จำนวนประชากรของเผ่าวิญญาณเมื่อเปรียบเทียบกับเผ่ามนุษย์หรือเผ่าอื่นๆ แล้ว ถือว่ามีจำนวนน้อยเป็นพิเศษ

ประกอบกับหานลี่และคนอื่นๆ ตั้งใจแล่นเรือเหาะไปในเส้นทางที่ห่างไกลผู้คนมาก จำนวนคนจากเผ่าวิญญาณที่พบระหว่างทางย่อมน้อยลงไปอีก

เผ่าวิญญาณที่เห็นเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปแล้วและหุ่นเชิดผลึกมารพวกนั้นที่อยู่นอกเรือ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความสงสัย

อีกทั้งคนจากเผ่าวิญญาณศาสตราบางคนยังตั้งใจเข้ามาทักทาย ‘เพื่อนร่วมเผ่า’ ที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งเหล่านี้

ภายใต้การส่งสัญญาณของหานลี่ หุ่นเชิดปลอมเหล่านี้ก็จัดการกับ ‘ชนเผ่า’ เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

เวลาผ่านไปสองเดือน ในที่สุดเรือเหาะก็มาถึงยัง ‘เมืองชุ่ยเยียน’ เมืองกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลางของเผ่าวิญญาณ และสถานที่ห่างจากเมืองนี้ออกไปกว่าแสนลี้ ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าวิญญาณ ‘เขาฟู่หลิง’

ในภูเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ ‘หลิงอ๋อง’ ผู้ซึ่งได้รับความเคารพยกย่องสูงสุดจากชนเผ่าวิญญาณอาศัยอยู่และสาบานว่าจะอยู่พิทักษ์ภูเขาลูกนี้ไม่จากไปไหนชั่วชีวิต

ตามข้อห้ามของเผ่าวิญญาณ สามหมื่นลี้ภายใต้เขตชั้นในของภูเขาลูกนี้ถูกจัดเป็นสถานที่ต้องห้าม ที่ห้ามคนจากเผ่าวิญญาณที่มีระดับต่ำกว่าผสานอินทรีย์เข้าใกล้

คนในระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป หากได้รับคำสั่งจากหลิงอ๋องด้วยตนเอง ก็ไม่สามารถเข้าขึ้นไปที่ส่วนบนของภูเขาฟู่หลิงได้ ทำได้เพียงเข้ามาแวะอยู่ที่ไหล่เขาด้านล่างเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ไม่กี่ปีมานี้ เดิมทีหลิงอ๋องมักจะอยู่ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เพื่อพูดคุยวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าร่วมใหม่อยู่บ่อยๆ พลันแถลงว่าต้องการปิดด่านฝึกตนเพื่อฝึกวิทยายุทธ์ลับบางอย่าง หลังจากจัดการมอบภาระหน้าที่ของเผ่าวิญญาณให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใต้อาณัติที่ไว้ใจได้ไม่กี่คนจัดการแล้ว จึงปิดกั้นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งลูกอย่างสิ้นเชิง ไม่ออกไปพบผู้ใด

ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเหตุการณ์ปิดกั้นภูเขามาก่อน เหตุการณ์นี้ย่อมทำให้เกิดความปั่นป่วนในเผ่าวิญญาณอย่างมาก แต่ภายใต้การร่วมมือยับยั้งของเหล่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ทำให้ไม่เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่หลวงในเผ่าวิญญาณ แน่นอนว่าย่อมมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้น

ทั่วทั้งเผ่าวิญญาณตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆ ราวกับมีคลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ตอนเดินทางมาที่แห่งนี้ หานลี่ มั่วเจี่ยนหลีและคนอื่นๆ ได้สอบถามข้อมูลที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน

ถึงแม้พวกเขาจะประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดฝันของเผ่าวิญญาณนี้ แต่ก็ไม่เปลี่ยนแผนการที่จะไปพบหลิงอ๋องแต่อย่างใด

