อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2104 เรื่องมันยาว…
ผู้ที่อยู่ในสถานภาพอ่อนแอกว่าจะพบว่าสำนักของพวกเขาค่อยๆถูกสำนักอื่นกลืนกินไป สุดท้ายก็จะกลายเป็นเพียงประโยคหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์
“ถ้ามันดีแบบนั้น ทำไมหัวหน้าขงถึงส่งคุณมาหว่านล้อมพวกเรา แทนที่จะมาด้วยตัวเอง?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม
เขามี 6 คำที่จะใช้จำกัดความข้อตกลงที่หัวหน้าขงกำลังหยิบยื่นให้-ดีเกินกว่าจะเป็นจริง ในเมื่อของล้ำค่าสำหรับการอารักขาเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานของสำนักของพวกเขา ก็ไม่มีวันที่จะยอมให้ใครหยิบยืมง่ายๆ
แต่ก็นั่นแหละ การได้รับของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์และข้อมูลของหอเทพเจ้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้ยืมของล้ำค่าสำหรับการอารักขาสำนักเป็นเวลา 1 เดือน…นี่เป็นข้อเสนอที่เย้ายวนใจมาก พอๆกับที่อาจเป็นการจัดฉาก
ประสบการณ์เนิ่นนานหลายปีในฐานะเจ้าสำนักทำให้พวกเขามองทุกอย่างตามความเป็นจริง หากมีอะไรที่ดูดีเกินกว่าจะเป็นความจริง ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
ถ้าหัวหน้าขงคิดจะหยิบยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มาพบพวกเขาด้วยตัวเอง?
“หัวหน้าขงมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องรับมือในเวลานี้ จึงไม่อาจมาเจรจาด้วยตัวเองได้ แต่นั่นแหละ เขาสัญญาว่าจะรีบไปที่โขดหินสมอสวรรค์ให้ทันก่อนที่สะพานเบื้องบนจะลงมา เพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับนักรบของหอเทพเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณจะเสียเวลาอันล้ำค่าในการเตรียมตัวเพื่อเล่นงานจุดอ่อนของพวกเขา” กู้จุ้ยอวิ๋นตอบ
ต่อให้เหล่าผู้ท้าทายรู้จุดอ่อนของคู่ต่อสู้แล้ว แต่ก็ยังมีช่องว่างเรื่องความเก่งกาจระหว่างพวกเขากับเหล่านักรบจากหอเทพเจ้า พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นและคว้าชัยชนะให้ได้
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องการเวลา
“พวกคุณควรรีบตัดสินใจนะ เราจะออกเดินทางไปยังโขดหินสมอสวรรค์หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสถาปนาของเจ้าสำนักจางเซวียน ผมจะถือว่าคุณไม่รับข้อเสนอนี้ถ้าคุณไม่ยอมตัดสินใจ” กู้จุ้ยอวิ๋นพูดขณะลุกขึ้นยืน “ผมมีเรื่องจะบอกเท่านี้แหละ ลาก่อน”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและบินจากไป
ไป่ซวนเฉิงรีบตามไปติดๆ
เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว บรรยากาศในห้องนั้นก็ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง
ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืน “ผู้อาวุโสหาน ผมขอตัวก่อนนะ”
ผู้อาวุโสฉิงหย่วนรีบลุกขึ้นและพูดว่า “ผมก็ขอตัวเหมือนกัน”
แล้วทั้งคู่ก็ออกจากห้องโถงใหญ่
