ตอนที่ 2105 เข้ากันได้ดี…

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2105 เข้ากันได้ดี…

“นอกเหนือจากหอเทพเจ้า บุคคลต่อไปที่น่าจะมีความเป็นไปได้สูงสุดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหัวหน้าหอนิรันดร์ การที่หัวหน้าขงสามารถฉกฉวยตัวอักษรคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาจากหอเทพเจ้าได้บ่งบอกชัดว่าเขามีพละกำลังและความแข็งแกร่งเหนือกว่าที่พวกเราคาดหมาย ต่อให้เขาไม่ใช่เทพเจ้า ก็ไม่ได้ห่างไกลจากคนพวกนั้นสักเท่าไหร่”

“อือ” จางเซวียนพยักหน้า

ความสำเร็จของปรมาจารย์ขงในทวีปที่ถูกลืมเป็นหลักฐานที่ชี้ชัดถึงวิธีการอันน่าทึ่งของเขา

“ส่วนที่เหลือ ผมเกรงว่าผมจะไม่รู้อะไรมากนัก ในเมื่อทวีปที่ถูกลืมเป็นดินแดนที่ถูกละเลยจากเทพเจ้า ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีกลุ่มอำนาจทรงพลังอื่นๆกระจัดกระจายอยู่ทั่วดินแดน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่พวกเราไม่รู้จัก”

คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนย่นหน้าผาก

เขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้มาก่อน

เมื่อลองนึกดู ในอดีต ทวีปที่ถูกลืมก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของสรวงสวรรค์ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังกว่าพักอาศัยกระจัดกระจายอยู่

ทั้งคู่สนทนากันอีกครู่หนึ่ง ซึ่งการสนทนาก็ทำให้จางเซวียนได้รู้ว่าทวีปที่ถูกลืมซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้มาก เขาส่ายหัวและตัดสินใจไม่ลงลึกในรายละเอียด จากนั้นก็ตั้งคำถาม “ว่าแต่…ผมได้ข่าวว่าผมกลายเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ไปแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?”

หานเจี้ยนชิวยิ้มให้ จากนั้นก็อธิบายเรื่องการประกาศของเขาที่มีขึ้นหลังจากจางเซวียนออกเดินทางได้ไม่นาน

“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ

หานเจี้ยนชิวทำไปก็เพื่อปกป้องเขา

เพียงแต่มันไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย ขนาดได้รู้ว่าเขาเป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน เจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง และหัวหน้าหอนานาอสูรแล้ว หอเทพเจ้าก็ยังเล่นงานเขาโดยไม่ลังเล!

“เอาล่ะ ผมขอตัวก่อน ยังมีธุระที่ต้องจัดการ”

หลังจากซักถามทุกสิ่งที่อยากรู้หมดแล้ว จางเซวียนก็รีบออกจากที่พักของสำนักดาบเมฆเหินและมุ่งหน้าไปพบผู้อาวุโสฉิงหย่วน

“หัวหน้าเจิ้ง!”

เมื่อเห็นจางเซวียน ผู้อาวุโสฉิงหย่วนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารีบเล่ารายละเอียดให้อีกฝ่ายฟัง

เพราะได้รู้เรื่องจากหานเจี้ยนชิวแล้ว จางเซวียนจึงไม่ประหลาดใจมากนัก เขาย่นหน้าผากอย่างครุ่นคิดขณะตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสฉิง คุณมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร?”

“ในเมื่อสำนักดาบเมฆเหินเป็นพันธมิตรกับตำหนักคว้าดาวแล้ว ผมก็คิดว่าเราควรจะตกลงเป็นพันธมิตรกับสำนักดาวเจ็ดดวงเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดก็จะพึ่งพาและพูดจาหารือกันได้มากขึ้น” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนตอบ

“ถ้าคุณไม่ขัดข้องอะไร ผมพาคุณไปพบเจ้าสำนักหลิวหยางที่เป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวงคนใหม่ก็ได้ ผมรู้มาว่าเขาเป็นคนหนุ่มอัจฉริยะ คุณทั้งคู่น่าจะเข้ากันได้ดี”