อันที่จริงเมื่อไม่นานมานี้หลิงอ๋องเพิ่งตกลงเจรจากับเผ่าประหลาดระดับมหายานเกี่ยวกับยันต์เหลยเซียว แน่นอนว่าการปิดด่านฝึกตนนั้นยอมไม่จริง ไม่รู้ว่ากำลังแอบวางแผนร้ายอันใดอยู่

แต่แม้ว่าเผ่าวิญญาณระดับมหายานคนนี้มีแผนการอะไรอยู่หรือไม่ หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีที่ต้องการยันต์เหลยเซียว แน่นอนว่าจะไม่ยอมล่าถอยด้วยสาเหตุเช่นนี้แน่

ทั้งสองคนหารือกันอย่างรอบคอบ จึงจอดเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกไว้ใกล้เมืองชุ่ยเยียน แล้วให้อิ๋นเย่ว์และคนอื่นๆ รวมถึงหุ่นเชิดผลึกมารทั้งหลายรออยู่ที่เรือ

ทั้งสองก็เหาะไปที่ภูเขาฟู่หลิงด้วยกัน

ภายใต้การเตรียมการนี้ ถ้าเกิดตอนที่พบหลิงอ๋องเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ สำหรับมหายานทั้งสองไม่นับว่าเป็นเรื่องเดือดร้อนอันใด ย่อมปกป้องตนเองได้อย่างเหลือเฟือ

เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีได้มาถึงสถานที่ไม่ไกลจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิญญาณโดยไม่มีใครจับได้

หานลี่เงยหน้ามองยังที่สูงเบื้องหน้า

เพียงเห็นที่ๆ ดวงตาสามารถมองเห็นได้ กลางความว่างเปล่ามีสายรุ้งห้าสีเป็นเส้นๆ อยู่ทั่วทุกหนแห่ง

ใต้สะพานสายรุ้งพวกนี้ มองเห็นแสงแวบวับเป็นเส้นๆ จางของยอดเขาเขียวชะอุ่มสูงกว่าหมื่นจั้งอย่างเลือนราง

หานลี่ถึงแม้จะพึ่งพาเคล็ดวิชาอำพรางห่อหุ้มร่างกายแอบขึ้นมา รูม่านตาไม่อาจห้ามไม่ให้หดลงเล็กน้อยเมื่อพบเห็นสิ่งนี้

ด้วยความสามารถในตอนนี้ จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่า ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์’ ของเผ่าวิญญาณในข่าวลือลูกนี้ มีแรงกดดันทางวิญญาณที่มองไม่เห็นที่น่ากลัวอย่างมาก ดูเหมือนว่าตัวภูเขานั้นจะเป็นสมบัติประหลาดที่ทรงพลังอย่างมาก รูปร่างไม่เหมือนกับภูเขาที่เขาหลายลูกด้านล่างแม้แต่น้อย

“น่าสนใจ! หลิงอ๋องท่านนี้ไม่ลังเลเลยที่จะปล่อยให้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เผยพลังที่แท้จริงของมันออกมา แล้วยังปิดผนึกสถานที่นี้โดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าท่ามกลางสิ่งเหล่านี้จะมีเรื่องราวบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้” มั่วเจี่ยนหลีที่ร่างกายอยู่ในรูปลักษณ์โปร่งแสงเหมือนกันกับหานลี่ พูดออกมาอย่างประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่าระดับมหายานท่านนี้ก็สามารถมองเห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของภูเขาลูกนี้เหมือนกัน

“พี่มั่ว ดูเหมือนว่าหลิงอ๋องจะจัดตั้งข้อห้ามที่ร้ายแรงมากอยู่ที่นี่ พวกเรายังจะยังขึ้นไปอยู่หรือไม่” หานลี่ถามอย่างสงบ

“ไม่ไปได้อย่างไร ภูเขาแห่งนี้แม้ว่าจะไม่ธรรมดา แต่จะมีสิ่งใดมาขวางพวกเราสองคนได้ อีกทั้งหากไม่เผยความสามารถสักหน่อย หลิงอ๋องท่านนี้ย่อมไม่เต็มใจที่จะพบเจอพวกเราด้วยตัวเอง หรือสหายหานไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว เลยเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว” มั่วเจี่ยนหลีพูดทีเล่นทีจริง

