ด้วยการหมุนของสัญลักษณ์รูนเหล่านี้ แผ่นวงกลมทั้งหมดก็สั่นไหวและหมุนไปเช่นกัน อักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นหรือถูกทำลายในนั้น การผวนแปรนี้ทำให้คนมองรู้สึกเวียนหัวตาลาย

ในเวลาเดียวกัน กระจกโบราณสีน้ำเงินก็ส่งเสียงออกมา พื้นผิวถูกล้อมรอบด้วยแสงสีน้ำเงิน มีบางอย่างปรากฏอยู่ในนั้น หากแต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

หานลี่ทำหน้าแปลกไปจากปกติ ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องไปที่นิมิตต่างๆ ในแผ่นวงกลมโดยไม่กะพริบ ราวกับว่าเขากำลังคำนวณอะไรบางอย่างในใจอย่างเงียบๆ

หลังผ่านไปอาหารหนึ่งมื้อเต็มๆ แผ่นวงกลมขนาดใหญ่ ก็ส่องสว่างและสั่นไหว พร้อมหมุนวนอย่างไม่รู้จำนวนครั้ง รังสีของแสงแวบเข้ามาในรูม่านตาของหานลี่และเสียงเบาๆ ก็ออกมาจากปากของเขาในทันใด

“เจอแล้ว!”

จากนั้นแขนก็ขยับ นิ้วชี้ขึ้นไปในอากาศ และคลื่นที่มองไม่เห็นปกคลุมความว่างเปล่าทั้งหมดในจัตุรัสในทันที

เกิดเสียง ปึง! ดังขึ้นอย่างอู้อี้

แผ่นวงกลมขนาดใหญ่สั่นสะท้าน และเครื่องหมายรูนนส่วนใหญ่หายไปในพริบตา เหลือเพียงสัญลักษณ์รูนไม่กี่สิบตัวตามลำพังเท่านั้น ที่ก่อตัวเป็นลวดลายแปลกตาพร้อมเปล่งแสงสีขาวนวลออกมาตรงกลาง

หานลี่จ้องที่รูปแบบอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็หันไปที่กระจกโบราณสีน้ำเงินที่อยู่ด้านหน้าเขา

เพียงมองบนสมบัติชิ้นนี้ มีแสงระยิบระยับไม่นิ่ง และภาพบนกระจกสำริดพลันกระจ่างชัดเจนจากความพร่ามัว

เมื่อมีเสียงดังยาวจากกระจกโบราณ แผนที่ขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นในนั้น

ที่ไหนสักแห่งนอกแผนที่ มีจุดแสงที่ส่องกะพริบวูบวาบไม่หยุด ซึ่งดูเหมือนจะสะท้อนรูปแบบบนแผ่นวงกลมขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง

หานลี่จ้องไปที่มันครู่หนึ่งจากนั้นก็ขมวดคิ้วโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ผู้อาวุโสหาน หรือว่าจะหาทางเข้าโลกแห่งวิญญาณน้อยแล้ว?” จูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างรอจนถึงตอนนี้อดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“นับว่าหาเจอก็ได้ หาไม่เจอก็มิผิด พูดได้เพียงแค่ว่าผลลัพธ์ส่วนใหญ่เหมือนจะออกมาดี” หานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ

“คำพูดของผู้อาวุโสหมายความว่า…” จูกั่วเอ๋อร์กะพริบตาอย่างสับสน

“ง่ายมาก! ทางเข้าปัจจุบันของโลกแห่งวิญญาณน้อยสู่โลกวิญญาณไม่ได้อยู่บนแผ่นดินเฟิงหยวนของพวกเรา แต่น่าจะอยู่ในอีกสองแผ่นดินอื่นๆ” ฮันลี่พูดตอบช้าๆ

“แผ่นดินอื่น? ท่านหมายถึงเหลยหมิงหรือว่าเซวี่ยเทียน?” จูกั่วเอ๋อร์ตกตะลึงในตอนแรก พลันถามออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เรื่องนี้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ ขอบเขตการคำนวณของแท่นบูชาแท่นนี้อยู่เพียงในแผ่นดินเฟิงหยวนเท่านั้น หากต้องการคำนวณทางเข้าที่แท้จริงของโลกแห่งวิญญาณน้อย เกรงว่าทำได้เพียงแค่ตามหาแท่นบูชาในแผ่นดินอื่นๆ ก่อนเท่านั้น หลังจากนั้นค่อยมาคำนวณหาใหม่อีกรอบถึงจะได้” หานลี่ตอบอย่างครุ่นคิด

