ภาคที่ 6 บทที่ 55 เข้าสู่หุบเหว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 55 เข้าสู่หุบเหว

กองเรือขนาดมหึมาเฝ้ารอด้วยความอดทนอยู่ที่ปากทางเข้าของหุบเหว

พวกเขาคุ้นเคยกับ ‘สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา’ แห่งนี้จนมันกลายเป็นเหมือนสวนหลังบ้านไปเสียแล้ว และทุกคนก็เข้าออกที่นี่หลายครั้งจนไม่มีใครนับอีกต่อไป

คลื่นอสูรทะเลในหุบเหวรวมตัวขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทหารทั้งหลายก็ได้กินเนื้ออสูรทะเลไปแล้วมากมายจนเริ่มจะเบื่อเต็มที

ทว่าในวันนี้ ทุกอย่างกำลังจะจบลง

กองเรือเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้ทางเข้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และทิ้งสมอลงในบริเวณใกล้เคียง

ทหารสอดแนมสองคนตรวจสอบรอบบริเวณกระแสน้ำวนอีกรอบก่อนที่จะรายงานกลับมา “เจ้านิกาย ภารกิจการล่าสำเร็จแล้ว เราจับตัวราชันอสูรได้หนึ่งตน และอสูรกายได้สองตน”

ราชันอสูรเพียงตนเดียวที่แข็งแกร่งพอจะทำให้เมืองทั้งเมืองบนแผ่นดินใหญ่ล่มสลายได้กลับถูกจับตัวโดยหน่วยสอดแนมทั้งสองคนอย่างง่ายดายเสียอย่างนั้น เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาจัดการราชันอสูรไปมากเพียงไรในห้าปีที่ผ่านมา

ซูเฉินไม่ชายตามองราชันอสูรด้วยซ้ำ เขากลับหยิบเอาของบางอย่างออกมาในทันใด

สิ่งที่ชายหนุ่มนำออกมานั้นเป็นกระเป๋า ที่เมื่อเปิดขึ้นก็มีแมลงฝูงใหญ่คลานยั้วเยี้ยออกมาทันที พวกมันมีขนาดเท่ากำปั้น มีปีกใสคู่หนึ่งที่หลัง และมีจงอยปากอันแหลมคมอยู่ที่ด้านหน้า แมลวงพวกนี้คือแมลงวิบัตินั่นเอง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซูเฉินได้ทำการวิจัยมากมายในหลาย ๆ ด้าน เขาใช้ความพยายามส่วนหนึ่งไปกับการศึกษาแมลงพวกนี้ด้วย

และในตอนนี้พวกมันก็กลายมาเป็นอาวุธที่ซูเฉินจะนำมาใช้เพื่อจัดการกับจักรพรรดิอสูรทะเลในหุบเหว ในที่สุดเขาก็เอาพวกมันออกมาใช้ในการเดินทางครั้งสุดท้ายนี้

แมลงวิบัติพวกนี้ถูกดัดแปลงมาจากแมลงวิบัติตัวเดิมของซูเฉินนั่นเอง พวกมันมีความแตกต่างบางอย่างกับตัวแมลงดั้งเดิมอยู่บ้าง ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ไม่เหมือนกันนั้นก็คือแมลงพวกนี้อ่อนแอกว่าสายพันธุ์ต้นฉบับ

แมลงวิบัติดั้งเดิมนั้นมีภูมิต้านทานต่อการโจมตีทุกชนิดของพลังจากต้นกำเนิด และพวกมันก็ยังมีความสามารถในการเคลื่อนที่ไปในกระแสพลังต้นกำเนิดได้ หรือก็คือสามารถไล่ตามทักษะต้นกำเนิดเพื่อตาต้นตอได้นั่นเอง และนอกเหนือจากนั้น การโจมตีของแมลงพวกนี้ก็ยังสามารถทะลุทะลวงเกราะป้องกันจากพลังต้นกำเนิดอีกด้วย

แมลงต้นฉบับของซูเฉินสามารถต่อกรกับผู้ใช้พลังต้นกำเนิดได้ทุกคน พวกมันไม่เกรงกลัวการโจมตีจากพลังชนิดนี้ และเป็นแมลงที่สามารถสยบได้ด้วยวิธีการทางกายภาพเท่านั้น