“ที่แท้พี่มั่วก็รู้ดีอยู่แก่ใจ หานผู้นี้จะมีความคิดที่จะถอยกลับได้อย่างไร แน่นอนว่าข้าน้อยย่อมไปกับท่านจนถึงที่สุด” หานลี่พูดกลั้วหัวเราะ มิได้แปลกใจอันใด

หลังจากที่ทั้งสองปรึกษากันเล็กน้อย ก็ตัดสินใจแยกกันลงมือ

มั่วเจี่ยนหลีแตะนิ้วด้วยมือเดียว ปากบริกรรมคาถาออกมา

ม่านประหลาดพลันปรากฏออกมา! ร่างโปร่งแสงภายใต้เสียงท่องคาถาอาคมของมนุษย์ระดับมหายานผู้นี้ รัศมีแสงสีขาวราวกับน้ำนมแผ่ออกมา

ต่อมาภายใต้ร่างกายที่ละลายจนอ่อนปวกเปียกของเขา ในที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นน้ำโปร่งใสกลุ่มหนึ่ง เคลื่อนไหวนิดหน่อยก็เจาะลงพื้นดินไปไม่เห็นแม้แต่เงาอย่างน่าประหลาดใจ

หานลี่เห็นดังนี้ แสดงประหลาดใจออกมาแวบหนึ่งจึงกลับมาเป็นปกติ พลันสะบัดแขนเสื้อ

เสียง “ปึง” ดังขึ้น

ยันต์แผ่นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แตกออกเปลี่ยนเป็นอักษรรูนสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากครอบคลุมท่วมร่างกายของหานลี่ ก็แปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มหมอก

หลังหมอกสลายหายไป หานลี่ที่เคยอยู่ที่ตรงนั้น พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ยันต์แผ่นนั้น ที่แท้คือยันต์ชำระพิสุทธิ์ที่หานลี่หลอมขึ้นมาเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน

ยันต์นี้แม้ว่าหานลี่จะไม่ค่อยได้ใช้มันหลังจากที่ตนเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ แต่ไม่ได้หมายความว่ายันต์ชำระพิสุทธิ์แผ่นนี้จะไม่มีประโยชน์ต่อหานลี่ในวันนี้

กลับกันแล้ว! ยันต์แผ่นนี้เป็นเพราะใช้เคล็ดลับวิชาของแดนเซียนหล่อหลอมมันขึ้นมา และอาจจะเพราะพลังยุทธ์ของหานลี่ที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้น พลังที่สามารถปล่อยออกมาของยันต์นั้นก็มากตามไปด้วย แต่น่าเสียดายที่วัตถุดิบบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมยันต์แผ่นนี้มีอยู่น้อย ยันต์หลายแผ่นที่หลอมไปก่อนหน้านี้ก็ถูกเขาใช้ไปหมดแล้ว

ต่อมา แม้ว่าหลังจากที่พลังยุทธ์ของเขาเพิ่มมากขึ้น ก็สามารถหลอมขึ้นมาใหม่ได้เพียงไม่กี่ชิ้น โดยปกติแล้ว แน่นอนว่ามันไม่ได้ใช้งานได้ง่าย

อีกประการหนึ่งด้วยอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ตอนนี้ โอกาสที่ให้เขาปิดบังร่างกายแล้วเข้าใกล้ที่นั่นโดยไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ถือว่ามีมากทีเดียว

ตอนนี้เขาต้องการที่แทรกซึมเข้าไปในภูเขาฟู่หลิงลูกนี้ แอบไปพบกับหลิงอ๋องผู้ไม่รู้ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู และนี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเริ่มลงมือ

หลังจากหานลี่รู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนไป สะกิดเท้าทั้งสองข้างเล็กน้อย ตัวเบาราวขนนกพุ่งไปทางยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล

ทันทีที่ร่างกายเข้ามาในภูเขาฟู่หลิง เขารับรู้ถึงความผันผวนที่ผิดปกติหลายชั้นที่วาดผ่านทั่วทั้งร่างกายได้อย่างชัดเจน แต่สักครู่ก็วาดผ่านออกไปอีกครั้ง เหมือนอย่างร่างกายของเขาในตอนแรกที่เป็นปกติ

