ภาคที่ 6 บทที่ 54 ศึกชี้ชะตากำลังใกล้เข้ามา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 54 ศึกชี้ชะตากำลังใกล้เข้ามา

ที่บนเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล

ในพระราชวังของนิกายไร้ขอบเขต

ซูเฉินมองไปในกล่องยาวและพบว่ามีกระดูกชิ้นหนึ่งอยู่ในนั้น มันกำลังเปล่งประกายสีแดงสด

กระดูกโลหิตปีศาจนั่นเอง

หลังจากพินิจพิเคราะห์ต่ออีกหน่อยแล้วซูเฉินก็ถอนใจ “ขอบคุณมากแม่ทัพหลิ่ว ที่ท่านพยายามอย่างหนัก”

แม่ทัพหลิ่วตอบ “เจ้านิกายซู กระดูกโลหิตปีศาจนี้ถูกแยกส่วนออกไปแล้วเล็กน้อย”

“หือ ?” ซูเฉินหันไปมองหลิ่วซือถง

หลิ่วซือถงอธิบายต่อทันที “ส่วนที่หายไปนั้นถูกส่งไปยังหลินเมิ่งเจ๋อ”

ได้ยินดังนั้นซูเฉินก็ผงะ “ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้นล่ะ”

“ก็เพื่อจะได้มีชีวิตต่อไปอย่างไรล่ะ” หลิ่วซือถงตอบ “หลินจุ้ยหลิวนั่งดูแม่ทัพหลงตายโดยไม่ช่วยเหลือใด ๆ เลย เป้าหมายของเขาก็คือการที่จะได้พลังจากหลินเมิ่งเจ๋อมาได้ง่ายดายมากขึ้นหลังจากที่เขาตาย… แต่ข้าจะปล่อยให้เขาทำสำเร็จง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน”

ผู้ที่หลิ่วซือถงเกลียดเหลือเกินที่ทำให้หลงพั่วจวินต้องตายนั้นไม่ใช่หลินเมิ่งเจ๋อ ! และความเคียดแค้นนั่นก็หยั่งรากลึกลงในใจของเขาเสียแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น หลิ่วซือถงก็ขุ่นเคืองอยู่เหมือนกันที่หลินจุ้ยหลิวยืนอยู่ตรงนั้นและมองดูหลงพั่วจวินตายโดยที่ไม่ทำอะไรเลย

ดังนั้นไม่นานหลังจากที่หลงพั่วจวินสิ้นใจ หลิ่วซือถงจึงช่วยให้หลินเมิ่งเจ๋อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหน่อยด้วย

เขาต้องการสร้างปัญหาให้กับหลินจุ้ยหลิว หรืออย่างน้อยก็ทำให้หลินจุ้ยหลิวไม่สามารถมีอำนาจควบคุมอาณาจักรหลงซางได้โดยง่าย

ซูเฉินที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่แม่ทัพหลิ่วทำก็ถึงกับพูดไม่ออก

“แต่ถ้าทำแบบนั้น หลินเมิ่งเจ๋อก็จะมีชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี”

หลิ่วซือถงตอบ “เจ้านิกายซู หากปล่อยให้หลินเมิ่งเจ๋อตายไปอย่างนั้น มันก็ดูเหมือนจะเป็นการลงโทษที่เบาไปหน่อยสำหรับเขา พวกเราทั้งหลายที่รับใช้แม่ทัพหลง ต่างก็หวังจะได้เห็นอาณาจักรของเขาเสื่อมลงขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ และโค่นเขาลงจากบัลลังก์เสีย จากนั้นจึงฉีกร่างของจักรพรรดินั่นเป็นชิ้น ๆ เพื่อแก้แค้นให้กับแม่ทัพหลง แต่พวกข้าไม่มีพลังที่แข็งแกร่งพอจะทำเช่นนั้นได้……”

ซูเฉินเข้าใจถึงเจตนาของอีกฝ่ายดี “ก็เลยอยากให้ข้าทำให้อย่างนั้นหรือ ?”

หลิ่วซือถงก้มหน้า “แม่ทัพหลงบอกข้าเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนิกายไร้ขอบเขต ตอนนี้เมื่อหลินเมิ่งเจ๋อก็ได้ยั่วโมโหนิกายของท่านแล้ว ไม่ช้าไม่นานพวกท่านก็จะต้องตอบโต้เขา”

ซูเฉินคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปเพียงว่า “ข้าเข้าใจ”

“ท่านเจ้านิกาย !” หลิ่วซือถงร้องขึ้น

ซูเฉินไม่สนใจคำร้องขอและกล่าวต่อไปด้วยเสียงแผ่วเบา “หากนิกายไร้ขอบเขตต้องการจะแข็งแกร่งให้ได้มากกว่านี้ พวกเราก็ยังต้องการพลังจากผู้ฝึกตนที่เก่งกาจอีกหลายชีวิต”