หากมองเผิน ๆ แมลงวิบัติฉบับของซูเฉินในตอนนี้นั้นดูจะด้อยกว่า เพราะแทนที่มันจะมีภูมิคุ้มกันต่อพลังต้นกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์ มันกลับต้านทานได้เพียง 80 ส่วนเท่านั้น แม้ว่านี่อาจเป็นความสามารถที่ฟังดูน่าประทับใจ แต่จากร่างกายที่ค่อนข้างเปราะบางของพวกมัน นั่นก็หมายความว่า 20 ส่วนที่เหลือนั้นสามารถส่งผลกระทบและอาจฆ่าพวกมันได้โดยง่าย

ความสามารถในการทะลวงผ่านเกราะป้องกันพลังต้นกำเนิดของพวกมันมีจำกัด ดังนั้นแมลงของซูเฉินจึงต้องใช้เวลานานกว่าเพื่อที่จะผ่านไปได้

ซูเฉินไม่สามารถแก้ไขหรือทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ แมลงวิบัตินั้นยากเกินกว่าที่จะควบคุมได้ หากเขาต้องการที่จะแก้ปัญหาที่กล่าวมา ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อวิจัยต่อไป

ในท้ายที่สุด เขาก็เลือกที่จะให้การกลายพันธุ์ของพวกแมลงทำให้ศักยภาพของมันลดลง ซึ่งทำให้ซูเฉินสามารถควบคุมพวกมันได้ง่ายมากขึ้นด้วย

แนวความคิดเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาในการย้อนกลไกของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อแก้ปัญหา ‘ถ้าข้าไม่สามารถควบคุมพวกเจ้าได้อย่างนี้ ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนกว่าข้าจะควบคุมได้’

นี่คือความคิดริเริ่มที่นำมาสู่การให้กำเนิดแมลงวิบัติในแบบฉบับใหม่นั่นเอง

ซูเฉินฝึกแมลงเหล่านี้จนเชื่อง และแมลงทุกตัวนั้นเป็นเพศเมีย

สิ้นเสียงผิวปากของชายหนุ่ม แมลงวิบัติทั้งหมดก็บินขึ้นไปในอากาศและมุ่งหน้าเข้าหาราชันอสูรกับเจ้าอสูรกายที่เพิ่งถูกจับตัวไว้ได้ทันที

อสูรทะเลถูกขังเอาไว้แล้วอย่างแน่นหนา พวกมันทำได้เพียงอาละวาดอย่างสิ้นหวังและส่งเสียงร้องโหยหวนเมื่อเหล่าแมลงคืบคลานเข้าไปในร่าง แต่กระนั้นเสียงคำรามของอสูรทะเลทั้งหลายก็มีแต่จะกระตุ้นความกระหายเลือดของแมลงวิบัติเท่านั้น

ฝูงแมลงเริ่มกัดกินภายในของอสูรทะเลโดยไม่รอช้าและเอาพลังออกมาเป็นจำนวนมาก ก่อนที่พวกมันจะเข้าสู่ระยะการขยายพันธุ์ในที่สุด

ความสามารถในการสืบพันธุ์ของแมลงวิบัตินั้นสูงเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่มีอาหารเพียงพอ ก็ทำให้มันสามารถสืบพันธุ์ได้เรื่อย ๆ

ร่างของอสูรทะเลทั้งสามกลายเป็นสถานที่สืบพันธุ์ให้กับแมลงวิบัติไปเสียแล้ว ไม่ช้าฝูงแมลงที่บังเกิดขึ้นมาใหม่ก็เริ่มเข้ากัดกินร่างยักษ์พวกนั้นด้วย

เพื่อให้แน่ใจว่าแมลงวิบัติพวกนี้จะไม่หลุดออกไปจากความควบคุม ซูเฉินจึงได้ให้พวกมันกินยาที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานไปกว่าครึ่งชั่วยามเท่านั้น

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ซูเฉินก็คาดว่าได้เวลาอันเหมาะสมแล้ว จึงส่งสัญญาณให้ทหารอีกกลุ่มที่อยู่ไกลออกไป

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตที่คุ้มกันอยู่บริเวณทางเข้าหุบเหวก็พากันส่งสัญญาณเช่นกัน และเรือลำหนึ่งก็แล่นตรงมาทางพวกเขา

เรือลำนี้มีความประหลาดอยู่เล็กน้อยเพราะในนั้นเต็มไปด้วยถังเหล้า

ถังเหล้าจำนวนหลายพันถังถูกขนส่งผ่านมหาสมุทรด้วยเรือลำนี้ โดยมีจงเจิ้นจวินผู้ฝึกตนด่านมหาราชันได้รับหน้าที่ให้คุ้มกันเรือลำนี้ นั่นแปลว่ามันจะต้องเป็นเรือที่มีความสำคัญมากอย่างแน่นอน

“ปล่อยออกไปเลย !”