เห็นทุกคนจากไป หานเจี้ยนชิวครุ่นคิดอย่างหนักครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน “เราควรรีบติดต่อเจ้าสำนักจางเพื่อหารือกับเขา…”
เรื่องนี้เป็นเครื่องตัดสินความอยู่รอดของสำนักในระยะยาว ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะตัดสินใจด้วยตัวเองได้
ขณะที่หานเจี้ยนชิวกำลังพยายามติดต่อจางเซวียน ผู้อาวุโสฉิงหย่วนก็ตามไปรั้งตัวผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวไว้เพื่อหารือ
“ดูเหมือนตำหนักคว้าดาวกับสำนักดาบเมฆเหินจะได้รับข้อมูลบางอย่างที่ทำให้พวกเขาเสนอชื่อคนคนเดียวกันเป็นเจ้าสำนักและสร้างสายสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกัน ส่วนสำนักป้อมปราการกระจกดำกับสำนักอมตะเลือนหายก็ยอมรับข้อเสนอของหอนิรันดร์และตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว ตอนนี้เหลือแต่พวกเรานะ เราอยู่ในสถานภาพที่ไม่มั่นคงเลย” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูดขณะยิ้มเจื่อนๆ
“ผมก็คิดแบบเดียวกัน เราสองสำนักตกลงเป็นพันธมิตรกันดีไหม?” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า
ในฐานะเจ้าสำนัก พวกเขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสมดุลแห่งอำนาจระหว่าง 6 สำนักใหญ่ เพราะไม่อย่างนั้น ก็อาจถูกกลืนหายไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว
ในการพบปะเมื่อครู่นี้ พวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในสถานภาพที่อ่อนด้อยกว่าสำนักอื่น และนั่นทำให้ต้องทำทุกวิถีทางที่จะหลุดออกจากสภาพนั้นให้ได้
“ในเมื่อทุกอย่างมาถึงจุดนี้แล้ว ผมจะส่งข้อความหาหัวหน้าและเร่งให้เขารีบกลับมา คงจะดีถ้าเขาได้พบกับเจ้าสำนักหลิวหยางเพื่อหารือรายละเอียดเรื่องการเป็นพันธมิตรกันของเรา” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด
“ใช่ ผมก็จะรายงานเจ้าสำนักให้รับทราบเรื่องนี้เช่นกัน” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า
ทั้งคู่จึงนำตราหยกสื่อสารออกมาและเริ่มส่งข้อความหาหัวหน้ากับเจ้าสำนักคนใหม่
…..
จางเซวียนเยียวยาตัวเองตลอดการเดินทางกลับจากเกาะคว้าดาว เมื่อถึงที่หมาย เขาก็กลับคืนสู่พละกำลังเต็มพิกัดดังเดิม
ขณะที่กำลังมุ่งหน้าสู่ตำหนักคว้าดาว เขาก็สะบัดข้อมือและนำตราหยกสื่อสารอันหนึ่งออกมา
“เจ้าสำนักจาง กรุณากลับที่พักของสำนักดาบเมฆเหินด่วน”
มีแผนที่อยู่ถัดจากข้อความนั้นซึ่งบอกพิกัดของที่พัก
คงจะดีถ้าได้พบหานเจี้ยนชิวและถามเขาว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร**ลงท้ายเราถึงกลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินไปได้ จางเซวียนคิดพร้อมกับส่ายหน้า
เขารีบบินไปยังพิกัดที่ระบุไว้ในแผนที่
ตอนที่ออกจากสำนักดาบเมฆเหิน เขายังเป็นแค่ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์คนหนึ่ง แล้วจู่ๆมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งตอนไหน? แถมทุกอย่างยังเลวร้ายกว่าเดิมตรงที่ทั้งโลกดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้ เว้นแต่ตัวเขาคนเดียว!