หลิ่วซือถงเข้าใจทันที “ซือถงยินดีที่จะเข้าร่วมเป็นศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขต หากเจ้านิกายต้องการ ข้าจะกลับไปยังอาณาจักรหลงซางและรวมพลอดีตลูกน้องของข้าด้วย”

ซูเฉินไม่ตอบอะไรอีกและส่งสัญญาณให้หลิ่วซือถงกลับออกไป

…หลังจากหลิ่วซือถงถอยกลับออกไป ในห้องโถงหลักก็พลันเหลือซูเฉินอยู่เพียงคนเดียว

ซูเฉินเพ่งมองกระดูกโลหิตปีศาจในที่บรรจุของมันอยู่นานท่ามกลางความเงียบงัน

จู่ ๆ ชายหนุ่มก็พลันร้องเรียกขึ้น “คนใช้ !”

หนึ่งในศิษย์นิกายไร้ขอบเขตรีบรุดเข้ามาในโถงแห่งนั้น “ขอรับท่านเจ้านิกาย !”

“ส่งข่าวไปยังเขาหมื่นดาบ บอกให้หลินเฉ่าเซวียนทราบว่า…หลงพั่วจวินถูกสังหารในการต่อสู้”

ในพริบตาเดียว… เวลาก็ผ่านไปแล้วถึงสามปี

พวกเขาอยู่ในหุบเหวนี้มานานห้าปีแล้ว

ในช่วงเวลาห้าปีนี้ กองเรือได้ผ่านการต่อสู้และการปะทะเล็ก ๆ น้อย ๆ มามากมาย อีกทั้งยังสังหารอสูรทะเลไปจำนวนนับไม่ถ้วน

อันที่จริงแล้วพวกเขายังได้สร้างเส้นทางการค้าเส้นใหม่จากหุบเหวไปยังแผ่นดินใหญ่อีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่งสำหรับมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้

ในระหว่างนี้ การเปลี่ยนแปลงมากมายก็ได้เกิดขึ้นในหลาย ๆ เขตแดนของทวีปต้นกำเนิดด้วยเช่นกัน

อย่างแรกสุดเลยก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเผ่าคนเถื่อน

ตานปาเป็นฝ่ายชนะ

เมื่อปีก่อนนั้น ตานปาได้นำทัพของเขามุ่งหน้าไปยังปราการกู่หลานและสังหารราชาผู้บ้าคลั่งด้วยตัวเอง รวมถึงยึดเอาวังเค่อเท่อหลู่ไว้ในครอบครอง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การปกครองเผ่าคนเถื่อนของชนเผ่าเพลิงที่กินเวลายาวนานนับพันปีก็สิ้นสุดลง และชนเผ่ากิ้งก่ากรวดก็ขึ้นเป็นผู้กุมอำนาจแทน

สงครามกลางเมืองยังคุกรุ่นอยู่ในอาณาจักรหลงซาง

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั้นยังเกิดผลที่เหนือความคาดหมายอีกด้วย

เดิมทีหลินเมิ่งเจ๋อนั้นเข้าใกล้ความตายเต็มที แต่การแก้แค้นของหลิ่วซือถงกลับมอบโอกาสให้หลินเมิ่งเจ๋อได้โจมตีหลินจุ้ยหลิวอีกครั้ง

หลินจุ้ยหลิวเฝ้ารอที่จะได้ยินข่าวการตายของหลินเมิ่งเจ๋อมานานเหลือเกินแต่มันก็ไม่เกิดขึ้นสักที เขาจึงพลาดโอกาสและหลินเมิ่งเจ๋อก็ได้รวบรวมกำลังพลเพื่อสั่งสอนบทเรียนครั้งใหญ่ให้กับหลินจุ้ยหลิว ณ ที่ราบธารน้ำเซียน

กองทัพขนาดใหญ่ที่หลินจุ้ยหลิวสร้างขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นพ่ายแพ้กองทัพของจักรพรรดิอย่างราบคาบ และในขณะที่พวกเขากำลังจะโจมตีด้วยพลังทำลายล้างนั้นเอง นิกายไร้ขอบเขตก็พลันเข้ามาโจมตีจากด้านหลังซึ่งทำให้หลินเมิ่งเจ๋อตกใจไม่น้อย จนสุดท้ายเหตุการณ์นี้ก็จบลงด้วยการเปิดโอกาสให้หลินจุ้ยหลิวได้หนีไปอีกครั้ง

หลินเมิ่งเจ๋อโกรธจัด และเพ่งความสนใจไปยังเขาหมื่นดาบทันที

หลืนเฉ่าเซวียนนำศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไปยังที่ซ่อนตัว