“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปยังแผ่นดินอื่น” จูกั่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“น่าจะต้องเป็นเช่นนั้น โชคดีที่เมื่อกำหนดทางเข้าโลกแห่งวิญญาณน้อยในช่วงเวลาหนึ่งแล้วทางเข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยง่าย อย่างน้อยต้องใช้เวลานับหลายร้อยปีถึงจะเปลี่ยนอีกรอบ พวกเรายังพอมีเวลาที่จะทำเรื่องนี้ เพียงแต่เวลาที่จะได้เข้าไปยังโลกแห่งวิญญาณน้อยคงต้องยืดออกไปอีก” หานลี่ถอนหายใจเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้

โชคดีที่ด้วยพลังยุทธ์ในปัจจุบันของเขา ทำให้สามารถท่องไปในโลกวิญญาณได้เกือบทั้งโลก ในการไปแผ่นดินอื่นนั้น นอกจากการต้องใช้ระยะเวลานานแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นต้องกังวลอีก

อีกทั้งเรื่องนั้นที่เขารับปากกับเกี่ยวกับการเปลี่ยนร่างของเซียนวิญญาณน้ำแข็งไว้ในตอนแรก ก็ยังจารึกไว้ในใจโดยตลอด ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะสามารถจัดการไปด้วยกันได้

ความคิดของหานลี่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และเขาก็คิดถึงแผนการเดินทางที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ในพริบตา

ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยต่อจูกั่วเอ๋อร์ที่กำลังท้อแท้ เพียงสะบัดชายเสื้อหนึ่งครั้ง กระจกโบราณนั้นถูกเขาม้วนเก็บแสงสีทอง จากนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อโจมตีไปยังรูปแบบบนแท่นบูชาด้วยอาคม

การสั่นสะเทือนเกิดขึ้นอีกครั้ง ลำแสงทุกชนิดบนแท่นบูชาหายไปทันควัน และรูปแบบบนชั้นบนสุดก็กลับคืนสู่ความสงบในทันที

แผ่นแสงขนาดใหญ่ที่อยู่กลางอากาศเมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากพลังของเขตอาคม พลันแตกออกอย่างช้าๆ ท่ามกลางแสงสาดส่อง

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งกาน้ำชา ภาพประหลาดทั้งหมดบนแท่นบูชาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

แท่นบูชาก็กลับมาเสื่อมโทรมเหมือนดังตอนแรก!

แสงสีทองปกคลุมร่างของหานลี่อีกครั้งหนึ่ง นำพาทั้งเขาและจูกั่วเอ๋อร์หายไปยังจุดก่อนหน้าอย่างไร้ร่องรอย

เวลาถัดมา ทั้งสองคนก็ปรากฏขึ้นข้างอิ๋นเย่ว์ที่ด้านล่างของแท่นบูชา

“พี่หาน สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ดวงตาที่สวยงามของอิ๋นเย่ว์หรี่ลง และถามออกมาหนึ่งประโยคพร้อมจ้องมองไปที่หานลี่

“ไม่นับว่าดีแต่ก็ไม่ถือว่าแย่?” หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นแล้วบอกอิ๋นเย่ว์ถึงผลการคำนวณของเขา

หลังจากที่อิ๋นเย่ว์ฟังจบ ก็หันมาชำเลืองมองเล็กน้อยและยิ้มอย่างหวานทันที

“ก็จริงอย่างที่พี่พูด ผลลัพธ์ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น! ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้มาซึ่งทางเข้าของโลกแห่งวิญญาณน้อยในทันที แต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าวิธีที่เป่าฮวาบอกนั้นเป็นไปได้จริงแน่นอน ตอนนี้เราแค่ต้องไปยังแผ่นดินอื่นๆ ภายในระยะเวลาที่แน่นอน เมื่อค้นพบแท่นบูชาจตุรทิศแห่งซีหนานแบบเดียวกัน พี่จะพบทางเข้าอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ดูเหมือนว่าการออกจากแผ่นดินเฟิงหยวนเพียงครั้งเดียวจะไม่เพียงพอเสียแล้ว เดิมทีข้าก็มีธุระที่ต้องไปจัดการที่แผ่นดินอื่นเช่นกัน ประจวบเหมาะที่จะไปจัดการด้วยกันเลย เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ข้าต้องไปที่เผ่าวิญญาณอีกรอบเพื่อสะสางเรื่องการโจรกรรมข้ามน้ำที่หลิงจูก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่” หานลี่พยักหน้าและตอบ

“ตามแต่เจตนาของพี่หานเลย อย่างไรก็ตาม ราชาวิญญาณนั้นลึกลับมาก พี่หานไม่ควรประมาทมันแม้แต่นิด” อิ๋นเย่ว์ไม่มีการคัดค้าน แต่ก็ยังส่งเสียงเตือนขึ้นมา