หลังจากบินไปได้ไม่กี่ลี้ จางเซวียนก็สะบัดข้อมืออีกครั้งและนำตราหยกสื่อสารอีกอันหนึ่งออกมา
“หัวหน้าเจิ้ง กรุณามาที่ศาลาฉางหยวน มีเรื่องสำคัญที่พวกเราต้องหารือกับคุณ”
ผู้ส่งข้อความคือผู้อาวุโสฉิงหย่วน
“ศาลาฉางหยวน?” จางเซวียนพึมพำ
เขาไม่คิดว่าสองสำนักจะตามตัวเขาพร้อมๆกันแบบนี้ จางเซวียนมองแผนที่ที่อยู่ด้านล่างและพบว่าศาลาฉางหยวนตั้งอยู่ไม่ห่างจากที่พักของสำนักดาบเมฆเหินมากนัก
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำตัวโคลนออกมา “ผมอยากให้คุณไปที่ศาลาฉางหยวนเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น…”
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ จางเซวียนก็มีสีหน้าประหลาด เขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง แล้วตราหยกสื่อสารอีกอันหนึ่งก็มาอยู่ในมือ มีข้อความแถวหนึ่งปรากฏ “เจ้าสำนักหลิว กรุณามาที่โซนชะตาเขียวทันทีที่ได้รับข้อความนี้ มีเรื่องด่วนที่พวกเราต้องคุยกัน…”
ผู้ส่งข้อความคือผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว
“ฮะ?”
จางเซวียนถึงกับจังงัง
เขากำลังคิดว่าจะมุ่งหน้าไปยังที่พักของสำนักดาบเมฆเหินเพื่อพบหานเจี้ยนชิว และปล่อยให้ตัวโคลนเดินทางสู่ศาลาฉางหยวนเพื่อพบผู้อาวุโสฉิงหย่วน แต่กลับกลายเป็นว่า 3 สำนักต้องการพบเขาในเวลาเดียวกัน…
แล้วเขาจะรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร?
“ช่างมันเถอะ ทำเท่าที่ทำได้ไปก่อน ผมจะไปที่พักของสำนักดาบเมฆเหิน ส่วนคุณก็ไปศาลาฉางหยวน ไม่…แบบนั้นไม่ดีแน่ ช่างมันเถอะ คุณมากับผมดีกว่า!”
สุดท้ายจางเซวียนก็ล้มเลิกความคิดที่จะส่งตัวโคลนไป
ตัวโคลนมีต้นกำเนิดจากจิตวิญญาณของเขาก็จริง แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ตัวโคลนดูเหมือนจะมีปัญหาในการพบปะผู้คน มันมีบุคลิกที่แตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง ตัวโคลนของเขาทั้งก้าวร้าวและอวดดี พร้อมโชว์เหนือทุกเมื่อที่มีโอกาส
มันไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเอาเสียเลย แล้วจะไว้วางใจให้คนแบบนั้นจัดการเรื่องใหญ่ได้อย่างไร?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตัวโคลนของเขามีปัญหากับผู้อาวุโสฉิงหย่วน? นั่นจะกลายเป็นภาระตกหนักที่ตัวเขา ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เก็บหมอนี่ไว้กับตัวย่อมดีกว่า
จางเซวียนจึงนำตัวโคลนใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป ครึ่งนาทีต่อมาก็มาถึงที่พักของสำนักดาบเมฆเหิน
“เจ้าสำนักจาง!” หานเจี้ยนชิวรีบลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับ
เขารายงานรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อนจะตั้งคำถาม “คราวนี้เราจะทำอย่างไร? ควรรับข้อเสนอของหอนิรันดร์ไหม?”
