บทที่ 855 เพื่อนในสำนักศึกษา เพื่อนในวัยเด็กและยอดหญิงในดวงใจ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 855 เพื่อนในสำนักศึกษา เพื่อนในวัยเด็กและยอดหญิงในดวงใจ

เจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิจี้กวงเตรียมการรับมือมานานแล้ว

พวกเขารู้ดีว่าผู้ประท้วงเหล่านี้ต้องการอะไร

ดังนั้น ทางสถานทูตจึงได้เตรียมมือธนูมาประจำที่สร้างค่ายกลสังหาร

“เป็นเขา…” กานเซียวซวงพลันยกมือชี้นายทหารของจักรวรรดิจี้กวงคนที่หัวเราะเยาะและพูดจาข่มขู่กลุ่มผู้ประท้วง นางมีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชังขณะกัดฟันพูดต่อ “เขาเป็นหนึ่งในคนที่ลงมือสังหารกลุ่มผู้ประท้วงในวันนั้น”

เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวพากันร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้น

“ฆาตกร”

“เจ้าพวกจี้กวงชาติชั่ว…”

ฝูงชนถาโถมออกมาด้านหน้าด้วยความเดือดดาล

ทันใดนั้น ได้ยินเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นถนนดังขึ้นจากที่ห่างไกล

แล้วองครักษ์ผู้สวมใส่ชุดเกราะสีทองคำก็ขี่ม้าเข้ามาถึงพื้นที่หน้าสถานทูต

ชิงเจี้ยนเหว่ยคือชื่อของหนึ่งในหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของนครหลวง รวมถึงเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของพื้นที่โดยรอบสถานทูตด้วยเช่นกัน

“ช้าก่อน อย่าเพิ่งบุกเข้าไป…”

บุรุษหนุ่มผู้ขี่ม้าร้องตะโกนมาแต่ไกล เขาโคจรพลังลมปราณช่วยทำให้เสียงดังกังวานในอากาศและกลบเสียงร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้นของกลุ่มผู้ประท้วงหมดสิ้น

“บัณฑิตทุกท่านอย่าเพิ่งวู่วามทำอะไรโง่เขลา”

องครักษ์หนุ่มร้องตะโกนใส่กลุ่มแกนนำผู้ประท้วง ก่อนควบคุมม้าคู่ใจมายืนขวางทางทุกคนเอาไว้ด้วยความร้อนรน “สถานทูตเป็นเขตต้องห้าม หากพวกเจ้าก้าวเข้าไป ก็จะถือว่ารุกล้ำดินแดนของพวกเขาทันที คนของสถานทูตมีสิทธิ์ฆ่าพวกเจ้าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และพวกเราจะไม่สามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้เลย… เพราะฉะนั้น พวกเจ้าต้องใจเย็นๆ อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วามเด็ดขาด”

บัดนี้ ด้านหลังมือปราบหนุ่มเริ่มปรากฏกลุ่มนายทหารพร้อมกระบี่ยืนตั้งแถวเรียงเป็นกำแพงขวางทางไม่ให้กลุ่มผู้ประท้วงเดินไปข้างหน้าได้อีก

หลี่ซิวเยวียนมีดวงตาวาวโรจน์ แต่เขากลับหยุดชะงักและยอมทิ้งกระบี่ลงพื้นดินแต่โดยดี

แกนนำผู้ติดตามเด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็รีบทำตามโดยไม่ลังเล

ขบวนผู้ประท้วงเกิดความชุลมุนเล็กน้อย แต่พวกเขาก็หยุดเคลื่อนไหวแล้ว

“ตัวข้ามีนามว่าจางเจา เป็นผู้บัญชาการของหน่วยชิงเจี้ยนเหว่ย บัณฑิตทุกท่านได้โปรดอย่าทำอะไรวู่วาม มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะตกหลุมพรางของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว”

บุรุษหนุ่มผู้อยู่บนหลังม้ายังคงตะโกนเสียงดังกังวาน

“องครักษ์จาง พวกเรามาที่นี่ในวันนี้เพื่อช่วยเหลือศิษย์ร่วมสำนัก” หลี่ซิวเยวียนกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คนของสถานทูตจับกุมตัวศิษย์ร่วมสำนักของพวกเราไป ข้าน้อยไม่อาจรู้ได้เลยว่าป่านนี้พวกนางจะถูกทรมานอย่างไรบ้าง…”

