บทที่ 854 ข้าชื่อกู่เทียนเล่อ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 854 ข้าชื่อกู่เทียนเล่อ

การเดินขบวนประท้วงมีแกนนำเป็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวจากสำนักศึกษาในนครหลวงกว่า 30 คน โดยที่หัวหน้าใหญ่ของพวกเขาเป็นเด็กหนุ่มผู้มีนามว่าหลี่ซิวเยวียน

เขาเป็นศิษย์รุ่นพี่ของสำนักกระบี่ระดับสูงแห่งนครหลวง ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในมือกระบี่รุ่นใหม่ที่น่าจับตามองของสำนักศึกษากระบี่ ณ ปัจจุบัน และการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองเป่ยไห่ หลี่ซิวเยวียนผู้นี้ก็ติดอันดับหนึ่งใน 50 ด้วยเช่นกัน

ทุกคนที่มาร่วมการชุมนุมยึดถือเขาเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย

ด้านหลังกลุ่มแกนนำยังคงมีลูกศิษย์จากสำนักศึกษาต่างๆ ร่วมหมื่นชีวิตเดินตามมาสมทบเป็นคลื่นมนุษย์เพื่อสนับสนุนการประท้วงในวันนี้

ขบวนผู้ประท้วงกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง

ทุกคนโบกสะบัดผืนธง ปากร้องตะโกนถ้อยคำประท้วงรุนแรง

“ปล่อยเพื่อนของเราออกมาเดี๋ยวนี้”

“ส่งตัวฆาตกรออกมารับโทษ”

“ส่งตัวคนผิดออกมารับผิดชอบ…”

“เราต้องการความยุติธรรม”

กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวร้องตะโกนด้วยความเคียดแค้น

ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธา

หลังจากที่ชาวทะเลยอมลงนามในสัญญาสงบศึก จักรวรรดิจี้กวงก็กลับมาเริ่มทำสงครามที่เขตชายแดนเหนือทันที

ทุกคนล้วนดูออกว่าจักรวรรดิเป่ยไห่กำลังตกอยู่ในภาวะสั่นคลอน ไม่ว่าจะเป็นเพราะราชวงศ์ที่บริหารงานบ้านเมืองได้น่าผิดหวัง หรือเพราะความอำมหิตของจักรวรรดิจี้กวงที่พร้อมโจมตีด้วยความดุดันตลอดเวลา หลายปีที่ผ่านมา มีศิษย์จากสำนักศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเกณฑ์เข้ากองทัพออกสู่สนามรบและต้องใช้ชีวิตของตนเองปกป้องเกียรติยศของจักรวรรดิอันสวยงามแห่งนี้

ทุกครั้งที่จักรวรรดิเกิดความสั่นคลอน ก็ต้องเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้เองที่ถูกเกณฑ์เข้าสู่สนามรบชั้นแนวหน้า

ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เพียงประท้วงแค่คำพูด

แต่กลุ่มคนรุ่นใหม่พร้อมลงมือทำได้ทันที

โดยไม่ต้องรอรับการสนับสนุนจากกองทัพหรือผู้มีอำนาจใดๆ

พวกเขามีหนทางในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ในแบบฉบับของตนเอง

ไม่ว่าจะเป็นการระดมเงินทุน การช่วยกันกระจายข่าว และอื่นๆ อีกมากมาย

เพราะฉะนั้น จึงมีศิษย์จากสำนักศึกษามากมายออกมาเข้าร่วมการประท้วงตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่เมื่อสามวันที่แล้ว สมาคมศิษย์สำนักศึกษาระดับสูงประจำเมืองเป่ยไห่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิจี้กวงเข้าสลายการชุมนุมระหว่างแสดงละครเวทีเรื่อง ‘สงครามครั้งแรกของนายทหารใหม่’ ที่ข้างถนน นอกจากจะทำให้มีผู้ประท้วงเสียชีวิตถึงสามรายแล้ว ก็ยังมีศิษย์สาวสี่คนถูกจับตัวไปอีกด้วย…

ภายหลังมีการค้นพบว่าเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิจี้กวงเหล่านั้น ได้รับคำสั่งจากสถานทูตของพวกเขาให้มาสลายการชุมนุม

ที่น่าเจ็บใจก็คือคนของสถานทูตจักรวรรดิจี้กวงออกอาละวาดในนครหลวงมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นขุนนางใหญ่ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารหมู่ศิษย์จากสำนักศึกษาเทียนซิงเมื่อครึ่งเดือนก่อน

เมื่อเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยออกไป ชาวเป่ยไห่จำนวนมากจึงเกิดความโกรธแค้น

แม้แต่ทางเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ ก็ยังต้องออกประกาศกดดันให้สถานทูตจักรวรรดิจี้กวงแสดงความรับผิดชอบ

