บทที่ 56 โจมตีโดยตรง (1)
บางทีอาจเป็นเพราะกองทัพเรือได้เข้ามาและออกไปจากหุบเหวนรกอย่างต่อเนื่องในไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เหล่าจักรพรรดิอสูรทะเลได้เริ่มปรับไปตัวอย่างช้า ๆ
ในตอนนี้ ทุกครั้งที่กองทัพเรือเข้าไป ก็จะมีจักรพรรดิอสูรทะเลบางตัวที่รอคอยอยู่ที่บริเวณทางเข้า ดังนั้นแล้ว ทุกการเดินทางไปยังหุบเหวนรกก็จะเริ่มต้นด้วยสงครามที่ดุเดือดอยู่เสมอ
กองทัพเรือเริ่มเคยชินกับนิสัยนี้…… บ้าง
แต่สถานการณ์ก็ต่างออกไปอย่างชัดเจนในคราวนี้
เมื่อซูเฉินและกู่ชิงลั่วเข้ามา พวกเขาก็พบว่าแม่ทัพชาวสมุทรทั้ง 7 และหุ่นเชิด 40 ตัวจากนิกายไร้ขอบเขตได้กำจัดจักรพรรดิอสูรทะเลทั้ง 3 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่ผสานกันมากมาย จักรพรรดิอสูรทะเลทั้ง 3 ก็ถูกต้อนจนมุมและได้แต่ตอบโต้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไปตามสัญชาตญาณ
“เริ่มต้นได้ไม่แย่” ซูเฉินชม
“แต่มันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเช่นกัน” กู่ชิงลั่วเสริม
แม้ว่าจักรพรรดิอสูรทะเลจะทรงพลัง แต่กองทัพเรือก็จะออกจากหุบเหวนรกทันทีหลังจากที่เก็บเกี่ยวทรัพยากรที่จำเป็นมาแล้ว แต่คราวนี้ พวกเขาวางแผนที่จะอยู่ที่หุบเหวนรกต่อไปอีก 1 ก้านธูป
เพียงก้านธูปเดียวก็เพียงพอสำหรับจักรพรรดิอสูรทะเลทั้งหมดในหุบเหวนรกที่จะสังเกตเห็นถึงความโกลาหลและรีบรุดตามมา
โดยไร้ซึ่งคำถาม นี่เป็นแรงกดดันมหาศาลสำหรับกองทัพเรือ กระทั่งด้วยการเตรียมการอันถี่ถ้วนทั้งหมดนี้ มันก็เป็นไปได้ที่เราจะชะล่าใจมากเกินไป
ห่งหยุนตะโกนลั่น “ซูเฉิน ที่เหลือขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
“เข้าใจแล้ว” ซูเฉินดึงเอากระเป๋าออกมาและขยับมือเป็นสัญลักษณ์ หุ่นเชิดระดับมโหฬารทั้ง 4 บินเข้ามาในทันใดและกลายร่างเป็นลำแสง 4 เส้นขณะที่พวกมันเข้ามาในกระเป๋าใบนั้น
กองทัพเรือจะยังคงอยู่ที่นี่เพื่อยื้อเวลาเหล่าจักรพรรดิอสูรทะเลและปิดทางออกของพวกมัน ในขณะที่ซูเฉินจะทำลายท้องสมุทรโศกา หุ่นเชิดระดับมโหฬารทั้ง 4 จะเป็นผู้อารักขาของเขา
ซูเฉินและกู่ชิงลั่วเคลื่อนกายไปรอบกองทัพเรือและบินออกไปในทิศทางหนึ่ง
หลงจากที่เข้ามาในหุบเหวนรกหลายต่อหลายครั้ง เพราะความสั้นของการเดินทางเก็บเกี่ยวครั้งก่อนหน้า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูเฉินจะพบโอกาสในการมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนจริง ๆ
แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเตรียมพร้อมต่อทุกผลลัพธ์ บ่อยครั้ง การปรับตัวเฉพาะหน้านั้นสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเตรียมการที่ละเอียดถี่ถ้วนแม้แต่น้อย
กำลังพลของกองทัพเรือยังคงหลั่งไหลเข้าไปในหุบเหวนรกและกดดันจักรพรรดิอสูรทะเลในบริเวณนั้น ผู้คนที่เข้ามาก่อนเริ่มจัดเตรียมค่ายกลเพื่อป้องกันกองทัพเรือที่เหลือจากการโจมตีของเหล่าจักรพรรดิอสูรทะเล