“วางใจเถอะ ฉันจะระวัง ไม่ว่าราชาวิญญาณผู้นี้จะมีชีวิตอยู่เป็นเวลาหลายล้านปีจริงๆ หรือไม่ ต้นกำเนิดของเขาน่าสงสัยอย่างยิ่ง ข้ารู้สึกสนใจเขาจริงๆ!” หานลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“ทำไมหรือ…หรือว่าพี่หานสงสัยว่าราชาวิญญาณคนนี้ไม่ใช่คนของโลกใบนี้?” อิ๋นเย่ว์ช่างเป็นคนที่ฉลาดอะไรอย่างนี้ หลังจากได้ยินคำพูดนั้น ก็เดาได้ทันทีว่าหานลี่หมายถึงอะไร

“ฉันตรวจสอบบันทึกโบราณจำนวนหนึ่ง สำหรับเผ่าวิญญาณเมื่อเทียบกับพวกเราเหล่ามนุษย์ทั้งสองเผ่า เผ่าอื่นๆ อีกไม่กี่เผ่าหรือแม้กระทั่งยักษาแล้ว เวลาที่โลกวิญญาณปรากฏนับว่าค่อนข้างสั้น นับๆ ดูแล้วก็เหมือนจะไม่เกินหนึ่งล้านเท่านั้น อีกทั้งผู้คนจำนวนมากของโลกวิญญาณ ดูเหมือนจะปรากฏตัวในจำนวนที่น่าทึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน” หานลี่ไม่ได้ตอบคำถามของอิ๋นเย่ว์โดยตรง แต่วิเคราะห์ประโยคสองสามประโยคอย่างใจเย็น

อิ๋นเย่ว์ได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนไป และแม้ว่าจะไม่ถามคำถามใดๆ เพิ่มเติม แต่ก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว

“ธุระที่นี่เสร็จสิ้นแล้ว พวกเราควรกลับไปที่เรือกันเถอะ! แม้ว่าปีศาจเฒ่าฮวาฉื่อจะมีความแข็งแกร่งในระดับปานกลาง แต่เขาแตกฉานอย่างมากในอิทธิฤทธิ์แห่งน้ำ หากเขาไปที่แผ่นดินอื่น ไม่แน่ว่าพลังของเขาอาจจะได้ใช้ เราพาเขากลับไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเถอะ” หานลี่พูดสองประโยคหลังจากเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

“เรื่องนี้คิดๆ ดูแล้วไม่มีปัญหา ได้อยู่ข้างกายผู้ฝึกระดับมหายาน ไม่แน่ว่าอาจได้รับคำชี้แนะเป็นบางครั้งบางคราว ข้าคิดว่านักพรตฮวาฉื่อท่านนี้จะไม่คิดปฏิเสธ” อิ๋นเย่ว์เม้มปากและพูด

หานลี่หัวเราะเบาๆ ร่ายคาถาด้วยมือข้างเดียวโดยไม่พูดอะไร มีรุ้งสีทองม้วนออกมาจากร่างของเขา ห่อทั้งสามคนและบินผ่านอากาศขึ้นไปบนที่สูง

กว่าครึ่งปีให้หลัง ณ ดินแดนต้องห้ามลับบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองเผ่า ทันใดนั้น เสียงคำรามที่ยาวที่ชัดเจนและทรงพลังก็ออกมาพุ่งตรงเข้าไปในก้อนเมฆ เขย่าเมฆแห่งวิญญาณทั่วเกาะศักดิ์สิทธิ์จนสั่นไม่หยุด

เสียงคำรามที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ สิ่งมีชีวิตระดับสูงส่วนใหญ่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ต้องสัมผัสถึงมันได้อยู่แล้ว

สีหน้าของพวกมันดูประหลาดใจมาก!

และหานลี่ที่กำลังหลอมยาลูกกลอนบางชนิดอยู่ในบ้านถ้ำบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้ยินเสียงคำรามกลับเพียงยิ้มเบาๆ และหลังจากอาคมในมือของเขาเข้าไปในเตาหลอม เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยัง ทิศทางของเสียงคำราม แล้วพึมพำกับตัวเอง

“ในที่สุดนักพรตมั่วก็ฟื้นคืนชีพโดยสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถออกเดินทางสู่โลกฝ่ายวิญญาณได้ในไม่ช้า หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะได้ผลดีนะ!”