ทั้งสองฝ่ายต้องตกอยู่ในสงครามเช่นนั้นเป็นเวลานานถึงกว่าครึ่งปี

เมื่อราวสองปีก่อน หลินเมิ่งเจ๋อได้ซุ่มโจมตีศิษย์ระดับสูงของนิกายไร้ขอบเขตด้วยตัวเอง ขณะกำลังจะกำจัดคู่ต่อสู้อยู่นั้น ทหารที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเฉย ๆ เสียอย่างนั้น ซึ่งหลังจากที่โจมตีทัพของอาณาจักรหลงซางและทำให้พรรคพวกของหลินเมิ่งเจ๋อสับสนได้แล้ว… ทหารกลุ่มนั้นก็หายไป

หลินเมิ่งเจ๋อออกค้นหาไปทั่วแต่ก็ไม่พบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับทหารกลุ่มนี้เลย

เรื่องนี้ถูกเก็บเอาไว้นานถึงสองปี และข่าวที่ว่านิกายไร้ขอบเขตมีกองทัพลับก็เริ่มแพร่ออกไป

แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับทหารกลุ่มนี้อีก

แม้ว่าทัพของอาณาจักรหลงซางจะถูกขัดขวางซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็ยังกลับมามีอำนาจได้เรื่อย ๆ ด้วยการหนุนหลังจากราชวงศ์ แต่สำหรับทัพกบฏ การพ่ายแพ้อย่างราบคาบเพียงครั้งเดียวก็สามารถหยุดพวกเขาได้แล้วอย่างถาวร

หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ความละโมบของหลินจุ้ยหลิวทำให้หลินเมิ่งเจ๋อได้โอกาสที่จะสั่งสอนบทเรียนให้เขาอีกครั้ง ความได้เปรียบพลันตกเป็นของหลินเมิ่งเจ๋อเสียเฉย ๆ และสถานการณ์ก็ดำเนินต่อไปเช่นนั้น

ในช่วงปีสุดท้าย หลินจุ้ยหลิวถูกหลินเมิ่งเจ๋อไล่ล่าแทบจะตลอดเวลา

หลินเฉ่าเซวียนขุ่นเคืองใจกับหลินจุ้ยหลิวเหลือเกินกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลงพั่วจวิน ในตอนแรกเขาช่วยหลินจุ้ยหลิวไว้ก็เพราะความจำเป็น แต่คราวนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องปราณีคนคนนี้อีกต่อไป

เพราะเขารู้ดีว่าในไม่ช้า ชายแก่คนนี้ก็จะสิ้นสุดหน้าที่ในโลกใบนี้แล้ว

เมื่อเวลาผ่านไปครบห้าปี ในที่สุดหลินจุ้ยหลิวก็ต้องจนมุมเพราะการไล่ล่าของหลินเมิ่งเจ๋อ

เขาส่งจดหมายมากมายไปยังนิกายไร้ขอบเขตเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หลินเฉ่าเซวียนก็แสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นพวกมันและขอรับชมการแสดงอยู่ที่ตรงนั้น

หลินจุ้ยหลิวสบถด้วยความเกรี้ยวกราด “ถ้าวันนี้ข้าต้องลงหลุม นิกายไร้ขอบเขตก็จะเป็นรายต่อไป !”

สีหน้าของหลินเฉ่าเซวียนยังคงสงบนิ่ง “ถ้าลองคำนวณเวลาดู…นี่ก็น่าจะได้เวลาที่พวกเขาจะลงมือแล้วละ…”

หวูดดดด !

เสียงทุ้มต่ำของแตรสังข์ดังขึ้นอีกครั้ง

ทั้งกองเรือพากันรวมพลโดยไม่รอช้า และแม้ว่าจะรวมพลกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในห้าปีที่ผ่านมานี้ ทว่าคราวนี้กลับมีบางอย่างแตกต่างออกไป

พระราชวังขนาดมหึมาลอยไปในอากาศ ขนาบข้างด้วยเรือมังกรแปดลำด้วยกัน

เรือใบฝีจักรและเรือรบจำนวนนับไม่ถ้วนลอยโคลงไปมาอยู่ในน้ำ ขณะที่ทหารทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด

วันนี้คือวันที่พวกเขารอมานาน

สามวันก่อนหน้านี้ ทหารทั้งหลายได้รับการเตือนแล้วว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้น

ซูเฉินยืนอยู่ที่หน้าพระราชวังและมองดูผู้คนที่เบื้องล่าง เสียงของเขาพลันดังลั่นขึ้นราวกับฟ้าถล่มและสะท้อนก้องกังวานไปในโสตประสาทของทหารทุกคน

“เรารวมตัวกันมาได้ห้าปีแล้ว หลังจากผ่านเวลาห้าปีแห่งสงครามและการนองเลือด เวลาห้าปีแห่งการวิจัย เวลาห้าปีแห่งการรอคอย ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ใช่แล้ว พวกเรากำลังมุ่งหน้าเข้าไปในหุบเหวเพื่อทำลายอสูรทะเลพวกนั้นและกำจัดฝันร้ายที่หลอกหลอนชาวสมุทรมานานหลายหมื่นปีให้สิ้นซาก”

“การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องดุเดือดและเต็มไปด้วยการหลั่งเลือด !”

