เส้นทางของพ่อค้าถูกสร้างขึ้นบนความจริงอันโหดร้าย ดังนั้นจึงมีแต่ตอนที่ผลประโยชน์ตกอยู่ในกระเป๋าของพวกเขาเท่านั้นที่จะรู้สึกได้ถึงความสงบและความสุข นอกจากนี้หมอกใดๆ ก็ไร้ค่าเมื่อถูกฉีกทิ้งไป
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังตัดสินใจจะหยุดคิดเรื่องตัวตนของคนผู้นี้ ตัดสินว่าเขาจะหาตัวคนผู้นั้นก่อนแล้วค่อยคิดอีกที สายตาของเขาเคลื่อนจากหน้าของผู้จัดการไปที่มุขนายกแล้วก็กล่าว “ประมุขรองมีคำสั่งที่ชัดเจนมากในครั้งนี้ ต้องหาคนผู้นั้นให้พบและควบคุมเอาไว้ให้ได้ หากมันเป็นไปไม่ได้ ข้าจะตายและพวกเจ้าที่เหลือก็ตาย และท่านจะตายอย่างน่าอนาถที่สุดในคนทั้งหมด”
มุขนายกคนนี้เป็นสายลับที่ตระกูลถังวางไว้ในนิกายหลวง ตอนนี้เขาถูกขับออกจากจิงตู แม้ว่าเขาจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ เขาก็ไร้ประโยชน์ หากเขาไม่อาจแสดงความภักดี ความสามารถหรือประโยชน์ในเรื่องยาจูซานี้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงจบลงอย่างน่าอนาถที่สุด
ใบหน้ามุขนายกซึดลงเมื่อได้ยินเช่นนั้นและหลังผู้จัดการก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น ทั้งคู่รู้ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจภายในตระกูลที่เวิ่นสุ่ย แม้ว่าสถานะของพวกเขาไม่เพียงพอที่จะรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็รู้ว่าเมืองเวิ่นสุ่ยได้เกิดพายุจำนวนไม่น้อยในช่วงสองปีที่ผ่านมา
การต่อสู้ระหว่างสาขารุนแรงขึ้นวันต่อวัน ขมขื่นมากขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะยังไม่มีใครตาย ความขัดแย้งทั้งหมดก็อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจางๆ สัญญาณที่สำคัญที่สุดก็คืออาการป่วยของผู้นำสาขาหลักได้กำเริบขึ้น และตอนต้นปีนี้ และก็มีข่าวลือมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าประมุขรองตระกูลถัง…มีลูกชาย
ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยดำรงอยู่มาหลายชั่วอายุคนดังนั้นจึงมีกฎของตัวเอง
หลายปีก่อนประมุขผู้เฒ่าตัดสินใจว่าสาขาหลักจะได้สืบทอดตระกูล ดังนั้นจึงทำให้ถังซานสือลิ่วกลายเป็นทายาทเพียงคนเดียวและหลานชายคนเดียวของตระกูลถัง
ก่อนที่ถังซานสือลิ่วจะสืบทอดตระกูลอย่างเป็นทางการ ประมุขผู้เฒ่าห้ามไม่ให้สาขาอื่นกำเนิดบุตรที่เป็นทายาทรุ่นสาม
นี่เป็นกฎที่ใจร้ายมาก แต่ต้องขอบคุณที่ประมุขของสาขาต่างๆ ล้วนแต่มีความสำเร็จในการบำเพ็ญเพียรและมีชีวิตยืนยาวหลายร้อยปี พวกเขาจึงอดทนได้
แต่ต้นปีนี้กฎนี้ก็ถูกทำลาย
ประมุขรองตระกูลถังให้กำเนิดบุตรชาย
นอกจากถังซานสือลิ่ว เขาเป็นทายาทชายเพียงคนเดียวในรุ่นที่สามของตระกูลถัง
นี่หมายความว่าอะไร ประมุขผู้เฒ่าเปลี่ยนใจในที่สุดว่าใครจะได้สืบทอดอย่างนั้นหรือ สาขาหลักเสียความชื่นชมไปอย่างนั้นหรือ หรือว่าประมุขรองไม่อาจทนรอและตัดสินใจที่จะแสดงความทะเยอทะยานในการแย่งชิงอำนาจอย่างกล้าหาญและตรงไปตรงมา
ความทะเยอทะยานต้องมีพื้นฐานมาจากความแข็งแกร่ง ในตอนนี้ สาขาอื่นๆ ของตระกูลถัง ถูกนำโดยประมุขรองที่มีความได้เปรียบอย่างชัดเจนในความขัดแย้งนี้
ในการยึดอำนาจเมื่อสองปีก่อนในจิงตูและสองปีก่อนหน้านั้น ประมุขรองตระกูลถังได้มีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในฐานะตัวแทนซางสิงโจว เขาได้เดินทางไปทั่วต้าลู่ ทำงานเป็นผู้ประสานงานกับขุมกำลังต่างๆ พวกเขาจึงทำงานร่วมกันในการล้มการปกครองของเทียนไห่ ในการยึดอำนาจเองเขาก็มีบทบาทที่ไม่มีใครแทนได้ในการทำลายผังลายจักรพรรดิ