ซูเฉินและกู่ชิงลั่วบินตรงไปสักพักใหญ่ก่อนที่เกาะแห่งหนึ่งจะปรากฏขึ้นไกลออกไป
ที่จริงแล้วเกาะนี้นั้นไม่ใช่เกาะ แต่เป็นจักรพรรดิเต่ายักษ์ต่างหาก
เมื่อครั้งซูเฉินส่งร่างเลียนแบบของเขาออกไปลาดตระเวนพื้นที่นี้ในอดีต ร่างเลียนแบบที่เดินทางไปในทิศทางนี้ได้ถูกเขมือบโดยเต่ายักษ์ตัวนี้
จักรพรรดิอสูรเต่าชอบที่จะใช้เวลาของมันในการพักผ่อนและมักจะยืนอยู่ในบริเวณนี้อย่างไร้การเคลื่อนไหว กองทัพเรือได้ต่อสู้กับจักรพรรดิอสูรทะเลที่ใกล้ทางเข้ามาหลายสิบครั้ง แต่ซูเฉินก็ไม่เคยพบเห็นเต่ายักษ์ตัวนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว
แต่หากมนุษย์คนใดเข้าไปใกล้ มันก็จะจู่โจมในทันทีตามธรรมชาติ
โชคไม่ดีนักที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงเต่าตัวนี้หากต้องการจะไปถึงยังท้องสมุทรโศกา มันเป็นเหมือนกับผู้เฝ้าประตูสำหรับท้องสมุทรโศกาเลยทีเดียว
ซูเฉินหยุดนิ่งลงเหนือร่างของเต่าตัวยักษ์พอดิบพอดี
แม้ว่าเต่ายักษ์จะยังคงนิ่งสนิท ซูเฉินก็มั่นใจว่าเจ้าเต่าตัวนี้จะโจมตีทันทีหากก้าวต่อไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว
เขาสามารถควบคุมระยะห่างไว้ได้อย่างแม่นยำเพราะเขาได้ใช้ร่างเลียนแบบถึง 3 ร่างในการประเมินระยะโจมตีของเต่าตัวนี้
ซูเฉินมองไปยังเต่ายักษ์อย่างเยือกเย็นและเอ่ยขึ้น “เราจะใช้เจ้าในการทดสอบพลังของเจ้าพวกนี้”
เสียงหึ่ง ๆ ที่ทำให้ต้องเสียวสันหลังวาบแทรกซึมเข้ามาในอากาศขณะที่แมลงภัยพิบัติฝูงยักษ์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
แมลงภัยพิบัติเหล่านี้ หลังจากที่ถูกส่งเข้ามาในหุบเหวนรกเพื่อดึงดูดความสนใจของเหล่าจักรพรรดิอสูรและรับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อ พวกมันก็ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งยังคงอยู่ที่สนามรบหลักและจะกัดกินเลือดเนื้อ สืบพันธุ์ และเพิ่มจำนวนของพวกตน ในขณะเดียวกัน อีกกลุ่มหนึ่งก็ติดสอยห้อยตามมากับซูเฉินด้วย
ตามคำสั่งของซูเฉิน แมลงภัยพิบัติกลุ่มใหญ่พุ่งตรงออกไป
จักรพรรดิอสูรเต่าสามารถสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่กำลังใกล้เข้ามา และเกาะเล็ก ๆ นั้นก็ยกสูงขึ้นมาจากผิวน้ำ เผยให้เห็นร่างใหญ่ยักษ์ของอสูรเต่า คอยาวเหยียดพุ่งออกมาจากรูบนกระดองขณะที่มันขู่คำรามใส่ซูเฉินอย่างดุร้าย
เสียงคำรามนั้นดังออกไปไกลหลายลี้ราวกับสายฟ้า
โชคไม่ดีนักที่เสียงคำรามอันน่าเกรงขามนี้ไร้ค่าไปโดยสิ้นเชิงต่อแมลงภัยพิบัติ ที่จริงแล้ว มันมีแต่จะระบุเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นให้แก่พวกมันเท่านั้น
จักรพรรดิอสูรเต่าพ่นลมหายใจออก ปล่อยควันไอน้ำกลุ่มยักษ์ขึ้นไปบนท้องฟ้า