“จริงอยู่ที่ข้าค้นพบและแก้ไขปัญหาได้หลายอย่างจากการวิจัยในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่ายังมีปัญหาบางอย่างที่ยังแก้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เรากำลังทำสงคราม และเราจะมัวรอให้ทุกอย่างลงตัวก่อนที่จะโจมตีนั้นไม่ได้ นอกจากยุทธวิธีและการเตรียมการของเราแล้ว กองทัพก็ยังต้องการพลัง ความศรัทธา ความกล้าหาญ และจิตวิญญาณที่พร้อมจะเสียสละอีกด้วย”

“ข้าขอบคุณจริง ๆ ที่วันนี้ข้าไม่เห็นความกลัวปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แม้ว่าพวกเราจะยังไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังแค่ไหน และไม่รู้เลยว่าเราจะมั่นใจได้แค่ไหนว่าจะชนะ”

“นี่คือพันธมิตรของเรา ! ทุกคนคือผู้ฝึกตนของเรา !”

“สิ่งที่ข้าเห็นในตัวทุกคนนั้นไม่ใช่เพียงอำนาจและความแข็งแกร่ง แต่เป็นอนาคตของมนุษยชาติ”

ซูเฉินกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง

เขาหยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อไป “ได้เวลาที่ข้าจะบอกทุกคนแล้วละว่าพวกเรามีพลังอะไร และเราจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร”

“จักรพรรดิอสูรทะเลในหุบเหวแข็งแกร่งเป็นพิเศษก็เพราะพวกมันพึ่งพาท้องสมุทรโศกา แต่วันนี้ ข้าค้นพบหนทางในการทำลายพลังนั่นแล้ว สิ่งที่ข้าได้เตรียมไว้ในหุบเหวกำลังจะมีผลในไม่ช้า และวันนี้ก็ได้เวลาที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตของเรา ข้าวิจัยตัวยาที่จะสามารถทำให้จักรพรรดิอสูรทะเลอ่อนแอลง และจากนั้นเราก็จะสามารถฆ่ามันได้ แต่เราก็มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา”

ซูเฉินยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “ครึ่งชั่วยาม ! เรามีเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น เมื่อครบครึ่งชั่วยามแล้ว จักรพรรดิอสูรทะเลก็จะฟื้นคืนพลังกลับมาอีกครั้ง”

“ดังนั้นก็อย่างที่ข้าบอก แม้ว่าเราจะมียาที่ช่วยกดพลังของฝ่ายตรงข้ามได้ แต่กุญแจสำคัญสู่ชัยชนะก็ยังคงเป็นความกล้าหาญของพวกเรา !”

“ความกล้าหาญเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ความกล้าหาญเท่านั้นที่จะพาพวกเราสู้ต่อไปได้อย่างไม่ลดละ และความกล้าหาญเท่านั้นที่จะทำให้พวกเราหัวเราะเยาะต่อความตายได้”

“วันนี้ เราจะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิอสูรทะเลที่อยู่ในหุบเหว !!”

“วันนี้ พวกเราจะทำลายหุบเหวให้สิ้นซาก และเปลี่ยนมันให้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เท่านั้น !!!”

“วันนี้ พวกเราจะสร้างปาฏิหาริย์ให้กับมวลมนุษยชาติ !!!!”

ซูเฉินคำราม

“ทำลายหุบเหว สร้างปาฏิหาริย์ !”

“ทำลายหุบเหว สร้างปาฏิหาริย์ !”

“ทำลายหุบเหว สร้างปาฏิหาริย์ !”

เหล่าทหารกล้าพร้อมใจกันส่งเสียง

“ไปเลย !”

หวูดดด !!!

แตรสังข์ดังขึ้นอีกครั้งและกองเรือก็เริ่มออกมุ่งหน้าไปยังกระแสน้ำวนของหุบเหว

นี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่ว่าศัตรูของพวกเขาจะถูกกำจัดไปได้หรือไม่ก็ตาม

แต่อย่างที่ซูเฉินกล่าว… ทัพเรือนั้นไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย

สถานการณ์เดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับอสูร และในวันนี้ ปาฏิหาริย์ก็กำลังจะเกิดขึ้น !!!