าว “เช่นนั้นแล้วถ้าสุดท้ายหาพบแล้วเล่า? มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพมิใช่สิ่งที่จะสามารถแบ่งปันกันได้ พวกมันเองก็จะเลือกตัวผู้เป็นนาย!”
ดวงตาสีเหลืองอำพันของเฟิงอวิ๋นซิวพลันมืดมนลง “เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราก็จะเป็นศัตรูกัน”
แต่ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมิใช่มิตรกัน
หลังจากกล่าวจบแล้วเฟิงอวิ๋นซิวก็ตะลึงงัน คำพูดนี้มันช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
ในตอนนั้นเฉียนซีก็ได้กล่าวเช่นนี้กับเขา หลังจากที่เข้าไปในสนามรบโบราณแล้วถ้าหากว่าหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้พบจริง ๆ พวกเขาจะต้องมีศึกต่อกันสักหนแน่
มาตอนนี้กลับถึงเวลาที่เขาต้องกล่าวกับผู้อื่นแล้ว
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “อวิ๋นซิว เจ้าเชื่อมั่นในตนเองเช่นนั้น แล้วข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้หรือ?”
เฟิงอวิ๋นซิวส่ายหัว “แต่ไหนไรมาข้ามิเคยดูเบาเจ้า แม้ตั้งแต่แรกที่พบกัน”
“ได้ ข้าตอบรับคำแนะนำนี้ของเจ้า อย่างไรเสียพลังของตำหนักตงจี๋ของพวกเจ้าก็มากมายนัก บางทีพวกเราอาจสามารถใช้เบาะแสเล็ก ๆ นี้หาเบาะแสที่ใหญ่กว่าพบก็ได้”
ดังนั้นทั้งสองก็ได้เริ่มทำการศึกษาแผ่นเหล็กนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “มันมิได้มีจุดใดที่พิเศษ มิอาจที่จะดูอะไรออกมาได้เลย”
“โรงประมูลราชสำนักคงไม่หลอกพวกเรากระมัง! ถ้าหากว่ากล้าหลอกลวงพวกเรา งั้นพวกเราไปพังโรงประมูลราชสำนักกันเถอะ! กล้าดียังไงถึงได้มาหลอกพวกเรา!” สีหน้าของมู่เฉียนซีฉายแววของความโกรธเกรี้ยวออกมา
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “นั่นเป็นถึงโรงประมูลราชสำนักเชียวนะ!”
“เจ้าเองก็เป็นนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋! จะไปกลัวอะไร?”
เฟิงอวิ๋นซิวยิ้มอย่างจนปัญญา เขานั้นเป็นบุคคลที่เปรียบดั่งสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของตำหนักตงจี๋
ถึงแม้ว่าจะมีฐานันดรที่สูงศักดิ์และมีพรสวรรค์ที่สามารถจะทำตัวหยิ่งทะนงไปทั้งใต้หล้าได้ แต่เขากลับไม่เคยทำอะไรที่ป่าเถื่อนเช่นนั้นมาก่อน
เพราะเขาเพียงอยากมีชีวิตอยู่เพื่อนาง และพยายามเพื่อที่จะมีคุณสมบัติได้อยู่ข้างกายนาง
เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ช่างไม่เหมือนกับเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาสะเพร่าและทำตัวอิสระเหมือนดั่งสายลมก็มิปาน ทำตามที่ใจตนอยาก อยากจะทำอะไรก็ทำ
ในตอนที่เฟิงอวิ๋นซิวจ้องมองนางอย่างเหม่อลอยนี่เอง มู่เฉียนซีก็รู้สึกเหมือนกับว่าบุรุษผู้นี้กำลังเปลี่ยนพื้นดินให้กลายเป็นคุกจองจำตนเองเอาไว้และไม่อยากที่จะออกมาตลอดกาลก็มิปาน
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ปรมาจารย์เหยียนเป็นนักหลอมอาวุธผู้หนึ่ง ข้อมูลที่อยู่บนแผ่นเหล็กนี้ ถ้าหากใช้เปลวเพลิงของนักหลอมอาวุธก็คงจะสามารถหาเบาะแสข้อมูลได้อยู่บ้าง ผู้อาวุโสแห่งตำหนักตงจี๋ของพวกเราเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุไฟระดับมหาจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้น”
มู่เฉียนซีกล่าว “ก็หมายความว่าเจ้าต้องการจะนำแผ่นเหล็กนี้กลับไปยังตำหนักตงจี๋? ถ้าหากมิใช่เพราะเชื่อในนิสัยของเจ้า ข้าคงสงสัยว่าเจ้าจะเก็บมันไว้แต่เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน และคงจะเปิดศึกกับเจ้าขึ้นในตอนนี้!”
เฟิงอวิ๋นซิวตะลึงงัน “แต่ว่าเจ้า…เชื่อข้าใช่หรือไม่?”
เขาถามต่อทันที “เจ้ายินดีจะไปตำหนักตงจี๋กับข้าหรือไม่?”
มู่เฉียนซีกล่าว “เพื่อกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แล้วข้าก็ต้องไป ก็แค่ไปตำหนักตงจี๋ไม่ใช่หรือไง? จะไปกลัวอะไรกัน?”