“แม้พูดไปแล้วพวกเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่บัดนี้ จักรวรรดิของเรากำลังพยายามทำทุกหนทาง เพื่อช่วยเหลือสหายของเจ้ากลับออกมาเช่นกัน”

จางเจาผู้บังคับบัญชาของหน่วยชิงเจี้ยนเหว่ยพยายามอธิบาย

“พวกเรารอไม่ได้แล้ว…”

“พวกเราเฝ้ารอมาแล้วสามวัน แต่พวกท่านกลับไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรักษาความมั่นคง กองพลหน่วยลาดตระเวน หรือกลุ่มองครักษ์หลวง ไม่มีใครช่วยมอบความยุติธรรมให้แก่พวกเราได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น พวกเราจึงมีแต่ต้องทวงคืนความยุติธรรมด้วยตนเอง…”

“ขืนรอนานมากไปกว่านี้ ศิษย์พี่เหวินฮุยคงต้องตายแน่!”

กลุ่มผู้ประท้วงร้องตะโกนกลับไปด้วยดวงตาแดงก่ำและบางคนก็ถึงกับมีน้ำตาไหลออกมา

หากไม่ใช่เพราะว่าหมดหวังเต็มที่แล้ว คงไม่มีใครอยากเสี่ยงชีวิตของตนเองเช่นนี้

“พวกเราจะพยายามช่วยเหลือให้ดีที่สุด รบกวนพวกเจ้าได้โปรดไว้ใจเจ้าหน้าที่บ้านเมือง อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม”

จางเจาย้ำเตือนด้วยความร้อนใจและพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “พวกเจ้าอย่าได้หลงกลฝ่ายตรงข้าม บัดนี้จักรวรรดิของเรากำลังตกที่นั่งลำบาก กำลังจะมีการจัดลำดับจักรวรรดิในอีกไม่ช้า พวกเราจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้เป็นอันขาด พวกเจ้าต่างก็ร่ำเรียนหนังสือและฝึกปรือวิชา นับเป็นคนหนุ่มคนสาวอนาคตยาวไกล อย่าเพิ่งใจร้อนทำลายอนาคตของตนเองเลย”

หลี่ซิวเยวียนพยายามสะกดกลั้นความโกรธแค้นและร้อนรนในหัวใจ คำรามตอบกลับไปเสียงดังลั่น “องครักษ์จาง พวกเราเชื่อมั่นในการทำงานของทุกท่าน แต่พวกเรารอคอยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ชาวจี้กวงพวกนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์ พวกมันสามารถกระทำได้ทุกอย่าง การประท้วงของพวกเราในวันนี้มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น พวกเราแค่อยากได้ตัวศิษย์ร่วมสำนักกลับคืนมา”

“ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้ารอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะรับหน้าที่เจรจาเอง”

จางเจากัดฟันกรอดและพูดออกมาเสียงดัง

หลังจากนั้น เขาก็กระโดดลงจากหลังม้า เดินแหวกกลุ่มนายทหารที่ยืนตั้งแถวขวางทาง ปลดกระบี่ออกจากข้างเอว และเดินตรงไปหากลุ่มมือธนูของจักรวรรดิจี้กวงที่ประจำการอยู่ห่างออกไป

ดวงตาของกลุ่มผู้ประท้วงจ้องมองตามองครักษ์ชุดเกราะสีทองคำไปไม่ละสายตา

พวกเขาเห็นจางเจาพูดคุยบางอย่างกับตัวแทนของกลุ่มมือธนู ดูเหมือนพวกเขาจะโต้เถียงอะไรกันบางประการ สุดท้าย ตัวแทนของจักรวรรดิจี้กวงก็แสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ ซ้ำยังถ่มน้ำลายใส่หน้าจางเจาอีกด้วย องครักษ์หนุ่มมีสีหน้าโกรธแค้นและพูดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้น ตัวแทนของจักรวรรดิจี้กวงก็ยกมือชี้หน้าจางเจา แผดเสียงก่นด่า ก่อนสะบัดฝ่ามือตบหน้าจางเจาฉาดใหญ่…

“ไสหัวกลับไปซะ”

ตัวแทนของจักรวรรดิจี้กวงระเบิดเสียงคำรามดังกังวานในอากาศ “พวกเราไม่มีทางปล่อยตัวนักโทษให้พวกเจ้าเด็ดขาด วันนี้หากมีชาวเป่ยไห่ผู้ใดกล้ารุกล้ำอาณาเขตของพวกเรา ขอรับรองเลยว่าข้าจะสั่งให้คนยิงธนูใส่มันผู้นั้นจนกลายเป็นเม่นตัวหนึ่ง”

ดวงตาของจางเจาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น แต่สุดท้าย เขาก็ต้องจำใจถอยหลังกลับมา

ขณะนี้ แม้แต่กลุ่มนายทหารที่ยืนตั้งแถวขวางทางขบวนผู้ประท้วงก็ยังมีแววตาโกรธแค้นแล้วเช่นกัน

“บัณฑิตทุกท่าน ได้โปรดให้เวลาพวกเราอีกสักหน่อย…”

จางเจากัดฟันด้วยความเจ็บใจและพูดว่า “สถานการณ์โดยรวมคือสิ่งสำคัญที่สุด ประเทศชาติต้องมาก่อน เรื่องส่วนตัวมาทีหลัง ข้าขอรับประกันด้วยเกียรติขององครักษ์และเจ้าหน้าที่มือปราบว่า…”

เสียงพูดของบุรุษหนุ่มยังไม่ทันขาดหาย

“ดูสิ นั่นศิษย์พี่เหวินฮุยนี่นา…”

กานเซียวซวงพลันส่งเสียงกรีดร้องออกมาและยกมือชี้ไปยังทิศทางของสถานทูตจักรวรรดิจี้กวง

ทุกคนมองตามนิ้วมือของนางไป

ไม่รู้เลยว่าเด็กสาวผู้เป็นนักโทษทั้งสี่คนถูกควบคุมตัวมาอยู่หน้าสถานทูตตั้งแต่เมื่อไหร่ เสื้อผ้าของพวกนางขาดวิ่น เผยให้เห็นถึงผิวพรรณที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง ซึ่งเป็นหลักฐานที่บอกชัดว่าพวกนางต้องผ่านการถูกทรมานมาอย่างหนักหน่วง

เส้นผมของพวกนางถูกปล่อยลงมาปรกหน้าปรกตา

แต่คนจำนวนมากก็ยังสามารถจดจำได้ว่าพวกนางคือบรรดาศิษย์สาวที่ถูกจับกุมไปเมื่อสามวันที่แล้ว…

“หึหึ พวกเจ้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้คนไม่ใช่หรือ?”

บุรุษหนุ่มผู้เป็นตัวแทนของจักรวรรดิจี้กวงหัวเราะเยาะออกมาอีกครั้ง

หลังจากนั้น เขาก็เอื้อมมือปัดเส้นผมที่ปิดหน้าปิดตาของหนึ่งในนักโทษสาวออกไป นั่นทำให้ทุกคนได้เห็นถึงโฉมหน้าที่ซีดขาวปราศจากสีเลือด แต่ก็ยังมีความงดงามไม่เสื่อมคลาย

บุรุษหนุ่มผู้เป็นตัวแทนจากสถานทูตยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “คนอยู่ที่นี่แล้ว พวกข้าก็เบื่อที่จะเล่นสนุกกับพวกนางแล้วเช่นกัน ข้าจะเปิดโอกาสให้มีผู้กล้าเข้ามาช่วยเหลือนักโทษออกไปภายในเวลาหนึ่งก้านธูป หากหมดเวลาแล้วยังไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือนักโทษกลับไปได้สำเร็จ พวกนางก็จะต้องถูกยิงเป้าโดยมือธนูของจักรวรรดิจี้กวง”

เสียงหัวเราะด้วยความสะใจดังออกมาจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ของสถานทูตหลังจากนั้น

“เป็นเหวินฮุยจริงๆ ด้วย”

หลี่ซิวเยวียนยังคงมีสติมากพอที่จะจดจำออกว่านักโทษสาวผู้นั้นก็คือหลิวเหวินฮุย เพื่อนร่วมสำนักศึกษา เพื่อนในวัยเด็ก และเป็นยอดหญิงในดวงใจของเขาเอง

หลี่ซิวเยวียนรู้สึกร้อนวูบไปทั้งศีรษะ

สภาพของหลิวเหวินฮุยในขณะนี้แทบไม่มีเสื้อผ้าปิดบังร่างกายอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่านางต้องผ่านการทรมานมาอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต

หลี่ซิวเยวียนถึงกับร้องไห้และวิ่งออกไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว

จางเจาเห็นดังนั้นก็รีบคว้าตัวไว้ด้วยความตกตะลึง

แต่องครักษ์หนุ่มจะหยุดยั้งได้อย่างไร?