หานลี่เห็นดังนี้ เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ความผันผวนพวกนี้อยู่ไกลจากวิชาลับธรรมดาทั่วไป แต่ไม่พบสัญญาณการดำรงอยู่ของมันเลยแม้แต่นิด เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เขาเลื่อนระดับเข้าสู่มหายานแล้ว ยันต์ชำระพิสุทธิ์นี้ยิ่งมีความวิเศษมากขึ้นเรื่อยๆ

หานลี่เหาะตรงไปที่ด้านบนโดยตรงอย่างไม่มีความลังเลใดอีกต่อไป

ระหว่างทางเข้าด้านหน้า เขาสัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสอย่างชัดเจนผ่านทางจิตสัมผัสว่ามั่วเจี่ยนหลีที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการอันใดในการแอบเข้าไปในภูเขา ผ่านเข้ามาอย่างง่ายดายและอยู่ในก้อนหินไม่ไกลจากเขา

ทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่บน คนหนึ่งอยู่ล่าง เดินทางไปยังที่สูงด้วยกันอย่างเงียบๆ

ระหว่างทางมีพบเจอกลุ่มผู้พิทักษ์เผ่าวิญญาณเดินลาดตระเวนบ้างเป็นครั้งคราว

บนร่างกายพวกเขาสวมชุดเกราะหลากหลายสี ร่างกายปกคลุมไปด้วยแสงประหลาด รูปลักษณ์ภายนอกแปลกคล้ายกับเผ่าปีศาจ ลมปราณโดยเฉลี่ยของผู้พิทักษ์พวกนั้นนั้นถือว่าแข็งแกร่งทีเดียว ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเทพแปลงและระดับหลอมสุญตาและอื่นๆ

พลังยุทธ์เช่นนี้ แม้ว่าท่ามกลางเผ่าวิญญาณจะถือว่าเป็นการมีอยู่ในระดับสูง แต่ที่อยู่ที่นี้ไม่ใช่ผู้คุ้มกันทั่วไป

ดูเหมือนว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้รับการคุ้มครองอย่างหนาแน่นเมื่อเทียบกับการดำรงอยู่ทั่วไป ไร้ข้อผิดพลาด

แต่ก็สามารถขัดขวางหานลี่และมั่วเจี่ยนหลีที่อยู่ในระดับมหายานได้จริงๆ

หานลี่ทะยานไปตามภูเขาทีละลูก ทีละลูก โดยไม่หลีกเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปไม่นานก็มาถึงไหล่เขา มองเห็นซุ้มประตูสูงใหญ่สีม่วงแดงอยู่ตรงนั้นไกลลิบตา

ใต้ซุ้มประตูทั้งสองข้าง มีชายวัยกลางคนสวมชุดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่คนละข้าง

ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งบนหัวไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว แต่มีใบหน้าที่สง่างามน่ามอง

อีกคนมีใบหน้าเป็นหลุมเป็นบ่อ ดูอัปลักษณ์อย่างยิ่ง แต่บนศีรษะกลับมีแสงสีแดงวูบวาบอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ที่แท้เป็นไฟนรกสีแดงกลุ่มหนึ่ง ราวกับเส้นผมสีแดงฉานเหมือนปกติ

แต่สิ่งที่หานลี่สนใจแน่นอนว่าไม่ใช้รูปลักษณ์ของคนทั้งสอง แต่หลังจากวาดจิตสัมผัสออกไป ก็ค้นพบอย่างง่ายดายว่าทั้งสองคนนั้นล้วนอยู่ในระดับผสานอินทรีย์

หนึ่งคนอยู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง อีกหนึ่งอยู่ในระดับสูง

สองคนนี้ หรือว่าคือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สองคนที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องทั้งหมดของภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างที่คนด้านนอกลือกัน