ในเรื่องใหญ่นี้ประมุขรองตระกูลถังได้ทำส่วนของเขาอย่างสมบูรณ์แบบและยังทำอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เขาได้นำผลประโยชน์เหนือจินตนาการมาให้ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยในขณะที่ทำตัวตามวิถีของตระกูลถัง เขาได้รับการสนับสนุน การยกย่องจากคนในตระกูลมากมาย
หากเขาไม่ได้ล้มเหลวในการฆ่าหวังผ้อในฤดูหนาวปีนั้น บางทีเขาอาจแทนตำแหน่งของบิดาถังซานสือลิ่วไปแล้ว…
เมื่อได้ยินว่านี่เป็นคำสั่งของประมุขรองตระกูลถัง ผู้จัดการกับมุขนายกก็สลัดความคิดที่จะร้องขอความเมตตาหรือหนีไปอย่างโชคดี
พวกเขาได้แต่รีบหาคนผู้นั้นและหากพวกเขาไม่สามารถควบคุมคนผู้นั้นได้ พวกเขาก็ต้องฆ่า
บางทีเพราะความเย็นชาของประมุขรองตระกูลถังเป็นที่รู้จักดีเกินไป หรือบางทีเป็นเพราะประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังที่นั่งอยู่ในลานบ้านและมองดูพวกเขาอยู่ตลอดเวลา พวกหมอได้ทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบเร็วว่าที่คิดไว้ ในยามสนธยาวันนี้พวกหมอและผู้จัดการของตระกูลถังที่ทำหน้าที่ขนส่งและสินค้าพื้นเมืองก็ได้รับข้อสรุปเบื้องต้นในที่สุด
วัตถุดิบถูกผลิตที่ไหน พวกมันถูกส่งไปที่ไหน พวกมันผ่านที่ไหนบ้าง จะหาพวกมันได้ที่ไหน ถูกใช้ในเมืองเทียนเหลียงไปมากแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่งปี ข้อมูลข่าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนถูกนำมารวมกัน ท่ามกลางเสียงดีดลูกคิดดังต่อเนื่องพวกมันก็กลายเป็นตัวเลขบนกระดาษ ในที่สุดพวกมันก็ชี้ไปที่ตำแหน่งซึ่งโดดเด่นอย่างมากบนแผนที่
ที่แห่งนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเทียนเหลียง เป็นที่ที่อากาศหนาวเย็น มีการตั้งรกรากประปราย ท่ามกลางเทือกเขามีหมู่บ้านเล็กๆ เรียกว่าเกาหยาง ซึ่งน่าจะถูกทิ้งร้างไปแล้ว
……
……
อีกด้านหนึ่งของกำแพงโรงเตี๊ยม เมื่ออาการบาดเจ็บค่อยๆ ดีขึ้น บรรยากาศในสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย
บรรยากาศในห้องด้านในสุดยังคงหม่นมัวและกดดัน
นักสร้างค่ายกลหนุ่มยังไม่ตื่นขึ้น ผิวที่เคยคล้ำตอนนี้ขาวซีด ลมหายใจสั้นและแผ่วเบา
อันหวานั่งริมหน้าต่าง เหนื่อยล้าอย่างมาก กำลังหลับตาพักผ่อน
ใต้คำสั่งของศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน นางกับนักบวชและหมอของสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะรักษานักสร้างค่ายกล ที่พวกเขาสามารถมั่นใจได้ในตอนนี้ก็คือนักสร้างค่ายกลหนุ่มจะอยู่ได้อีกเจ็ดวัน มากกว่าที่นักบวชประเมินเอาไว้สองวัน ว่าไปแล้วนางก็คือสาเหตุของเรื่องนี้
วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าวิชาศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังหลี ไม่อย่างนั้นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สวีโหย่วหรงคงไม่เลือกกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเป็นที่ศึกษาของนาง
แต่มันไม่เพียงพอเพราะ…ยาจูซาจะมาถึงในอีกสิบวัน
นักสร้างค่ายกลหนุ่มจัดอยู่อันดับหนึ่งบนรายชื่อคนเจ็บในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานที่จะได้รับยา ตราบใดที่ศูนย์บัญชาการได้รับยา เขาก็จะได้รับมันและสามารถรอดชีวิตได้