เต่าชราตัวนี้มักจะชอบหดตัวและปกป้องตนเองอยู่ภายในกระดองของมัน แต่ในคราวนี้ มันกำลังเป็นฝ่ายเริ่มปล่อยไอน้ำขึ้นไปในอากาศเสียอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่ามันมองฝูงแมลงภัยพิบัติเป็นภัยคุกคามที่ไม่อาจเมินเฉยได้
หยดไอน้ำเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยพลังที่น่าหวาดกลัวของสิ่งมีชีวิตที่มีระดับพลังเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน เหล่าหยดน้ำดูจะสามารถทำลายภูเขาหรือเมืองทั้งเมืองได้เลยทีเดียว
แต่แมลงภัยพิบัติก็แทบไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น ความต้านทาน 80% ต่อพลังต้นกำเนิดทุกรูปแบบของพวกมันลดพลังของการโจมตีนั้นลงได้มหาศาล นอกจากนั้น แมลงภัยพิบัติยังได้รวมกลุ่มกันเพื่อรับมือกับการโจมตีนั้นอีกด้วย
เมื่อแมลงภัยพิบัติรวมกลุ่มกัน แมลงอ่อนปวกเปียกเหล่านี้ก็สามารถเพิ่มอิทธิฤทธิ์ในการป้องกันของพวกมันขึ้นได้มหาศาล
เจ้าเต่ายักษ์นั้นคอยสังเกตการณ์อยู่ แล้วมันก็ต้องตกตะลึงเมื่อกลุ่มก้อนไอน้ำของมันสามารถกำจัดแมลงภัยพิบัติไปได้เพียงไม่กี่ร้อยตัวเท่านั้น
แต่แมลงภัยพิบัติหลักร้อยตัว ในกรณีของฝูงขนาดนี้ มันช่างเล็กน้อยยิ่งนัก ฝูงแมลงภัยพิบัติพุ่งตัวลงสู่เบื้องล่างอย่างตะกละตะกลาม และจักรพรรดิเต่าก็รู้ในทันทีว่ามันกำลังตกอยู่ในอันตรายและพยายามที่จะดำลงไปใต้น้ำ
แต่ท้องสมุทรก็ไม่อาจหยุดยั้งการเดินทัพของแมลงภัยพิบัติได้เพราะพวกมันสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในน้ำไม่ต่างไปจากเดิม
พวกมันแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเต่าตัวยักษ์ได้อย่างง่ายดายและเริ่มปล่อยการโจมตีที่เกรี้ยวกราดออกมาในทันที
กระดองของเต่าชรานั้นแข็งแรงอย่างถึงที่สุด แต่มันก็ไม่อาจปกปิดจุดอ่อนทั้งหมดไว้ได้ อันที่จริงสำหรับแมลงภัยพิบัติแล้ว สิ่งที่เรียกว่าจุดอ่อนนั้นไม่มีอยู่จริง ตราบใดที่พวกมันสามารถค้นหาตำแหน่งที่คมเขี้ยวของพวกมันสามารถกัดกินได้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ภายในพริบตาเดียว ร่างกายของจักรพรรดิเต่าก็เต็มไปด้วยการโจมตีของเหล่าแมลงภัยพิบัติ
“โฮก!” มันร้องโหยหวนอย่างเกรี้ยวกราด
แมลงภัยพิบัติเหล่านี้นั้นดุร้าย ทันทีที่พบช่องเปิด พวกมันก็จะแทรกตัวเข้าไปในร่างของเป้าหมายและขยายพันธุ์ขณะที่พวกมันกัดกินเลือดเนื้อของศัตรู ตัวอ่อนที่พวกมันผลิตขึ้นก็จะกัดกินเป้าหมายจนกว่าจะหมดสิ้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว เป้าหมายใดก็ตามที่ถูกแมลงภัยพิบัติตั้งเป้าหมายก็จะถูกกินทั้งเป็น เจ้าเต่าจะสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ได้อย่างไรกัน? มันเริ่มม้วนตัวด้วยความทรมาน ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์หลายลูกขึ้นบนผิวมหาสมุทร