หลังหานลี่เปลี่ยนใจ ก็เป็นเรื่องปกติที่จะคิดเช่นนี้ แต่ร่างกายไม่หยุดนิ่ง ดีดตัวออกไป พุ่งผ่านซุ้มประตูออกไปด้านหลังกว่าสิบจั้ง

เผ่าวิญญาณระดับผสานอินทรีย์ทั้งสองปิดตาไม่เคลื่อนไหว ราวกับไม่รับรู้ถึงผู้บุกรุกแม้แต่น้อย

หานลี่ลอบยิ้มในใจ ในขณะที่กำลังจะเดินทางต่ออย่างไม่สนใจ ทันใดนั้นซุ้มประตูก็ปล่อยแสงสีม่วงออกมาแล้วเกิดเสียงคำรามดังขึ้น

“กล้าดีอย่างไร!”

“ผู้ใดแอบทำลับๆ ล่อๆ อยู่ด้านล่าง!”

คนเผ่าวิญญาณทั้งสองคนที่แต่เดิมมองแล้วเหมือนรูปปั้นดิน ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ต่างคนต่างส่งเสียงตะโกนต่ำออกมา แล้วล้อมหน้าล้อมหลังโจมตีออกมากะทันหัน

ด้านหลังของผู้ชายหัวล้านมีแสงสีแดงอันงดงามวูบออกมา เผยให้เห็นเทวรูปสี่แขนสูงหลายจั้ง ทั่วทั้งร่างกายแวววาวและใสราวกับผลึก มือทั้งสองข้างถือป้ายเจ็ดสีที่มีตัวอักษร ‘หลิง’ ไว้ด้วยกันขยับไปที่พื้นด้านล่างกะทันหัน

เกิดเสียง ดังขึ้น เส้นแสงเจ็ดสีเส้นหนึ่งพุ่งตรงออกไปที่พื้นโดยตรง

ผู้ชายเผ่าวิญญาณอีกคนหนึ่ง หลังจากเสียง “ปึง” ดังขึ้น เปลวไฟสีแดงบนศีรษะลุกโชนขึ้น ควบแน่นเป็นตาข่ายไหมสีแดง ม้วนหมุนไปห่อหุ้มเส้นแสงเจ็ดสีที่พุ่งออกไปทั้งหมด

เส้นแสงสีแดงส่งแสงวูบหนึ่ง และพุ่งตรงลึกลงไปใต้ดินกว่าร้อยจั้ง ภายใต้เส้นแสงสีแดง มีเงาโปร่งแสงเส้นหนึ่งถูกกวาดออกไปโดยไม่ยินยอม พลันร่างมนุษย์ที่แท้จริงปรากฏขึ้นทันที

ที่แท้เป็นมั่วเจี่ยนหลีนั่นเอง

ก่อนที่เขาจะได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ตาข่ายไหมสีแดงผืนนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาที่ศีรษะของเขาโดยไม่สนระยะทางกว่าร้อยจั้ง เกิดเสียง “ปึง” กลายเป็นเปลวเพลิงม้วนกลิ้งออกไป

ใบหน้ามั่วเจี่ยนหลีพลันเย็นชาลง หลังแค่นเสียงออกมา แขนเสื้อข้างหนึ่งพลันสะบัดขึ้นไปกลางอากาศ ทันใดนั้นเกิดพลังสีขาวหลั่งไหลออกมา

ทันทีที่เปลวไปสัมผัสกัน ก็ถูกสูดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่สามารถเข้าไปได้เกินครึ่งเลย

บนใบหน้าของมั่วเจี่ยนหลีแสดงรอยยิ้มเย็นชาต่อแสงเมื่อครู่ออกมา แค่นหัวเราะออกมา ยันต์สีแดงเข้มเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากเปลวเพลิง สว่างวูบหนึ่ง พลันแตกออกเป็นเส้นไหมสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วน

นาทีต่อมา ผิวกายของมั่วเจี่ยนหลีก็ปรากฏเป็นสีแดงโดยไม่มีสัญญาณเตือน โซ่ไฟสีแดงเข้มปรากฏขึ้น พัวพันแล้วรัดร่างกายของมั่วเจี่ยนหลีอย่างแน่นหนา