“เข้ากันได้ดี…” เส้นเลือดที่ขมับของจางเซวียนปูดโปน

เขาคงมีปัญหาเรื่องการเป็นคนสองบุคลิกแน่ถ้าเข้ากับตัวเองได้ดีขนาดนั้น*!*

ผู้อาวุโสฉิงหย่วนเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของจางเซวียน “ถ้าคุณยังไม่สะดวกใจล่ะก็ ผมเลื่อนการพบปะกับเจ้าสำนักหลิวไปก่อนก็ได้”

จางเซวียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าช้าๆ “ไม่ต้องหรอก ไปพบผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกัน มีบางเรื่องที่ผมต้องแจ้งให้คุณทั้งคู่รับทราบ”

ถ้าเขาต้องการ เขาก็มั่นใจว่าจะยังปลอมตัวต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ด้วยมาตรการบีบบังคับที่หอเทพเจ้าใช้กับตำหนักคว้าดาว ก็เห็นชัดแล้วว่า 6 สำนักใหญ่ควรผนึกกำลังกันเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตครั้งนี้ให้ได้

เพราะฉะนั้น…

คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปิดเผยตัวตนในฐานะผู้นำของ 4 สำนักเสียที ด้วยแต้มต่อที่เขามีอยู่ เขาน่าจะมีสิทธิ์มีเสียงในการสร้างความเป็นพันธมิตรระหว่าง 6 สำนักใหญ่ได้

แต่เรื่องเดียวที่เขายังไม่แน่ใจก็คือคนเหล่านั้นจะรับได้หรือเปล่า!

“ก็ดี ไปกันเลย!”

ผู้อาวุโสฉิงหย่วนไม่แน่ใจว่าจางเซวียนกำลังจะบอกอะไร แต่สีหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาจึงรีบนำทางไป

โซนชะตาเขียวที่สำนักดาวเจ็ดดวงตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลาฉางหยวนมากนัก ห้านาทีต่อมา ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวกับคนอื่นๆ

ผู้อาวุโสฉิงหย่วนก้าวออกไปก้าวหนึ่งและแนะนำจางเซวียนอย่างภาคภูมิใจ “นี่คือหัวหน้าคนใหม่ของเรา หัวหน้าเจิ้งหยาง!”

“เขาดูเก่งกาจฉลาดเฉลียวจริงๆ” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า

เขาเคยสงสัยว่าหัวหน้าหอนานาอสูรคนใหม่อาจเป็นคนเดียวกันกับเจ้าสำนักหลิวหยางซึ่งเป็นเจ้าสำนักดาวเจ็ดดวง แต่เท่าที่เห็น ดูจะไม่มีความเชื่อมโยงใดๆระหว่างทั้งคู่

เจ้าสำนักของพวกเขาเป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงระดับล่างขณะที่หัวหน้าเจิ้งหยางคนนี้เป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์แล้ว อีกอย่าง รากฐานวรยุทธของอีกฝ่ายก็ดูจะแข็งแกร่งมั่นคง พร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะ

“ไม่ทราบว่าตอนนี้เจ้าสำนักหลิวอยู่ไหน?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว “เราพาหัวหน้าคนใหม่มาถึงที่นี่แล้ว คุณไม่รู้สึกว่ามันออกจะหยาบคายไปหน่อยหรือที่เจ้าสำนักของคุณไม่ออกมาต้อนรับ?”

“เราส่งข้อความไปแล้ว เจ้าสำนักหลิวคงจะกลับมาเร็วๆนี้แหละ คงต้องขอให้คุณอดทนรออีกสักหน่อย” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูด

จากนั้นเขาก็นำตราหยกสื่อสารออกมาและตั้งต้นเขียนข้อความ

เห็นผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเริ่มส่งข้อความหาเจ้าสำนักหลิวหยาง จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำตราหยกสื่อสารออกมา ตราหยกสื่อสารอันนั้นเรืองแสงเจิดจ้าทันที บ่งบอกว่ามีข้อความใหม่ แต่เขาก็กำมันไว้และนิ่งเฉย ไม่คิดจะตรวจสอบมัน

ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเห็นแสงสว่างวาบบนตราหยกสื่อสารในมือของจางเซวียน แต่รู้ดีว่าจะเป็นการเสียมารยาทหากแอบดูข้อความของคนอื่น จึงพูดขึ้นอย่างสุภาพ “หัวหน้าเจิ้ง ดูเหมือนใครสักคนกำลังพยายามติดต่อคุณนะ”

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ” จางเซวียนพยักหน้า “ผู้อาวุโสคุ่ยไม่ต้องใส่ใจผมหรอก ส่งข้อความหาเจ้าสำนักของคุณต่อเถอะ”

“ก็ได้”

ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวไม่รู้ว่าหัวหน้าเจิ้งหยางคนนี้คิดจะทำอะไร แต่ก็ส่งข้อความหาเจ้าสำนักหลิวหยางต่อไป แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตราหยกสื่อสารในมือของหัวหน้าเจิ้งหยางยังคงเรืองแสงต่อเนื่อง

เรื่องนี้ทำให้เขาสงสัยมาก

เขาส่งข้อความเพิ่มอีก 2 ข้อความ และตราหยกสื่อสารในมือของอีกฝ่ายก็ยิ่งเจิดจ้ากว่าเดิม ดูราวกับสะท้อนการเคลื่อนไหวของเขา

“เอ่อ…”

ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวสังหรณ์ใจตะหงิดๆขึ้นมา เขาดึงตราหยกสื่อสารที่อยู่ในมือของหัวหน้าเจิ้งหยางออกมาอย่างสุภาพและจ้องดูมัน

ร่างของเขาแข็งทื่อ จากนั้นก็ตั้งคำถาม “ท่านเจ้าสำนัก?”

“ใช่” จางเซวียนพยักหน้า

“ฮะ…” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวแทบลมจับเดี๋ยวนั้น

กลายเป็นว่าข้อสันนิษฐานของเขาเป็นความจริง แท้ที่จริงหลิวหยางก็คือเจิ้งหยาง!

ก่อนหน้านี้คุณยังปฏิเสธอยู่เลย*…*

ผู้อาวุโสฉิงหย่วนงุนงงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ เขาตั้งคำถาม “มีอะไรหรือ?”

“ดูสิ่งนี้เถอะ แล้วคุณจะเข้าใจเองว่าเกิดอะไรขึ้น” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวยื่นตราหยกสื่อสารของเขาพร้อมกับตราหยกสื่อสารที่เขาดึงมาจากมือของจางเซวียน

ผู้อาวุโสฉิงหย่วนมองตราหยกทั้งคู่ เขาตัวแข็งขึ้นมาทันที “หัวหน้าเจิ้ง…คุณคือหลิวหยางหรือ?”

จางเซวียนพยักหน้ารับ ยืนยันความสงสัยของผู้อาวุโสฉิงหย่วน

สองผู้อาวุโสจ้องหน้ากันอยู่นาน ต่างคนต่างยิ้มเจื่อนๆ ลงท้ายพวกเขาก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา

“ผมว่าแบบนี้ก็ไม่แย่นักหรอก ถึงอย่างไรสำนักดาบเมฆเหินกับตำหนักคว้าดาวก็มีผู้นำคนเดียวกันแล้ว ความสัมพันธ์แบบนั้นจะทำให้ทั้งสองสำนักใกล้ชิดกันมากขึ้น ต่อให้เกิดวิกฤตขึ้นในทวีปที่ถูกลืม ด้วยความกลมเกลียวของพวกเรา เราก็น่าจะรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากได้โดยไม่มีปัญหาอะไร” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด

สถานการณ์ลุกลามบานปลายถึงขั้นที่แต่ละสำนักไม่อาจอยู่โดดเดี่ยวได้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับตำหนักคว้าดาวเป็นสัญญาณเตือนสำนักที่เหลือ แต่แม้ 2 สำนักจะตกลงเป็นพันธมิตรกัน หากยังไม่ไว้วางใจกันอยู่ การร่วมมือนั้นก็เปล่าประโยชน์

