ดวงตาอันหวาเป็นประกายเมื่อนางนึกถึงภาพสังฆราชในสนามรบ ชื่นชมเขาอย่างเคารพอยู่ในใจว่าช่างโดดเด่นอย่างแท้จริง ในฐานะสมาชิกของนิกายหลวง นางย่อมภูมิใจในสังฆราช นางจมอยู่กับความคิดจนพลาดที่จะสังเกตเห็นว่านักสร้างค่ายกลหนุ่มบนเตียงได้ลืมตาขึ้นแวบหนึ่ง เผยให้เห็นแววตาที่ค่อนข้างหม่นมัว
ลานด้านนอกหน้าต่างวุ่นวายเล็กน้อย แม่ทัพได้มายังสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์ นำข่าวที่ยากจะบ่งบอกได้ว่าจริงหรือเท็จ
ที่ซึ่งเรียกว่าหมู่บ้านเกาหยางอาจมียาจูซา ทำไม เพราะคนลึกลับที่ปรุงยาจูซาอยู่ที่หมู่บ้านนั้น
คำถามที่ทั่วทั้งต้าลู่ต้องการจะไขพลันได้รับคำตอบขึ้นมา ชั่วขณะหนึ่งอันหวาพบว่ายากจะยอมรับได้ ถึงแม้ว่านางจะสงบลงแล้วนางก็ยังพบว่ายากที่จะเชื่อได้ แต่นักสร้างค่ายกลหนุ่มมีเวลาเหลือเพียงเจ็ดวันเท่านั้น และเวลาเดินทางจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานไปยังหมู่บ้านเกาหยางใช้เวลาแค่สามวันเท่านั้น อย่างน้อยในบางแง่มุมมันก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง
นางมองนักสร้างค่ายกลอย่างเสียดายแล้วกล่าว “ต่อให้เป็นข่าวปลอม ข้ายังต้องการจะลองดู”
……
……
เมื่อเดินทางไกลจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานลงใต้ ก็จะมาพบกับเมืองเทียนเหลียง แต่ทัศนียภาพของเมืองฮั่นชิวนั้นดีกว่าอย่างชัดเจน จุดเดียวที่น่าเสียดายก็คือจวนชื่อดังนอกเมืองนั้นไม่อาจที่จะคืนสู่ความรุ่งเรืองในอดีตได้ ทางตะวันออกและตะวันตกของต้นหลิวที่ถูกปลูกขึ้นใหม่เป็นพืชพรรณสีเขียวที่ดูเหมือนกับว่าถูกฝูงแกะกัดแทะไป
สองปีก่อนจูลั่วถูกขุนพลเทพฮั่นชิงฆ่าในสานเทียนซู ทำให้ตระกูลจูและพรรคไร้รักเสียการคุ้มกันจากยอดฝีมือขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไป ไม่แข็งแกร่งเหมือนก่อนแต่ตระกูลจูได้ดูแลเมืองเทียนเหลียงมานานกว่าพันปีและราชสำนักก็ติดค้างน้ำใจพวกเขา เมื่อรวมกับการที่พวกเขาสนิทสนมกับเซียงอ๋อง นอกจากที่ต้องค่อยๆ มอบการควบคุมเมืองสวินหยางให้จวนเหลียง เมืองเทียนเหลียงทั้งหมดยังคงอยู่ใต้การควบคุมของตระกูลจู ไม่มีใครกล้าท้าทายฐานะของตระกูลจูในเมืองฮั่นชิว
แต่เห็นได้ชัดว่าจูเยี่ยอารมณ์ไม่ดี เห็นทุ่งหญ้าสองข้างแม่น้ำดวงตาของเขาก็เผยความรังเกียจและชิงชัง
เขาเป็นประมุขพรรคไร้รักและเป็นผู้นำตระกูลจู และเรียกได้ว่าเขาได้รับสืบทอดมรดกส่วนใหญ่ของจูลั่ว ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่ลูกชายของจูลั่ว แต่เป็นหลาน แต่เมื่อเขาสามารถรักษาความสงบของเมืองฮั่นชิวมาได้จนถึงตอนนี้ ก็เข้าใจได้ว่าเขาต้องมีอำนาจมากทีเดียวหรืออย่างน้อยก็โหดเหี้ยมมาก
“ข้าไม่ได้มองไปที่แผ่นดินไหม้เกรียมอยู่แต่ข้าชิงชังยิ่งกว่าที่มันดูเหมือนกับถูกแปะไว้ด้วยกอเอี๊ยะถูกๆ แบบนี้ ต้องมีวิธีแก้ไขมันสิ”
จูเยี่ยยกจอกสุราในมือขึ้นทักทายคนตรงข้ามแล้วกล่าวเสริม “หากมียาดี ข้าไม่สนหรอกว่ามันจะแรงสักหน่อย”
คนที่ดื่มอยู่ตรงข้ามเขาเป็นแม่ทัพที่ร่างกายแผ่ปราณทรงพลังออกมา มันเห็นได้ชัดว่าเขาได้ก้าวข้ามขั้นสูงของขั้นรวบรวมดวงดาว