แต่อันหวารู้ดีว่า ไม่ว่านาง นักบวชและแพทย์ทหารจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่อาจช่วยให้เขามีชีวิตไปจนถึงตอนนั้นได้
ความหวังอยู่ตรงหน้าและดูเหมือนจะเข้าใกล้มากขึ้น แต่เมื่อพิจารณาให้ดีมันก็ยังห่างไกลอยู่ดี
จะมีวันที่มนุษย์จะหมดแรงได้เสมอ เรื่องนี้ทำให้เกิดความปวดร้าวถึงกับสิ้นหวังได้อย่างง่ายดาย
หลังจากทำสมาธิเสร็จ อันหวาก็ลืมตาขึ้นและเดินไปที่เตียงเพื่อสำรวจสภาพในปัจจุบันของนักสร้างค่ายกล
บางทีเพราะนางใช้เวลาหลายวันโดยไม่พักผ่อนเพื่อดูแลคนอื่น นางจึงรู้สึกว่าใบหน้าของนักสร้างค่ายกลหนุ่มดูใสขึ้น
นางจะช่วยให้เขารอดได้อย่างไร มันยังมีความหวังอีกไหม บางทีนางคงสามารถร้องขอให้มหามุขนายกของพระราชวังหลีเพื่อช่วยเหลือได้
ไม่ ต่อให้ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นยินดีให้ความช่วยเหลือนักสร้างค่ายกลหนุ่ม พวกเขาก็ไม่อาจมาถึงที่แห่งนี้ได้ทันเวลา นอกจากการส่งนักบวชและหมอมายังแนวรบ พระราชวังหลีใช้เวลาที่เหลืออย่างสงบ นับจากเช้าจนเย็น จากฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ฤดูหนาว ประตูวังถูกปิดและถูกป้องกันอย่างหนาแน่น
และเหมาชิวิวี่ผู้ดูแลนิกายหลวงก็ไม่เคยก้าวออกจากพระราชวังหลีเลย
สถานการณ์นี้ดำเนินมาเป็นเวลาสองปีแล้ว
เพราะสังฆราชได้ออกจากจิงตูไปเมื่อสองปีก่อน
ไม่มีใครรู้ว่าสังฆราชหนุ่มตอนนี้อยู่ที่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
อันหวาไม่สนเรื่องโลกภายนอก หรือรู้สถานการณ์ปัจจุบันของราชวงศ์หรือเมืองเสวี่ยเหล่า นางรู้แค่ว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำสงครามตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาและคนมากมายได้ตายไป
พรรคและตระกูลชั้นสูงในแดนใต้ก็มีบทบาทสำคัญอย่างมากในสงครามนี้ ทั้งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และปรมาจารย์ซางสิงโจวได้จัดการบรรจบกันของเหนือใต้ก็เพื่อเหตุผลนี้เป็นสำคัญ ผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นใหม่ก็เริ่มก้าวขึ้นสู่เวทีประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ ผู้เยาว์จากสำนักกระบี่หลีซาน สำนักต้นไหว และสำนักไม้เลื้อยทั้งหกมีผลงานที่โดดเด่นที่สุด
แน่นอน เทียบกับการปรากฏตัวครั้งแรกในสนามรบของคนผู้นั้น พวกคนรุ่นเยาว์ที่เหลือก็เรียกได้ว่าเป็นการเล่นพ่อแม่ลูกเท่านั้น ไม่มีค่าอะไรให้เอ่ยถึง
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้เยาว์ แต่ก็ยังมีความแตกต่าง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวขึ้นแก่สายตาของผู้คนหลังจากออกไปจากจิงตู และยังเป็นครั้งสุดท้าย
มันเป็นวันฤดูใบไม้ร่วงที่สดชื่น ทหารม้าบุกทะยานไปมาและควันก็ลอยขึ้นรอบด้าน
กระบี่พันเล่มของเขาโจมตีเป็นหนึ่งเดียว มารนับไม่ถ้วนหลั่งเลือดสีเขียวและตายไป เปลี่ยนทุ่งราบให้กลายเป็นทะเลเลือด
ท่ามกลางความสับสน ปราณที่หนักราวกับภูเขาหรือทะเลก็แผ่ออกมาเมื่อขุนพลมารไห่ตี๋โจมตีสุดกำลัง ฉีกกระชากเมฆและแผ่นดิน ทำให้ทั่วทั้งโลกเปลี่ยนไป
สังฆราชหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัส ล้มลงและหายตัวไป
เหมือนเขาได้ทำส่วนของเขาแล้ว ปรากฏตัวต่อหน้าคนมากมาย รับความเสี่ยงอย่างมาก ฆ่ามารไปมากมาย หลั่งเลือดมากมาย รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งหมดนี้ก็เพื่อบอกคนไม่กี่คนในโลกนี้ว่า ‘ข้ายังมีชีวิตอยู่’
นี่มันเหมือนกับเด็กน้อยเล่นพ่อแม่ลูกอย่างแท้จริง