แต่คนของสถานทูตแห่งนี้กลับนิ่งเฉยไม่สนใจใยดี แทนที่จะลงโทษคนของตนเอง กลับอวยยศส่งเสริมให้ได้รับความดีความชอบ เพื่อเป็นการปลุกใจนายทหารจักรวรรดิจี้กวงให้มุ่งมั่นที่จะเข่นฆ่าสังหารชาวเป่ยไห่ต่อไป

ดังนั้น วันนี้กลุ่มศิษย์จากสำนักศึกษาต่างๆ จึงได้รวมตัวกันเดินขบวนประท้วง เพื่อเรียกร้องให้สถานทูตของจักรวรรดิจี้กวงปล่อยตัวเด็กสาวที่ถูกจับกุมตัวไปทั้งสี่คนออกมา รวมถึงเรียกร้องให้มีการนำคนผิดมารับโทษอย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับที่มีการเรียกร้องให้ยุบสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวงทิ้งไปเสีย…

แต่ที่น่าเศร้าใจก็คือเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับกลุ่มผู้ประท้วง กลับถูกสั่งย้ายให้ไปทำงานที่เมืองอื่นในไม่ทันข้ามวัน…

และหน่วยงานความมั่นคงภายในนครหลวง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยพิทักษ์สันติราษฎร์ประจำเมืองเป่ยไห่ หน่วยกองพลลาดตะเวนประจำนครหลวง รวมไปถึงหน่วยองครักษ์หลวง ต่างก็ไม่แสดงท่าทีที่จะช่วยเหลือกลุ่มผู้ประท้วงแต่อย่างใด

สุดท้าย แกนนำกลุ่มผู้ประท้วงที่นำโดยหลี่ซิวเยวียนก็ต้องสะกดกลั้นความโกรธแค้นและเจ็บใจดำเนินการเดินขบวนประท้วงต่อไป โดยหวังว่าการทำเช่นนี้จะทำให้จักรวรรดิจี้กวงรู้สึกกดดันมากพอจนต้องปล่อยตัวศิษย์สาวทั้งสี่คนนั้นกลับออกมาจากสถานทูต

ซึ่งหนึ่งในศิษย์สาวที่ถูกจับตัวไปนั้นมีนามว่าหลิวเหวินฮุย นอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมสำนักศึกษาแล้ว นางก็ยังเป็นบุคคลที่หลี่ซิวเยวียนแอบหลงรักมาตั้งแต่เด็กอีกด้วย

ขณะนี้ หลี่ซิวเยวียนมีอายุได้ 19 ปี ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาคมกล้า มือข้างหนึ่งถือกระบี่ อีกข้างหนึ่งถือเสาธงโบกสะบัดเดินนำอยู่หน้าขบวนผู้ประท้วง

“ไม่ทราบว่าพวกพี่ชายกำลังจะไปที่ใดกันหรือ?”

เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง

หลี่ซิวเยวียนชำเลืองมองกลับไป

ไม่ทราบเลยว่าในกลุ่มแกนนำผู้ประท้วงของพวกเขา มีเด็กหนุ่มเด็กสาวสี่คนแฝงตัวเข้ามาเมื่อไหร่ เด็กหนุ่มชุดขาวมาพร้อมกับเด็กหนุ่มร่างอ้วนและเด็กสาวหน้าตางดงามอีกสองคน ไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสี่นี้เป็นใครมาจากไหน เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นหน้าในนครหลวงมาก่อน โดยเฉพาะเด็กหนุ่มชุดขาวนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาเสียจนทำให้แม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องอิจฉา

“พวกเรากำลังจะไปที่สถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง…”

ศิษย์สาวนามกานเซียวซวงตอบกลับไป เมื่อเด็กหนุ่มชุดขาวหันหน้ากลับมามอง สองแก้มของนางก็แดงระเรื่อทันที

ความหล่อเหลาของเขาทำให้กานเซียวซวงผู้เย็นชาต่อเพศตรงข้ามเสมอมา กลับต้องเกิดความหวั่นไหวในหัวใจและรู้สึกเขินอายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ไปทำอะไรหรือ?”

เด็กหนุ่มชุดขาวผู้หล่อเหลาถามออกมาอีกครั้ง

กานเซียวซวงตอบโดยไม่ลังเลว่า “เราจะไปกดดันให้พวกชาวจี้กวงปล่อยตัวศิษย์พี่เหวินฮุย… เอ๊ะ ว่าแต่เจ้าเป็นผู้ใด? เข้ามาอยู่ในกลุ่มแกนนำของพวกเราได้อย่างไร?”