สิ้นคำสั่งนั้น จงเจิ้นจวิ้นก็ลงมือทันที ลำเรือนั้นลอยสูงขึ้นก่อนจะดิ่งลงสู่หุบเหวในทันใด ในตอนนั้นเองประกายพลังต้นกำเนิดก็ปะทุขึ้นจุดไฟเผาถังเหล้าทั้งหมด ของเหลวสีน้ำเงินซีดสาดกระเซ็นไปทุกทิศทาง ทันใดนั้นมันก็หายวับไปในหุบเหวพร้อมกับเรือลำนั้น……

ของเหลวนี้คือยาอีกชนิดหนึ่งที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นเพื่อใช้จัดการกับท้องสมุทรโศกา

เพราะว่ายานี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีเป้าหมายที่จะใช้งานกับทั้งหุบเหว จึงจำเป็นต้องมียาเต็มลำเรือถึงจะมากพอ และเพื่อที่จะผลิตยาจำนวนมากถึงเพียงนี้ได้ กองเรือก็ต้องใช้ทรัพยากรไปมากโข หากพวกเขาต้องการที่จะทำยานี้ขึ้นมาในปริมาณเท่าเดิมอีก ก็คงจะต้องใช้เวลาอีกถึงห้าปี หรืออาจนานกว่านั้น เพราะส่วนประกอบหลายอย่างยิ่งหาได้ยากมากขึ้นทุกทีแล้ว

ยาของซูเฉินถูกปล่อยออกไป เช่นเดียวกับแมลงวิบัติ… เขาเตรียมการนี้มาเพื่อการต่อสู้ในครั้งนี้โดยเฉพาะ

อันที่จริงจะเรียกว่าการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นแล้วก็ไม่ผิดนัก สิ่งที่พวกเขาลงมือทำไปนั้นถือเป็นการเริ่มต้นของสงครามเท่านั้น

จักรพรรดิอสูรทะเลในหุบเหวที่ไร้ซึ่งสติปัญญานั้นไม่มีทางเตรียมการตอบโต้ล่วงหน้าได้ ซึ่งทำให้กองเรือได้โอกาสครั้งสำคัญมาในครอบครองทันที

และสิ่งที่ทำให้พวกเขาผ่านศึกที่แสนยากลำบากครั้งนี้มาได้… มันก็คือความแข็งแกร่งทางจิตใจนั่นเอง !

“ยาพวกนี้จะทำให้พวกมันอ่อนแอได้แค่ไหนกัน” หนึ่งในทหารกล้าถามขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

พวกเขารู้เพียงว่ายานี้จะสามารถทำให้จักรพรรดิอสูรทะเลอ่อนกำลังลงได้ แต่ซูเฉินไม่เคยบอกเลยว่ามันมีฤทธิ์รุนแรงเพียงใด

อาจเพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้แน่ชัดเช่นกันว่ายานี้มีอานุภาพเพียงไร

“อสูรทะเลแต่ละตัวก็แตกต่างกันไป บางตัวก็มีความสามารถในการต้านทานพิษโดยกำเนิด ส่วนบางตัวก็ไม่ อสูรบางตัวมีขั้นตอนการเจริญเติบโตที่แตกต่างไป และพวกที่เข้ามาติดใจท้องสมุทรโศกาโดยที่เป็นเพียงอสูรทะเลธรรมดา ๆ ก็จะได้รับผลมากกว่าอสูรทะเลที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว อสูรบางตัวอาจเป็นถึงจักรพรรดิอสูรทะเลอยู่แล้วก็ได้ และพวกนั้นก็จะได้รับผลน้อยลงไปอีก ดังนั้นยานี่จะอ่อนกำลังอสูรทะเลได้มากเพียงไรนั้น… ก็ยากที่จะบอกได้” ซูเฉินอธิบายด้วยความเสียดาย