หนิงสือเว่ย ขุนพลเทพแห่งซงซาน ไม่มีพื้นเพอันใดและเป็นคนกระด้าง ในอดีต เพราะเขาไม่พอใจกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เขาจึงถูกจัดอยู่ในอันดับต่ำในหมู่ขุนพลเทพของต้าโจวและไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งและมีทักษะในการควบคุมกองทัพ หลังจากการยึดอำนาจที่สุสานเทียนซู เขาก็ได้รับราชโองการให้กลับจิงตู จากนั้นเขาก็ทำงานใหญ่สำเร็จสองสามงานและได้รับความชื่นชมจากเซียงอ๋องกับปรมาจารย์เต๋า
ตอนที่หวังผ้อตัดแขนตัวเองเพื่อทะลวงผ่าน เขาเป็นหนึ่งในสองขุนพลเทพที่อยู่ริมแม่น้ำลั่วที่พยายามจะฆ่าเขาแต่กลับถูกทวนของเซียวจางหยุดเอาไว้
บางทีมันเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงถูกกล่าวหาว่าล้มเหลวและถูกบีบให้ออกจากจิงตูมายังศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานย่อมทรงอำนาจกว่าตำแหน่งเดิมของเขา และเขาก็รู้ว่าราชสำนักแสดงความเมตตาต่อเขา แต่เขายังไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะประมุขรองตระกูลถังแสดงความไม่พอใจกับผลงานของหนิงสือเว่ย เขาคงยังอยู่ในจิงตูและได้รับตำแหน่งที่สำคัญกว่านี้อย่างเช่นแทนที่สวีซื่อจี
สองปีในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานเขาคิดเรื่องมากมาย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าจูเยี่ยหมายความว่าอย่างไรจากคำพูดที่ฟังไม่รู้เรื่องนี้
ยานั้นสามารถปลูกกระดูกและช่วยคนใกล้ตาย ดังนั้นมันย่อมเป็นเหมือนกับลมฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ความเขียวชอุ่มกลับคืนสู่แผ่นดินที่ไหม้เกรียมของสวนหมื่นหลิว
แน่นอนจูเยี่ยย่อมไม่ใช้ยานั้นกับพื้นดินจริงๆ เขาแค่ใช้สภาพของสวนเพื่อบรรยายบางสิ่งที่เขาต้องการ
หนิงสือเว่ยต้องการยานั้นเพื่อความก้าวหน้าของตัวเองในขณะที่ตระกูลจูต้องการยาเพื่อกลับมามีอำนาจดังนั้นทำไมทั้งสองฝ่ายไม่ร่วมมือกัน
“ราชสำนักปล่อยให้ตระกูลถังมาเพียงพอแล้ว พ่อค้าจากเวิ่นสุ่ยพวกนี้เย่อหยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และลืมไปแล้วว่าควรทำตัวอย่างไรจึงเหมาะสม พวกเขาจำเป็นต้องได้รับบทเรียนสักหน่อย”
เขาเสริม “ข้าจะส่งคนไป หากท่านประมุขสนใจเราเดินทางไปด้วยกันได้”
จูเยี่ยวางถ้วยสุราลงและกล่าวอย่างสบายๆ “ข้าจะไปด้วยตัวเอง”
หนิงสือเว่ยตระหนักว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่าเขาจินตนาการไว้ หากแนวรบไม่ตึงเครียดเกินไป เขาก็รู้สึกว่าเขาควรไปดูหมู่บ้านเล็กๆ นั่นเช่นกัน
“ข้าจะไปดู” เสียหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง
คนพูดเป็นคุณชายหนุ่ม แม้อากาศเย็นเขาก็ยังโบกพัดจีบทำให้ใบหน้าที่มีเสน่ห์ดูเย็นชาขึ้นมา
“แม้ข้าไม่เชื่อว่ายานั้นจะสำคัญแบบพวกท่านพูด ข้าก็ยังสงสัยใคร่รู้อย่างมาก”
คุณชายผู้นี้นามว่าเทียนไห่จันอี เป็นน้องชายขององค์หญิงผิง ดังนั้นเขาจึงเป็นน้อยภรรยาของเฉินหลิวอ๋องอีกด้วยและเฉินหลิวอ๋องเป็นบุตรของเซียงอ๋อง ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเทียนไห่กับตระกูลจูย่ำแย่ตลอดมา ไม่ต่างจากน้ำกับไฟ ‘จูลั่วไม่อาจเข้าจิงตู’ เป็นคำกล่าวที่รู้ไปทั่วราชวงศ์ต้าโจว แต่เหมือนกับที่พูดกันอยู่บ่อยๆ ว่าเมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จากไปแล้ว จูลั่วก็จากไปแล้ว ดังนั้นความเกลียดชังระหว่างทั้งสองตระกูลก็กลายเป็นไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ซ่อนความกลัวเอาไว้ ส่งผลให้ทั้งสองตระกูลสามารถร่วมมือกันได้ผ่านการเชื่อมสัมพันธ์ผ่านเซียงอ๋อง