“หอนิรันดร์ยื่นข้อเสนอเป็นของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์กับข้อมูลของสะพานเบื้องบน แลกเปลี่ยนกับการขอยืมของล้ำค่าสำหรับการอารักขา 6 สำนักใหญ่เป็นเวลา 1 เดือน?” จางเซวียนงุนงงกับข่าวที่ได้รับ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะยอมรับข้อเสนอทันที เพราะในเมื่ออีกฝ่ายคือครูบาอาจารย์ของโลกในทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาก็ไว้ใจว่าคงไม่นำของล้ำค่าสำหรับการอารักขาไปใช้ในทางที่ผิด
แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าสรุปแบบนั้นแล้ว
ยังคงมีความเป็นไปได้ว่าฟู่เฉิงสื่อสมรู้ร่วมคิดกับหอเทพเจ้าลับหลังหัวหน้าขง แต่เขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าตราสัญลักษณ์ที่หัวหน้าขงมอบให้เขาคือกุญแจที่ทำให้เหล่านักรบจากหอเทพเจ้าตามตัวเขาได้ เรื่องนี้บ่งบอกชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
“สิ่งนี้อาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวง ผมคิดว่าน่าจะดีที่สุดหากได้พบหัวหน้าขงเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้เข้าใจกระจ่างขึ้นว่าเขากำลังพยายามทำอะไร” จางเซวียนพูด
ถ้าหัวหน้าขงยื่นข้อเสนอนี้เพื่อตั้งใจช่วยเหลือ 6 สำนักใหญ่จริงๆ สำนักดาบเมฆเหินจะเสียเปรียบมากหากไม่ยอมรับข้อเสนอ แต่ในเวลาเดียวกัน ด้วยทีท่าแปลกๆที่หอนิรันดร์แสดงออกมาก่อนหน้านี้ เขาก็จำเป็นที่จะต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
“ผมเข้าใจ” หานเจี้ยนชิวพยักหน้า จากนั้นก็ตั้งคำถามต่อด้วยแววตาที่แสดงความสงสัย “เจ้าสำนักจาง คุณได้ข่าวการเสนอชื่อคุณให้เป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนใหม่หรือยัง?”
“เรื่องมันยาว…”
จางเซวียนเล่ารายละเอียดเรื่องการที่หอเทพเจ้าบีบบังคับตำหนักคว้าดาวให้ยอมจำนน การที่หอนิรันดร์เข้ามามีส่วนพัวพัน การที่ตู้ชิงหย่วนหายตัวไปอย่างปุบปับโดยไร้ร่องรอย
แต่ไม่ได้เอ่ยถึงตัวตนของเขาในฐานะเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด หานเจี้ยนชิวมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ผมคุ้นเคยกับตู้ชิงหย่วนดี วรยุทธของเธอทรงพลังมาก ถึงขนาดที่แม้ตัวผมก็เอาชนะได้ยาก ในโลกใบนี้มีกลุ่มอำนาจเพียงไม่กี่กลุ่มหรอกที่เก่งกาจพอจะทำให้เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้”
จางเซวียนขมวดคิ้ว “ในทวีปที่ถูกลืม…ใครกันที่ทำแบบนั้นได้?”
ถ้าประสิทธิภาพการต่อสู้ไม่ได้ต่างกันจนเกินไป อย่างน้อยตู้ชิงหย่วนก็น่าจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้ไม่ใช่หรือ?
อย่างชายชราที่เขาได้พบที่ทะเลพลัดดาวเมื่อไม่นานมานี้ แม้อีกฝ่ายจะมีวิธีการที่เหนือความคาดหมาย แต่ถ้าเขาต้องการ ก็สามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้
การที่ตู้ชิงหย่วนเงียบหายบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง
“หอเทพเจ้าเป็นกลุ่มอำนาจทรงพลังที่ผงาดเงื้อมเหนือทวีปที่ถูกลืม แต่ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเทพเจ้าตัวจริง หากมีเทพเจ้าตัวจริงอยู่ในทวีปที่ถูกลืมล่ะก็ เทพเจ้าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่ อย่าว่าแต่ตู้ชิงหย่วนเลย ต่อให้ 6 สํานักใหญ่ผนึกกำลังกัน พวกเราก็ยังรับมือกับเทพเจ้าไม่ได้” หานเจี้ยนชิวพูด
จางเซวียนพยักหน้า
เขาไม่เคยพบเทพเจ้าตัวเป็นๆมาก่อน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนั้นจะต้องมีพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าตู้ชิงหย่วนจะอับจนหนทางเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพเจ้าตัวจริง