“อ้อ ข้าชื่อกู่เทียนเล่อ ส่วนสามคนนี้เป็นสหายของข้าเอง พวกเขามีนามว่าหลินชิงเซีย หลินจื้อเซีย และทาเคชิ คาเนชิโร่ พวกเราเพิ่งเคยมาเมืองเป่ยไห่เป็นครั้งแรก… พวกเราอยากขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินขบวนของพวกท่านได้หรือไม่?” เด็กหนุ่มชุดขาวแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นมิตร

หลี่ซิวเยวียนขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกรำคาญชอบกล แต่ก็พยายามตอบด้วยความสุภาพว่า “น้องชาย การเดินขบวนประท้วงครั้งนี้อันตรายมาก หากเจ้าอยากหาความตื่นเต้น ข้าขอแนะนำให้ไปอยู่ด้านหลังดีกว่า เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา เจ้าจะได้หลบหนีอย่างทันท่วงที”

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ตัวข้าหาได้เกรงกลัวอันตรายไม่”

เด็กหนุ่มนามกู่เทียนเล่อตบหน้าอก ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจ

หลี่ซิวเยวียนโบกสะบัดผืนธงในมือขณะเดินไปด้วย พูดคุยไปด้วยว่า “แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน พวกเราทุกคนที่ร่วมเดินขบวนในวันนี้ ล้วนตัดสินใจแล้วว่าสามารถสละชีวิตตนเองทิ้งได้โดยไม่คิดเสียดาย”

“ว่าไงนะ…” กู่เทียนเล่อแสดงสีหน้าประหลาดใจสุดขีด “ถึงขั้นยอมตายเลยหรือขอรับ? ถ้าอย่างนั้น… ท่านก็เช่นกันหรือ?”

เด็กหนุ่มหันกลับมาถามกานเซียวซวง

บัดนี้ เด็กสาวรุ่นพี่กลับมามีสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง ดวงตาของนางเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความหนักแน่นมั่นคง “พวกเราเตรียมตัวเตรียมใจกันมาดีแล้ว ครั้งนี้หากพาตัวพี่น้องของพวกเรากลับมาไม่ได้ พวกข้าก็พร้อมตายอยู่ที่หน้าสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง และโลหิตของพวกเราก็จะต้องทำให้ชาวเป่ยไห่ลุกฮือขึ้นมาแน่นอน”

นี่คือคำพูดที่จริงใจและทรงพลัง

แม้แต่กูเทียนเล่อก็ต้องตกตะลึง

เขากวาดสายตามองกลุ่มแกนนำทุกคนและถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “พวกท่าน… ก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”

เด็กหนุ่มเด็กสาวที่เป็นกลุ่มแกนนำผู้ประท้วงแม้จะมีสีหน้าเศร้าสลด แต่ดวงตาก็เป็นประกายระยิบระยับด้วยความมุ่งมั่น ทุกคนพยักหน้าตอบคำถามหลินเป่ยเฉินด้วยความหนักแน่น

“น้องชายรู้เช่นนี้แล้วก็รีบถอยไปเถอะ วันนี้จะต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้นแน่ๆ เจ้ากับสหายของเจ้ายังเด็กมากเกินไป”

หลี่ซิวเยวียนพยายามพูดด้วยความอดทน

กู่เทียนเล่อตอบกลับมาอย่างไม่พอใจว่า “นี่ท่านกำลังดูถูกข้าอยู่ใช่หรือไม่? ถึงข้าจะหล่อเหลามากกว่าท่าน แต่ข้าก็มีเลือดของชาวเป่ยไห่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกัน ข้าเองก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อประเทศชาติ ต่อให้ต้องตาย ข้ากับสหายก็ไม่มีทางหวาดกลัว… ใช่ไหม ชิงเซีย?”

“หมายถึงข้าหรือเจ้าคะ?” เฉียนเหมยสะดุ้งโหยง ก่อนจะพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่เทียน”

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มแกนนำผู้ประท้วงจึงจ้องมองเด็กหนุ่มนามกู่เทียนเล่อด้วยสายตาแสดงความเคารพนับถือขึ้นมาทันที

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้ พวกเขาก็มาถึงหน้าสถานทูตจักรวรรดิจี้กวงพอดี

ปรากฏว่า

อีกฝ่ายส่งมือธนูนับพันคนมาประจำการรออยู่แล้ว

บรรยากาศเต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่าฟัน

นักรบชาวจี้กวงผู้สวมใส่ชุดเกราะคนหนึ่งยิ้มเหยียดหยาม แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนตะโกนออกมา

“เด็กน้อยชาวเป่ยไห่ ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่นของพวกเจ้า จงรีบไสหัวกลับไป มิฉะนั้น… พวกเจ้าจะต้องตายกันทั้งหมด”