โชคร้ายที่ไม่ว่ามันจะพยายามรวบรวมพลังมามากเท่าไร มันก็ไม่อาจขับไล่ฝูงแมลงออกไปจากร่างกายได้ พลังต้นกำเนิดของเต่ายักษ์นั้นมหาศาลเหลื่อเชื่อ แต่ก็ไม่สิ่งใดที่มันจะทำได้
ทันใดนั้นเอง จักรพรรดิเต่าก็กระโดดขึ้นไปในอากาศและกัดซูเฉินเข้า ความเจ็บปวดรวดร้าวกลับกลายเป็นความโกรธเกรี้ยว และความคิดเพียงอย่างเดียวของมันก็คือการแก้แค้นซูเฉิน
เมื่อซูเฉินเห็นเต่ายักษ์มุ่งโจมตีมาที่ตน เขาก็คว้าตัวกู่ชิงลั่วไว้ และร่างของพวกเขาก็กะพริบหายไป แล้วจึงปรากฏขึ้นอีกครั้งที่อีกฝั่งของช่องแคบ
หลังจากที่หยั่งรู้ในกฎแห่งพลังสูญ มันก็กลับกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับซูเฉินที่จะพาใครสักคนมากับเขาด้วยเมื่อเขาใช้วิชาเคลื่อนกาย
แต่เขาพึ่งจะได้ปรับทิศทางของตนใหม่เมื่อกระแสน้ำเชี่ยวกรากหลายพันสายพุ่งตรงมายังเขา
“งั้นอสูรนี่ก็จะไม่ยกโทษให้ข้าเลยสินะ” ซูเฉินหัวเราะ
เขาเคลื่อนกายหายไปอีกครั้ง
ไม่มีทางที่เขาจะสามารถกำราบจักรพรรดิอสูรด้วยตัวเองคนเดียวได้ แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจในการหลบหลีกการโจมตีของมัน
ในเวลาเดียวกันกับที่เขาหลบหลีก ซูเฉินก็ผิวปาก ซึ่งไปกระตุ้นแมลงภัยพิบัติและทำให้พวกมันเร่งความเร็วในการสวาปามมากยิ่งขึ้นไปอีก
แมลงภัยพิบัติทุกตัวต่างเพิ่มการโจมตีอันดุร้ายของพวกมันขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อผลนี้ถูกขยายเป็นหลายหมื่นครั้ง กระทั่งเต่ายักษ์ผู้ไร้เทียมทานก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากการถูกกัดกินได้
เสียงระเบิดขนาดใหญ่ดังขึ้น สิ่งของชิ้นหนึ่งพุ่งขึ้นไปในอากาศในทันใด กระดองยักษ์ของอสูรเต่านั่นเอง เพียงแค่มองก็เห็นได้ชัดว่าเต่าตัวนั้นแทบจะถูกแมลงภัยพิบัติกัดกินจนหมดสิ้นแล้ว
ก่อนที่มันจะตาย เต่ายักษ์ได้ดีดกระดองของมันออก เผยให้เห็นสภาพข้างใน แมลงภัยพิบัตินับไม่ถ้วนได้ทิ้งไข่และเศษเนื้อสำหรับพวกมันไว้ก่อนที่จะกลับไปอยู่เคียงข้างซูเฉิน
ไม่นานหลังจากที่พวกมันจากไป แมลงฝูงใหญ่อีกฝูงก็คลานออกมาจากศพของอสูรเต่า พวกมันกัดกินเศษเนื้อที่เหลืออยู่บนหลังของเจ้าเต่าเสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะรีบบินจากไปเพื่อตามหาเป้าหมายใหม่
ราวกับโรคระบาด แมลงเหล่านี้เริ่มแพร่กระจายไปทุกหนแห่งภายในหุบเหวนรก
ซูเฉินยังคงบินต่อไป
ท้องสมุทรโศกาตั้งอยู่ที่จุดลึกสุดของหุบเหวนรก มันจะต้องใช้เวลาไม่น้อยในการไปถึงกระทั่งโดยถูกรลกวน พวกเขาจึงไม่อาจเสียเวลาได้
ถึงอย่างนั้น อุปสรรคที่ขวางหน้าพวกเขาก็ยังมีมากกว่าจักรพรรดิอสูรเต่าเพียงตัวเดียว
หลังจากที่บินมาสักพัก พวกเขาก็พบเข้ากับอสูรทะเลอีก 2 ตัว
หนึ่งในนั้นดูเหมือนแมงกะพรุนที่ลอยอยู่อย่างสงบนิ่งในท้องห้าราวกับว่าอากาศนั้นคือใต้ผิวน้ำ
แม้ว่าจักรพรรดิอสูรทั้งหมดในหุบเหวนรกจะเป็นอสูรทะเล ก็ยังมีบางส่วนที่แปลกประหลาดออกไป และไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเจอตัวที่สามารถบินได้