ถึงแม้หลี่ซิวเยวียนจะมีอายุน้อยกว่า แต่เด็กหนุ่มก็เป็นถึงหนึ่งใน 50 มือกระบี่ผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย โดยเฉพาะยามที่กำลังโกรธแค้นเช่นนี้ หลี่ซิวเยวียนจึงใช้วิชาตัวเบาออกมาด้วยความเร็วสูงสุด รู้ตัวอีกที เขาก็เข้าไปอยู่ในเขตแดนต้องห้ามภายในสถานฑูตเรียบร้อยแล้ว

“แย่แล้วสิ”

จางเจาอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก

ฟ้าว!

นั่นคือเสียงของลูกธนูที่พุ่งตัวแหวกอากาศ

มือธนูของจักรวรรดิจี้กวงที่ประจำตำแหน่งอยู่ในสถานทูตแผลงศรโดยไม่ลังเล

ไม่รู้เลยว่าหลี่ซิวเยวียนหยิบกระบี่ติดมือไปตอนไหน เขาพยายามยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้องลูกธนูที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้น…

ฉึก!

ลูกธนูปักเข้าใส่ร่างกายเด็กหนุ่ม

หลี่ซิวเยวียนร้องตะโกนออกไปด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังไม่รู้ตัวว่าตนเองถูกยิง “เหวินฮุย เหวินฮุย เจ้าอดทนไว้… ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”

ท่ามกลางพายุฝนที่เป็นลูกธนู เลือดสาดกระจายออกมาจากร่างกายของเด็กหนุ่ม

กลุ่มแกนนำผู้ประท้วงซึ่งพยายามสงบจิตใจตามคำสั่งของจางเจา มาบัดนี้พวกเขาก็ไม่สามารถใจเย็นได้อีกแล้ว

“พวกเรารีบเข้าไปช่วยเหลือผู้คน”

“ไป!”

กานเซียวซวงและพรรคพวกรีบวิ่งเข้าไปในสถานทูต

สถานการณ์โกลาหล

จางเจาเห็นดังนี้ก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา

องครักษ์หนุ่มเปลี่ยนความคิด ไม่สนใจเรื่องคำสั่งที่ตนเองได้รับมอบหมายและเขาก็ไม่สนใจอนาคตของตนเองอีกต่อไปเช่นกัน จางเจายกมือออกคำสั่งว่า “เจ้าหน้าที่ทุกท่านฟังให้ดี โปรดชักกระบี่ออกมา นี่คือคำสั่ง จงปกป้องผู้ประท้วงเหล่านี้เอาไว้ให้ได้…”

พูดยังไม่ทันจบประโยค ตัวของจางเจาก็ชักกระบี่ออกมากระโดดเข้าไปช่วยเหลือหลี่ซิวเยวียน

เจ้าหน้าที่ผู้ติดตามจางเจาสะกดกลั้นความโกรธแค้นมานานแล้ว เมื่อได้รับคำสั่งจากชายหนุ่มจึงชักกระบี่ออกมาโดยไม่ลังเล คมกระบี่สาดประกายวูบวาบ พวกเขารีบเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มแกนนำผู้ประท้วงจากคมธนูอย่างสุดความสามารถ

สถานการณ์ยิ่งชุลมุนวุ่นวายมากขึ้น

ภายใต้ห่าฝนลูกธนู คมกระบี่สาดประกายต่อเนื่อง

จักรวรรดิจี้กวงมีความนับถือต่อเทพวิหค ซึ่งชำนาญเรื่องการต่อสู้ด้วยลูกธนูมากที่สุด ว่ากันว่าพวกเขายิงธนูแม่นยำกว่าผู้คนชาวจักรวรรดิเป่ยไห่หลายร้อยเท่า และด้วยการโจมตีอย่างพร้อมเพียงกันเช่นนี้ แม้แต่ผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ก็ยังยากที่จะต้านทานได้

แล้วเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เป็นเพียงมือกระบี่รุ่นเยาว์จะต้านทานได้อย่างไร?