คนที่เข้าใจในคำบอกเล่าของซูเฉินจึงเริ่มที่อธิบายให้กับคนอื่น ๆ ต่อไปโดยเลือกใช้คำที่ง่ายขึ้น “อีกอย่าง สรรพคุณของยานี้ก็ยังขึ้นอยู่กับเวลาและปัจจัยอีกหลายอย่างด้วย ดังนั้นแล้วจึงยากยิ่งนักที่จะคาดเดาได้ว่ามันจะลดพลังของพวกนั้นได้เท่าไร ซึ่งก็คือสาเหตุที่เจ้านิกายไม่สามารถบอกตัวเลขที่ชัดเจนกับพวกเราได้”

“สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีมากที่สุดในการต่อสู้ก็คือความกล้าหาญ เราจะสู้อย่างเต็มที่และปล่อยให้ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของโชคชะตา”

“ถูกต้อง นักรบน่ะไม่ถามมากหรอก สิ่งเดียวที่พวกเขาทำก็คือเตรียมตัวตายเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราจะมัวรออะไรกันอยู่ล่ะ ?”

“ก็รอให้ยานั่นออกฤทธิ์ และก็แน่นอนว่าก็ต้องรอให้แมลงวิบัติได้ขยายพันธุ์อีกสักหน่อยด้วย เจ้าถามมากเกินไปแล้ว ทำไมไม่คิดเอาเองเสียบ้างล่ะ ?”

“หุบปากเสียเถอะ”

คำสั่งโดยตรงจากผู้นำทำให้เสียงพูดคุยเงียบลงทันที ดูเหมือนว่าแม้แต่คลื่นในน้ำก็จะนิ่งสงบตามไปด้วย

แต่กระนั้นทุกคนก็รู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในที่ที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้

ไม่มีใครรู้ว่ายาของซูเฉินทำงานได้ดีหรือว่ากำลังสลายหายไปกับน้ำ แต่แมลงวิบัติก็ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้บ้างแล้ว

ตอนนี้ร่างขนาดยักษ์ทั้งสามร่างถูกกัดกินไปจนแทบหมดสิ้น แมลงฝูงใหญ่บินออกมาจากซากของมันอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหล่าทหารที่ได้เห็นต่างขนลุกชันไปตาม ๆ กัน

หึ่งงงงง !

เสียงหึ่งดังขึ้นทั่วฟ้าขณะที่ แมลงวิบัติพากันมุ่งหน้าเข้าไปในหุบเหวทำหน้าที่เป็นทัพหน้า

เหล่าแมลงเป็นเหมือนปลายหอกที่เบิกทาง เป็นทหารที่รบพุ่งในสงคราม และผู้สืบทอดเจตนารมณ์

หลังจากที่แมลงวิบัติเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่หุบเหวแล้ว ชาวสมุทรก็เป็นกลุ่มต่อไปที่กำลังจะเคลื่อนไหว

ราชาแห่งท้องทะเลทั้งเจ็ดปรากฏกายขึ้น โดยมีผู้นำของชาวสมุทรนามห่งหยุนอยู่ที่เบื้องหน้า

ชาวสมุทรโจมตีอย่างเต็มกำลังในภารกิจที่สำคัญยิ่งครั้งนี้ นอกจากกลุ่มที่ทำหน้าที่หลักในการป้องกันแล้ว นักสู้แทบทุกคนต่างก็มาเข้าร่วมในภารกิจนี้ด้วย รวมทั้งห่งหยุนเองก็เช่นกัน

ชาวสมุทรคนนี้มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าปกติ และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเส้นขนสีแดงเพลิง

ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ในขณะที่มือข้างหนึ่งถือตรีศูลและกวัดแกว่งไปมา

ตรีศูลนี้เป็นอาวุธอันโด่งดังของชาวสมุทรที่มีชื่อว่า ตรีศูลเจ้าสมุทร

“ท่านผู้นำห่งหยุน ข้าขอมอบเรื่องนี้ให้ท่านจัดการ” ซูเฉินกล่าวพร้อมกับประกบมือเพื่อทักทาย

ซูเฉินกับห่งหยุนเคยพบกันมาแล้วหลายครั้งในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ดังนั้นการทักทายของเขาจึงไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนัก

“เราชาวสมุทรรอวันนี้มานานแสนนานแล้ว” ห่งหยุนกล่าวขึ้น

ชาวสมุทรเฝ้ารอเวลานี้มานานอย่างที่เขาว่าจริง ๆ

ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะยอมเป็นทัพหน้าโดยไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

หลังจากสิ้นเสียงคำสั่ง ราชาแห่งท้องทะเลทั้งเจ็ดก็กระโดดลงไปในหุบเหวเพื่อโจมตีทันที

ทว่า ครั้งที่สามของการโจมตีนั้นไม่ใช่กลุ่มทหารแต่อย่างใด

หุ่นเชิดกลุ่มใหญ่เริ่มพุ่งตัวออกมาจากตำหนักลอยฟ้า…….