นอกจาก “แมงกะพรุนลอยได้” ตัวนี้แล้ว ยังมีนากทะเลอีกด้วย
มันกำลังนอนหงายท้อง เหยียดแข้งขาอยู่บนผิวทะเล ทำให้กระแสน้ำสามารถนำพามันไปในที่ ๆ ต้องการ
ถึงอย่างนั้น นากทะเลนั้นก็ไม่เคยลอยออกไปไกลเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น นากทะเลตัวนี้ดูจะไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำในบริเวณแม้แต่น้อย แต่มันกลับเป็นแหล่งกำเนิดของกระแสน้ำเสียเอง
เมื่อตรวจสอบใกล้ขึ้น น้ำทะเลก็กำลังหมุนวนอยู่รอบมันราวกับน้ำวน นากทะเลยังคงอยู่ที่ใจกลางของกระแสน้ำวนนี้ สายน้ำหมุนวนเวียนเป็นเส้นโค้งประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดให้เกิดภาพแปลกตา
คนอื่น ๆ อาจไม่สังเกตเห็นสิ่งใดที่ผิดแปลกไปในสภาพการณ์ของมัน
แต่ซูเฉินก็รู้ได้ในทันทีว่าอสูรทะเลนากทะเลตัวนี้นั้นพิเศษอย่างไร
“กฎแห่งพลัง” เขาเอ่ย
“กฎแห่งพลังหรือ?” กู่ชิงลั่วตะลึงงัน “เจ้าหมายถึง……”
“ใช่แล้ว นากทะเลนั่นหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังของตัวมันเอง” ซูเฉินพยักหน้าขณะที่เขาตอบอย่างเป็นจริงเป็นจัง
เขามั่นใจว่านี้คือกฎแห่งพลังอย่างแน่นอน
อย่างไรแล้ว เขาเองก็เคยเฟชิญกับกฎแห่งพลังสูญ สายฟ้า แลเปลวเพลิงมาก่อน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมกฎแห่งพลังที่หลากหลายเหล่านี้ได้ เขาก็ไม่ได้เมินเฉยต่อกฎแห่งพลังโดยสิ้นเชิงอีกต่อไป
“แต่จักรพรรดิอสูรในหุบเหวนรกขาดอัจฉริยภาพเพราะท้องสมุทรโศกาไม่ใช่หรือ? หนึ่งในพวกมันจะยังสามารถหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังได้ยังไงกัน?” กู่ชิงลั่วถาม
“นั่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจนะ ถ้านากทะเลตัวนี้ไม่ได้ข้ามผ่านอำนาจชองท้องสมุทรโศกาและรักษามันสมองของมันไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ งั้นอีกคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ…… บางทีการหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังอาจไม่ต้องใช้ความอัจฉริยะก็ได้?”
การหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังอาจไม่ต้องใช้ความอัจฉริยะงั้นหรือ?
งั้นมันต้องใช้อะไรล่ะ?
กู่ชิงลั่วำม่เข้าใจว่าซูเฉินกำลังหมายถึงสิ่งใด
ซูเฉินก็ไม่รู้เช่นกัน แต่เขาก็เข้าใจว่าจักรพรรดิอสูรตัวใดก็ตามที่สามารถหยั่งรู้ในกฎแห่งพลังได้นั้นจะไม่ได้รับมือง่ายอย่างแน่นอน นี่ยังหมายความว่าจักรพรรดิอสูรที่อยู่กับมันก็ไม่ใช่ศัตรูธรรมดาทั่วไปเช่นกัน
“จักรพรรดิอสูร 2 ตัวในคราวเดียวนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่าย ๆ เลย” ซูเฉินพึมพำ “แต่ไม่ว่าจะจัดการพวกมันยากเท่าไร เราก็ต้องทำมันอยู่ดี”
ขณะที่พูด เขาก็เปิดกระเป๋าในมือ หุ่นเชิดระดับมโหฬาร 4 ตัวพุ่งราวกับพายุเข้าไปในสนามรบ