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

บุรุษหนุ่มผู้เป็นตัวแทนจากสถานทูตระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ “ใครก็ตามที่บุกรุกเขตแดนของพวกเรา ฆ่าพวกมันทิ้งไปให้หมด”

เมื่อเห็นลูกธนูห่าใหญ่พุ่งตรงไปหากลุ่มแกนนำผู้ประท้วง จางเจาผู้บัญชาการหน่วยชิงเจี้ยนเหว่ยก็เบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด

แต่ในทันใดนั้น…

“ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมสำนัก นับว่ามีจิตวิญญาณแห่งมือกระบี่ที่แท้จริง ควรค่าต่อการเคารพนับถือ ช่างน่าเลื่อมใส ช่างน่าเลื่อมใส…”

จางเจาได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้นทางด้านหลัง

บัดนี้ สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย เสียงพูดนั้นกลับดังกลบเสียงกระบี่ อีกทั้งยังมีน้ำเสียงเร่าร้อนบอกชัดถึงความเดือดดาลใจ เมื่อเสียงพูดลอยเข้าหูจางเจา ผู้บังคับบัญชาหน่วยชิงเจี้ยนเหว่ยก็คล้ายกับได้รับการปลุกใจ ต้องยกกระบี่ขึ้นมาหมายต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกเช่นกัน

วูบ!

ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะสายลม

เงาร่างสีขาวสายหนึ่งลอยผ่านจางเจาไป

พร้อมด้วยพลังลมปราณที่รุนแรงหนาแน่น

หัวใจของจางเจากระตุกวูบ

เขาเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งทิ้งตัวลงไปยืนเคียงข้างหลี่ซิวเยวียน นอกจากช่วยดึงลูกธนูออกจากร่างกายของอีกฝ่ายแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวยังโยนวงแหวนสีน้ำเงินครอบคลุมลงไปที่ศีรษะของหลี่ซิวเยวียนอีกด้วย

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มชุดขาวก็โยนวงแหวนสีน้ำเงินให้แก่เหล่าแกนนำที่ได้รับบาดเจ็บทุกคน

“นี่มันอะไรกัน?”

จางเจาอุทานด้วยความตกใจ

ในเวลาเดียวกันนี้ องครักษ์หนุ่มก็ได้ค้นพบอีกหนึ่งอย่างที่น่าตกตะลึง

เพราะลูกธนูที่พุ่งลงมาหนาแน่นราวกับสายฝนขณะนี้กลับหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว…

นับเป็นภาพที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หัวใจของจางเจาสั่นไหว

และก่อนที่จะตั้งสติได้ทัน เขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นรอบกาย

เป็นเสียงร้องของกลุ่มผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อลูกธนูซึ่งปักอยู่ตามร่างกายนั้นถอนตัวกลับออกไปเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นยื่นเข้ามาฉุดดึง

เมื่อลูกธนูถูกดึงออกไปจากร่างกาย เลือดเป็นสายก็ฉีดพุ่งในอากาศ แต่ลมหายใจต่อมา วงแหวนสีน้ำเงินก็ถูกโยนลงมาที่ศีรษะและครอบคลุมไปทั่วร่างกายของผู้บาดเจ็บ

แทบจะเป็นในลมหายใจเดียวกันนั้น บาดแผลที่เกิดขึ้นจากคมลูกธนูก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา เช่นเดียวกับความเจ็บปวดในร่างกายของผู้บาดเจ็บ และนั่นก็ทำให้พวกเขาต้องหันมองหน้ากันด้วยความไม่อยากเชื่อ

“เอากลับไปซะ!”

เด็กหนุ่มชุดขาวสะบัดฝ่ามืออย่างแรง

แล้วบรรดาลูกธนูที่ลอยตัวอยู่ในอากาศก็หันกลับไปยังทิศทางที่พวกมันถูกยิงออกมาในตอนแรก

หลังจากนั้น ก็เป็นเสียงของลูกธนูที่พุ่งแหวกอากาศด้วยความรุนแรงมากกว่าตอนที่มือธนูของจักรวรรดิจี้กวงยิงออกมาเสียอีก

ฉึก! ฉึก!

เสียงลูกธนูทะลวงร่างกายผู้คนดังขึ้นต่อเนื่อง

เลือดสาดกระจาย

บริเวณหน้าประตูสถานทูตจักรวรรดิจี้กวงขณะนี้ เหล่ามือธนูที่ตั้งค่ายกลคอยเล่นงานกลุ่มผู้ประท้วงต่างก็ถูกลูกธนูของตนเองพุ่งสวนกลับไปเล่นงานคนแล้วคนเล่า ชุดเกราะที่พวกเขาสวมใส่ถูกทะลวงง่ายดายยิ่งกว่ากระดาษแผ่นหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถป้องกันการโจมตีในครั้งนี้…

ทันใดนั้น บรรดามือธนูของจักรวรรดิจี้กวงก็ร่างกายระเบิดกระจาย โดยที่ไม่มีโอกาสร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเสียด้วยซ้ำ