หุ่นเชิดยักษ์นั่นเอง !

เมื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าแล้ว ซูเฉินจึงได้เผยไพ่ตายของเขาออกมาอีกหนึ่งอย่าง

แมลงวิบัติมีความสามารถในการต่อสู้ที่จำกัด แต่หุ่นเชิดยักษ์นั้นเป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของซูเฉิน

แม้ว่าเขาจะมีหุ่นเชิดเพียง 40 ตัวเท่านั้น แต่คุณภาพของหุ่นเชิดทุกตัวก็อยู่ในขั้นยอดเยี่ยม หุ่นเชิด 36 ตัวในนั้นเป็นระดับภูผา ซึ่งแต่ละตัวนั้นแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับทหารหนึ่งกองทัพได้อย่างง่ายดาย พลังของพวกมันเทียบได้กับผู้ฝึกตนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเลยทีเดียว

ส่วนหุ่นเชิดอีก 4 ตัวที่เหลือนั้นเป็นระดับมโหฬาร

โดยหุ่นเชิดระดับมโหฬารเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากโลหะกลั่นเทพดาราที่ซูเฉินช่วงชิงเอามาจากนิกายแห่งพระแม่ และโลหะคุกนิลกาฬที่เขาได้มาจากหยงเยี่ยหลิวกวง จากนั้นด้วยความสามารถของช่างฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งได้สร้างแกนพลังแห่งซาร์คระดับสองขึ้นจากพิมพ์เขียวมากมาย ซูเฉินจึงสามารถสร้างหุ่นเชิดทั้งสี่ตัวนี้ขึ้นมาได้

การสร้างหุ่นเชิดยักษ์นั้นเรียกได้ว่าเป็นการผลาญทรัพยากรของซูเฉินไปจนแทบจะหมดสิ้น

หุ่นเชิดระดับมโหฬารนั้นแข็งแกร่งพอกับผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน

ไม่มีใครรู้ว่านี่คือไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของซูเฉินแล้วจริง ๆ หรือไม่

จงเจิ้นจวินเคยเชื่อว่านิกายไร้ขอบเขตเป็นสุดยอดไม้ตายของซูเฉินแล้ว แต่กลายเป็นว่านิกายนั้นยังไม่ใช่ไม้ตายที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด… มันเป็นมีพลังเพียงระดับกลางเท่านั้น !!!

เขาไม่รู้ว่าซูเฉินต้องผลาญเงินไปมากมายเพียงไรเพื่อที่จะสร้างหุ่นเชิดกลุ่มนี้ขึ้นมา

แต่แม้ว่าหุ่นเชิดระดับมโหฬารจะแข็งแกร่งนัก แต่มันก็มีเพียง 4 ตัวเท่านั้น และการใช้งานพวกมันก็ต้องใช้ทรัพยากรอีกมากด้วย ซึ่งก็คือสาเหตุที่ซูเฉินไม่ค่อยอยากจะใช้พวกมันโดยไม่จำเป็น

แต่วันนี้ เวลานั้นได้มาถึงแล้ว !

หัวใจของจงเจิ้นจวินสั่นสะท้านเมื่อเห็นกลุ่มหุ่นเชิดที่ไร้เทียมทานพุ่งตัวเข้าไปในหุบเหว

นี่เขามีไพ่ตายอีกกี่อย่างกันแน่ ?

แม้ว่าความปรารถนาที่จะต่อสู้เพื่อควบคุมซูเฉินให้ได้นั้นจะหายไปนานแล้ว แต่นิสัยชอบการแข่งขันก็ยังทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกโจมตีอยู่ดี

ราวกับว่าภาพทุกอย่างที่เขาเคยจินตนาการไว้ทั้งหมดพลันถล่มทลายลงต่อหน้าต่อตา

คลื่นลูกที่สี่ของการโจมตีในคราวนี้เป็นซูเฉินกับกู่ชิงลั่วที่กระโดดเข้าไปในหุบเหวอย่างกล้าหาญ !!!