จูเยี่ยยิ้มให้กับเทียนไห่จันอีแต่ไม่พูดอะไร
ระหว่างเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับเทียนไห่จันอี ทุกคนรู้ว่าอำนาจและทรัพยากรของตระกูลเทียนไห่จะตกอยู่ในมือของใครกันแน่ เมื่อเขาเทียบเทียนไห่จันอีกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่ได้รับความชื่นชมจากขุนนางทหารมากมาย หนิงสือเว่ยพบว่าตนเองไม่ชอบเทียนไห่จันอี คุณชายผู้นี้หม่นมัวเกินไป ให้ความรู้สึกว่าเขาช่างเย็นชาและใจดำ
อาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่เขาไม่ปฏิเสธแต่ถามขึ้นแทน “ท่านอ๋องยืนยันว่ามันเป็นคนผู้นั้นแล้วหรือไม่”
เทียนไห่จันอีพับพัดและใช้มันตีมือเบาๆ ยิ้มเย้ยในยามที่ถาม “ท่านไม่กลัวใช่ไหม ท่านอ๋องบอกว่าคนผู้นั้นน่าจะอยู่แดนใต้ แต่ข้าคิดต่างไปจากพวกท่าน หากยานี้เกี่ยวกับคนผู้นั้นจริง ข้าก็หวังว่าจะได้เห็นเขาที่นั่น…”
เขาเอ่ยปากแล้วก็หยุดไม่บ่งบอกความหมายทั้งหมดออกมา
เมื่อเขามองร่างคุณชายค่อยๆ หายลับไปในดงหลิวและอาทิตย์อัสดง จูเยี่ยกล่าว “หากเดินเร็วเกินไปก็จะพบปัญหาได้ง่าย”
“บนสนามรบ คนหนุ่มอย่างเขาก็ตายเร็วยิ่งนัก และมันก็เป็นเวลานานแล้วที่ข้าเป็นหนุ่มแบบนั้น”
หนิงสือเว่ยเสริม “ดังนั้นข้าไม่รู้อะไรนอกจากนักสร้างค่ายกลหนุ่มนั่นกำลังจะตาย”
“ในเวลาเช่นนี้หากมีใครสามารถพบว่ายาจูซามาจากไหน ก็ย่อมต้องคิดหาวิธีไปหามัน”
“ถูกต้อง ไม่มีอะไรดีไปกว่าเขาสามารถรอดชีวิตไปได้”
“ท่านแม่ทัพดูแลทหารเหมือนบุตรจริงๆ”
“ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความเมตตาของผู้ยิ่งใหญ่ภายในราชสำนัก”
……
……
บนแผนที่หมู่บ้านเกาหยางเป็นแค่จุดเล็กๆ ท่ามกลางเทือกเขาและทุ่งราบ ตามบันทึกหมู่บ้านเกาหยางเป็นป้อมที่ถูกทิ้งร้างมานานแล้ว เมื่ออันหวากับพวกมาถึงจึงได้พบว่าจุดเล็กๆ บนแผนที่เป็นสิ่งก่อสร้างโบราณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตีนเขา และหมู่บ้านก็มีคนอาศัยอยู่อย่างคึกคัก
การฟื้นฟูหมู่บ้านเกาหยางเกิดขึ้นเพราะสงครามระหว่างมนุษย์กับมาร เนื่องจากการต่อสู้เกิดขึ้นบ่อยครั้งทางตอนเหนือของทุ่งหิมะ อาวุธที่ถูกส่งไปยังแนวรบชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเทียนเหลียงมักจะผ่านเส้นทางภูเขาที่เปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง และหมู่บ้านเกาหยางก็ตั้งอยู่บนถนนที่ออกสู่หานซาน
เกาหยางในตอนนี้คึกคักมาก ตามถนนมีทั้งทหารและพ่อค้าเร่ อีกทั้งยังมีหญิงสาวที่แต่งตัวงดงามจำนวนหนึ่ง
แม้แต่หอโคมเขียวก็ยังมี ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีโรงเตี๊ยมเช่นกัน ขุนนางทหารนำกลุ่มยกแคร่หามที่นักสร้างค่ายกลหนุ่มนอนอยู่และไปยังลานด้านหลังในขณะที่อันหวานำนักเรียนหญิงสองคนขึ้นชั้นสองของโรงเตี๊ยม สั่งอาหารและของสองสามอย่าง ก่อนที่พวกเขาจะทันได้นั่ง สายตาก็ถูกดึงดูดด้วยพ่อกับลูกสาวคู่หนึ่ง
พ่อกับลูกสาวคู่นี้เป็นนักดนตรี คนพ่อแต่งกายในชุดคลุมบัณฑิตเก่าๆ อุ้มกู่ฉิน เขาก้มหน้าจึงยากจะมองเห็นใบหน้าได้
ลูกสาวอายุสิบสองสิบสามปี ใบหน้างดงามสดใส นางยังเด็กและระยะห่างระหว่างดวงตาก็กว้างไปสักหน่อย ทำให้นางดูทื่อทึมอยู่บ้าง