แต่หากพวกเขามีศูนย์รวมอยู่ที่ผู้นำซึ่งดูแลพร้อมกันทั้ง 2 สำนัก ก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดการแทงข้างหลังหรือลอบทำร้าย ด้วยความสัมพันธ์เหนียวแน่นระหว่าง 2 สำนัก พวกเขาจะยืนหยัดรับมือกับคนอื่นๆได้

อีกอย่าง ผู้นำของพวกเขาก็เก่งกาจทั้งด้านการฝึกอสูรและเทคนิคการต่อสู้ ด้วยความสามารถแบบนี้ มีอะไรที่ต้องเกรงกลัวนักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์อย่างจางเซวียน

ถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขายังต้องกลัวอะไรอีก?

ต่อให้หอเทพเจ้าก็ยังต้องคิดหนักหากจะรุกรานพวกเขาในเวลานี้!

“ถ้าอย่างนั้นก็ป่าวประกาศให้ทั้งโลกรับรู้ถึงการเป็นพันธมิตรของพวกเรา แล้วจะไม่มีใครกล้าระรานอีกต่อไป” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวออกความเห็นพร้อมกับยิ้มอย่างโล่งอก

ด้วยการป่าวประกาศถึงการเป็นพันธมิตรของพวกเขา ทั้ง 2 สำนักจะมีสถานภาพที่ชัดเจน มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้นเมื่อต้องหารือในที่ประชุมของ 6 สำนักใหญ่

“ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศหรอก พิธีสถาปนาเจ้าสำนักจางเซวียนกำลังจะเริ่มไม่ใช่หรือ? เป็นไปได้ว่าสำนักอื่นๆคงจะส่งบุคลากรชั้นสูงของพวกเขามาเป็นสักขีพยานในพิธี ถ้าประกาศข่าวที่นั่น น่าจะส่งผลกระทบในวงกว้างกว่า” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด

วิธีการแจ้งข่าวก็ก่อให้เกิดความแตกต่างเช่นกัน หากพวกเขาประกาศต่อหน้าบุคลากรชั้นสูงของ 6 สำนักใหญ่ ผลที่ได้จะโดดเด่นกว่ากันมาก

“เป็นความคิดที่ดี…” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพยักหน้า

ถึงตอนนี้ เสียงระฆังดังก็ดังกึกก้องทั่วทั้งเกาะคว้าดาว

“เริ่มแล้วล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวพูดขณะลุกขึ้นยืน

“คือ…” จางเซวียนกำลังจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด แต่รู้ดีว่าไม่อาจทำได้ในเวลานี้ จึงได้แต่รีบตามทั้งคู่ไปที่ตำหนักคว้าดาว

พิธีสถาปนาหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนใหม่เป็นงานใหญ่ ทั่วทั้งบริเวณจึงคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน ทุกคนล้วนตื่นเต้น อยากพบชายคนแรกในทวีปที่ถูกลืมที่คว้าตำแหน่งผู้นำของ 2 ใน 6 สํานักใหญ่

ในจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของตำหนักคว้าดาว มีบัลลังก์สูงตั้งอยู่ใจกลางฝูงชน หานเจี้ยนชิว คุ่ยเฉี่ยว กับคนอื่นๆยืนเด่นเป็นสง่าอยู่โดยรอบ ทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึม

“ผมได้ยินว่าเจ้าสำนักจางเซวียนทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ แม้จะเป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาไม่ได้อ่อนด้อยกว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์เลย!”

“ใช่ คนที่เข้าตาหานเจี้ยนชิวกับตู้ชิงหย่วนจะต้องมีความเก่งกาจแบบไม่ธรรมดาแน่!”

“ผมอยากเห็นว่าเขาเป็นคนแบบไหน มีข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขามากมาย แต่ชื่อจางเซวียนก็ยังคงเป็นบุคคลที่ทวีปที่ถูกลืมไม่รู้จัก นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาจะเปิดตัวต่อสาธารณชน…”

เสียงหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดังขึ้นทั่วไป