หลังจากที่หานลี่พูดเช่นนี้ เขาก็ยังคงกระตุ้นเปลวไฟสีเงินจากใต้เตาหลอมเพื่อกระตุ้นวงกลมของเปลวเพลิงสีเงินที่อยู่ใต้เตาต่อไป

หนึ่งเดือนต่อมา เงาร่างขนาดใหญ่ของเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมารปรากฏขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้าเหนือเกาะศักดิ์สิทธิ์ และหลังจากนั้นไม่นาน มันก็ส่งเสียงหวีดดังแล้วเคลื่อนที่ฝ่าอากาศออกไป

บนเรือลำยักษ์นี้ แน่นอนว่าหานลี่ อิ๋นเย่ว์และจูกั่วเอ๋อร์ล้วนอยู่บนเรือ อีกทั้งยังมีเผ่าปีศาจระดับผสานอินทรีย์สองตนคือมั่วเจี่ยนหลี่และเฒ่าฮวาฉื่อ

เป็นดังที่อิ๋นเย่ว์กล่าวไว้ว่าปีศาจเฒ่าฮวาฉื่อท่านนั้น เมื่อได้ยินว่าหานลี่ตั้งใจที่จะพาเขาติดตามไปด้วยในช่วงเวลาหนึ่ง ก็ตอบตกลงด้วยความยินดีทันที ขอตัวกลับไปเก็บสมบัติบางชิ้นที่ถ้ำของตนก่อน แล้วจะรีบกลับมาพบหานลี่ที่เกาะ

หานลี่ปฏิบัติต่อปีศาจขั้นผสานอินทรีย์ตนนี้ไม่เลวเลย ไม่เพียงแค่ให้หยูกยาเท่านั้น แต่ยังให้คำแนะนำเล็กน้อยเกี่ยวกับคำถามเกี่ยวกับการฝึกฝนของเขา ทำให้เขาได้รับประโยชน์มากมายแม้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ในชั่วพริบตาเดียว เขาได้ก้าวผ่านช่วงเริ่มต้นที่ติดอยู่เป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็เข้าสู่ขั้นผสานอินทรีย์ระดับกลาง

ด้วยเหตุนี้ เฒ่าฮวาฉื่อผู้นี้จึงรู้สึกเทิดทูนและสำนึกในบุญคุณของหานลี่เป็นอย่างมาก และเริ่มปฏิบัติกับ หานลี่เหมือนอย่างน้องชายคนหนึ่ง

ทันทีที่เรือขนาดยักษ์เดินทางออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ มันก็แล่นไปยังทิศทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยไม่ลังเล

ด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดาของเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองเดือนก็มาถึงที่เมืองเทียนย่วนแล้ว

หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีอยู่ในเมืองนี้เพียงสองถึงสามวัน หลังจากพบกับผู้เฒ่าบางคนในเมืองแล้วพวกเขาก็นั่งเรือลำใหญ่เข้าสู่โลกแห่งความป่าเถื่อน

แต่ภายใต้สถานการณ์ที่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับมหายานนั่งมาด้วยถึงสองท่าน ความป่าเถื่อนที่เดิมทีควรจะโหดร้ายมาก แต่สำหรับผู้คนบนสำเภายักษ์แล้วกลับเหมือนเดินบนถนนราบในแผ่นดินใหญ่

อสูรโบราณบางตัวที่พบตาเส้นทาง ถูกกลุ่มหุ่นกระบอกจำนวนมากจัดการตัวแล้วตัวเล่า โดยที่หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีแทบจะไม่ต้องลงมือ

ปัญหาใหญ่เพียงอย่างเดียวที่พบคือตอนที่กำลังบินผ่านหุบเขาขนาดใหญ่ และทันใดนั้นก็พบกับทะเลพายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดขึ้นมากะทันหัน

พายุแต่ละลูกที่สูงเสียดฟ้ากว่าหมื่นจั้ง ล้วนเคลื่อนที่เข้ามาหาเรือยักษ์อย่างหนาแน่น

ร่างใหญ่ของเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก ดูเล็กอย่างหาที่เปรียบมิได้ภายใต้พลังแห่งสวรรค์เช่นนี้

หุ่นเชิดจำนวนมากบนเรือโจมตีพร้อมกัน พวกมันสามารถขัดขวางเสาลมเหล่านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่สามารถขจัดภยันตรายได้จริงๆ

ในเวลานี้ หานลี่และมั่วเจี่ยนหลี แบ่งกันอยู่ทั้งสองด้านของสำเภายักษ์ คนหนึ่งอยู่ทางซ้ายและอีกหนึ่งอยู่ทางขวา

หนึ่งส่งเสียงคำรามต่ำ มือทั้งสองข้างควบคุมอากาศว่างเปล่า พลันปรากฏสายฟ้าอันไร้ที่มา ผ่านไปชั่วครู่ก็กลายเป็นกระบี่สายฟ้าสองเล่มฟันไปด้านหน้าอย่างดุเดือด

อีกหนึ่ง ผิวกายเปล่งรัศมีแสงทองส่องมาครู่หนึ่ง พลันกลายเป็นลิงยักษ์ขนสีทองที่มีความยาวมากกว่าหนึ่งร้อยจั้ง หลังจากเงยศีรษะส่งเสียงคำรามดังกึกก้องชั่วครู่ จึงโจมตีออกไปด้วยการยกมือปล่อยคลื่นหมัดออกไปสองลูก